หัวข้อ: พระพุฒาจารย์(มา) อดีตสมภารวัดสามปลื้ม เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 10 มีนาคม 2560 16:03:27 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16046146882904_111.jpg) พระพุฒาจารย์(มา) อดีตสมภารวัดสามปลื้ม เมื่อปีพ.ศ.2345 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สถาปนา "วัดสามปลื้ม" เป็นพระอารามหลวง พร้อมพระราชทานนามใหม่ว่า "วัดจักรวรรดิราชาวาส" วัดแห่งนี้เจริญรุ่งเรืองในด้านการศึกษาภาษาบาลี ถึงขั้นได้รับการยกย่องว่า "วัดสามปลื้มเป็นคลัง พระปริยัติ" เป็นคำนิยมที่เคียงคู่ไปกับนามของ พระพุฒาจารย์ (มา อินทสโร) หรือที่ชาวบ้านเรียกขานว่า "ท่านเจ้ามา" พระเถระรูปเอกในฝ่ายกรรมฐาน ซึ่งรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชศรัทธา พระพุฒาจารย์ (มา อินทสโร) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิราชาวาส รูปที่ 7 เป็นพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ เจ้าคณะอรัญวาสี มีสมณศักดิ์เสมอเป็นเจ้าคณะรอง ท่านเกิดในย่านชุมชนชาวจีน ที่บ้าน ต.บ้านข้าวหลาม อ.สำเพ็ง กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 11 ก.ย.2380 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 (ตามจารึกที่ฐานรูปหล่อเป็นวันที่ 13 เม.ย.2380) บิดาชื่อ "ทองอยู่" มารดาชื่อ "แช่ม" ช่วงเยาว์วัยถึงวัยหนุ่มไม่มีการบันทึกประวัติชีวิตและการศึกษา ทราบแต่เพียงชีวิตบนเส้นทางธรรมเริ่มต้นเมื่อวัยเบญจเพส อุปสมบทที่วัดจักรวรรดิฯโดยมีพระอาจารย์นอง วัดจักรวรรดิฯ เป็นพระอุปัชฌาย์, เจ้าอธิการแบน วัดมักกะสัน (วัดดิศหงษาราม) เป็นพระกรรมวาจา จารย์ และพระอาจารย์ทอง วัดมักกะสัน เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า อินทสโร แปลได้ว่า ผู้มีเสียงเหมือนพระอินทร์ ภายหลังอุปสมบทเรียนวิปัสสนาธุระ และ ไปเที่ยวธุดงค์แทบทุกปีเป็นนิตย์ จนได้เป็นพระอาจารย์สอนวิปัสสนาธุระอยู่ในวัดจักรวรรดิฯ เรียกกันว่า "พระอาจารย์มา" ในสมัยรัชกาลที่ 4 อายุ 34 ปี ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระปลัด ฐานานุกรมของ พระวรญาณมุนี ซึ่งต่อมาได้เป็นพระราชาคณะที่พระโพธิวงศาจารย์ (เส็ง) เจ้าอาวาสวัดจักรวรรดิฯ รูปที่ 6 พ.ศ.2432 ขณะอายุ 53 ปี พรรษา 28 รัชกาลที่ 5 ทรงโปรดพระราชทานสัญญาบัตรตั้งเป็น "พระครูภาวนาวิจารณ์" ตำแหน่งพระครูพิเศษ ถัดมาอีก 3 ปี เมื่อทรงโปรดให้ประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจำลองของโบราณ ซึ่งได้มาจากเมืองพุทธคยา ในมัชฌิมประเทศที่ยอดเขาพระจุลจอมเกล้า ณ เกาะสีชัง ท่านเข้ามาได้เป็นเรี่ยวแรงในการสร้างเหรียญรอยพระพุทธบาท สำหรับแจกเป็นที่ระลึกแก่ผู้ถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศล จึงทรงตั้งเป็นราชาคณะที่ "พระมงคลทิพยมุนี" ตำแหน่งเจ้าคณะใหญ่เมืองสมุทรปราการ เป็นผู้รักษารอยพระพุทธบาทจำลอง ทั้งยังโปรดให้เป็นผู้ดูแลพระพุทธบาท สระบุรี พร้อมกับพระราชทานตาลปัตรแฉกประดับพลอยเสมอพระราชาคณะชั้นเทพ และพระราชทานตาลปัตรแฉกพื้นแพรปักทองขึ้นเสมอด้วยพระราชาคณะชั้นธรรม พ.ศ.2456 อายุ 77 ปี พรรษา 52 รัชกาลที่ 6 ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานหิรัญบัฏเลื่อนชั้นเป็น "พระพุฒาจารย์" พระราชาคณะผู้ใหญ่ พระพุฒาจารย์เป็นสมณศักดิ์พระราชาคณะยก ไม่มีเปรียญ ซึ่งมีจำนวนน้อยรูป ที่จะได้รับพระราช ทาน ด้วยท่านเป็นพระเถระที่เอาใจใส่ในวิปัสสนาธุระและนวกรรม นับแต่ยังเป็นภิกษุหนุ่มจนถึงมรณภาพ จึงเป็นที่ต้องพระราชหฤทัยในรัชกาลที่ 6 โปรด แต่งตั้งเป็นพิเศษ ผู้ที่เคารพนับถือมีตั้งแต่ระดับเชื้อพระวงศ์ เจ้านาย ขุนนาง ตลอดลงมาถึงประชาชนทั่วไป บุคลิกลักษณะของท่านน่าเกรงขาม รูปกายสูงใหญ่ แต่ภายในแฝงไว้ด้วยความมีคุณธรรม มีเมตตากรุณา อีกทั้งมีอัธยาศัยโอบอ้อมอารี ชีวิตของท่านดำเนินไปด้วยผลงาน ทั้งที่ปรากฏออกมาในด้านพระศาสนา และความศักดิ์สิทธิ์ งานอันยิ่งใหญ่ของท่านคือ การสร้างสรรค์ปูชนียวัตถุสำคัญไว้ที่วัดจักรวรรดิฯ โดยเป็นหัวหน้าสร้างพระพุทธบาทจำลองขึ้น จนถือเป็นประเพณีจัดให้มีงานนมัสการกลางเดือน 3 เป็นนักขัตฤกษ์ประจำปีมาจนทุกวันนี้ ในการจัดงานครั้งแรก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จทอดพระเนตรแล้วทรงมีพระราชศรัทธาโปรดให้สร้างมณฑปน้อย ครอบสวมรอยพระพุทธบาทจำลอง พระราชทานเป็นพุทธบูชา นอกเหนือจากงานสร้างถาวรวัตถุต่างๆ ทางด้านการศึกษาทางศาสนา ก็ปรากฏว่าในยุคสมัยการปกครองของท่านอุดมไปด้วยพระคณาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางสมถวิปัสสากรรมฐานและผู้ทรงความรู้พระไตรปิฎกถึงขีดสูง หลายต่อหลายรูป ในด้านวัตถุมงคล ท่านจะสร้างในโอกาสสำคัญ และปลุกเสกด้วยตนเอง เป็นพระเครื่องแบบพระพุทธรูปขนาดเล็ก เนื้อทองผสมคล้ายขันลงหิน อมเหลืองและแดงประมาณ 10 กว่าพิมพ์ ในช่วงบั้นปลายท่านเริ่มอาพาธด้วยโรคลมแน่นเสีย และมรณภาพเมื่อวันที่ 9 ต.ค.2457 สิริอายุ 77 ปี 1 เดือน 22 วัน พรรษา 52 ท่านเจ้ามามีชีวิตยืนยาวอยู่ถึง 4 แผ่นดิน ชื่อเสียงถูกกล่าวขวัญคู่วัดจักรวรรดิฯ ด้วยคุณูปการที่สร้าง สรรค์ไว้อย่างเป็นเลิศ อริยะโลกที่ 6 |