หัวข้อ: ธรรมบันเทิง : Avatar อวตาร สงครามแพนโดร่า กับ สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า "มนุษย์" เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 18 เมษายน 2553 17:30:47 (http://pics.manager.co.th/Images/553000004876401.JPEG)
การได้เกิดเป็น “มนุษย์” นั้น นับว่าเป็นความโชคดีโดยแท้ เพราะมนุษย์ถือเป็นสัตว์ที่สามารถคิดได้ด้วยสติปัญญาเฉียบแหลม แยกแยะระหว่างสัญชาตญาณ กับเหตุผล รวมทั้งยังเป็นสัตว์ไม่กี่ประเภทที่สามารถ “ทำความดี” ต่อโลกได้ ด้วยเหตุผลหลายข้อที่ว่า มนุษย์จึงนิยามตนเองว่าเป็น “สัตว์ประเสริฐ” ได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ทว่า มนุษย์ก็สามารถทำในสิ่งตรงข้ามได้เช่นกัน เพราะด้วยความมั่น ใจในความเก่งกาจของตน มนุษย์บางกลุ่มจึงมองตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และดูแคลนต่อสิ่งมีชีวิตต่างสายพันธุ์ “Avatar” อวตาร เป็นผลงานภาพยนตร์ตอกย้ำการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งของผู้กำกับระดับโลก เจมส์ คาเมรอน ผู้เคยสร้างตำนานแจ็คกับโรสแห่ง Titanic อันลือลั่นเมื่อกว่าทศวรรษก่อน แม้ผลงานเรื่องล่าสุดของผู้กำกับรายนี้ ไม่ได้อิงกับเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ หรือทำหนังรักโรแมนติกแบบเดิม แต่กลับเลือกหนังว่าด้วยจินตนาการแห่งอนาคต เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น ทว่าความน่าสนใจ และการตอบรับจากผู้ชมก็ไม่ได้ลดน้อยลงไป ตรงกันข้าม ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงสุดอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกาไปเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวของอวตาร เป็นจินตนาการของโลกในอนาคต บอกให้เราทราบเป็นนัยว่า โลกสีฟ้าใบเดิมนั้น ไม่ได้สวยงามอีกต่อไป และภารกิจของเหล่ามนุษย์อวกาศในเรื่อง คือ การสืบเสาะหาแหล่งทรัพยากรใหม่ๆอันล้ำค่าจากดาวดวงอื่น ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของการเดินทาง อันสุดมหัศจรรย์บนดินแดนที่เรียกว่า “แพนโดร่า” แพนโดร่าเป็นดวงดาวที่มีลักษณะเป็นผืนป่ากว้างเต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ และทรัพยากรทางธรรมชาติที่สมบูรณ์ นอกจากนี้บนดวงดาวอันงดงาม ยังมีชนเผ่าพื้นเมืองที่เรียกว่า “ชาวนาวี” ซึ่งแม้ว่าจะแลดูคล้าย คลึงกับการผสมผสานระหว่างคนป่ากับมนุษย์ต่างดาว แต่ชาวนาวีก็เต็มไปด้วยอารยธรรม และวิถีชีวิตที่น่าสนใจ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่ถิ่นฐานของชาวนาวี ตั้งอยู่บนผืนดินซึ่งมีแร่ธาตุอันมีค่าคณานับ ซึ่งเมื่อมนุษย์กลุ่มหนึ่งได้ล่วงรู้ สงครามแห่งแพนโดร่าจึงเกิดขึ้น เจค ซัลลี นาวิกโยธินขาพิการผู้ถูกปลดประจำการไปแล้ว ถูกเรียกตัวกลับมารับใช้ในฐานทัพดาวแพนโดร่า เพราะดีเอ็นเอที่ตรงกันทุกประการกับพี่ชายฝาแฝดผู้ล่วงลับ ทำให้ซัลลีต้องมาสานต่อภารกิจขับร่างอวตาร หรือโปรแกรมใช้สภาวะจิตใจควบคุมร่างกายจำลองของชาวนาวี เข้าไปสืบเสาะข้อมูล ล้วงความลับ และจูงใจให้มนุษย์ต่างดาวเจ้าของพื้นที่ละถิ่นฐานออกไป เพื่อให้มนุษย์โลกได้ครอบครองทรัพยากรตามที่ต้องการ เนื้อหาหลักของภาพยนตร์ ก็ไม่ต่างจากแนวสายลับ ที่ตัวเอกต้องปลอมตัวเข้าไปตีสนิท สร้างความคุ้นเคยกับชนเผ่า แต่เมื่อได้เรียนรู้วิถีชีวิตอย่างถ่องแท้แล้ว จุดเปลี่ยนของเหตุการณ์อยู่ที่ว่า ซัลลีรับรู้ว่า ชาวนาวีไม่มีความผิดอะไร และไม่มีเหตุผลใดเลยที่พวกเขาต้องจากบ้านไปเพียงเพราะมีมนุษย์จากดาวอีกดวงอยากช่วงชิงทรัพยากร ขณะเดียวกัน เขายังตกหลุมรักกับชาวนาวีสาว อย่างนีย์ทิรี นั่นจึงทำให้นาวิกโยธินหนุ่มในร่างอวตารชาวนาวี ได้เรียนรู้วิถีชีวิตแห่งดาวแพนโดร่ามากขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งเข้าใจ และซึมซับความเป็นตัวตนชาวนาวีมากยิ่งขึ้น นำไปสู่มุมมองใหม่ ที่เห็นว่าพฤติกรรมการรุกรานของเพื่อนเผ่าพันธุ์เดียวกันว่าเป็นสิ่งอันน่ารังเกียจ โชคดีที่ซัลลีไม่ได้เป็นมนุษย์คนเดียวที่คิดได้ เขายังมี เพื่อนร่วมอุดมการณ์ในทีมอีกราว 4-5 คน ที่ร่วมหัวจมท้าย แหกกฎภารกิจฝืนศีลธรรม กลายเป็นภารกิจปกป้องชาวนาวี จากมนุษย์ใจทมิฬ ซึ่งฝ่ายหลัง นำโดยผู้นำกองทัพทหาร พันเอกไมส์ ควอริตช์ ผู้เหี้ยมเกรียม พร้อมจะใช้มาตรการรุนแรงเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ รวมถึงปาร์กเกอร์ เซลฟริดจ์ นักธุรกิจจอมละโมบที่มองผลคุ้มค่าทางธุรกิจก่อนประเด็นอื่น ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซไฟ ว่าด้วยสงครามระหว่างมนุษย์โลกกับชาวนาวี หากดูเอาความมันสะใจ เชื่อว่าได้รับความคุ้มค่า สมกับเป็นภาพยนตร์ลงทุนสูง เทคนิคพิเศษตระการตา แต่ถ้าจะดูเพื่อเอาสาระเนื้อหา ก็จะพบว่า แฝงอะไรไว้มากมายเช่นกัน หากมองในประเด็นเรื่องความน่ารังเกียจของสัตว์ประเสริฐอย่างมนุษย์ กลุ่มทหารและนักธุรกิจในภาพยนตร์ ก็คงเหมือนกับพฤติกรรมของคนในปัจจุบัน ที่ต่างก็รุกคืบรุกรานสิ่งมีชีวิตทางธรรมชาติไปเรื่อยๆ เพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน หรือหากมองความเป็นมนุษย์ด้วยกันเอง ก็มีนัยที่ผู้กำกับอาจเสียดสีถึงประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาของตนเอง ที่มีแสนยานุภาพทางการทหาร มีศักยภาพในการทำสงครามเป็นอันดับหนึ่งของโลก แม้จะกล่าวอ้างการบุกรุกประเทศอื่นๆว่า เพื่อสันติภาพ หรือคงไว้ซึ่งประชาธิปไตยอะไรก็ตาม แต่ทว่าภายใต้ควันปืน กลิ่นเลือด ไฟสงคราม ทุกอย่างก็เต็มไปด้วยผลประโยชน์ทับซ้อนอันมหาศาลทั้งในด้านทรัพยากร เศรษฐกิจ หรือความได้เปรียบด้านภูมิรัฐศาสตร์ อันส่งผลถึงอำนาจการเมืองระหว่างประเทศต่อไป ส่วนซัลลีกับกลุ่มผองเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ที่ร่วมต่อสู้ปกป้องบ้านของชาวนาวีผู้ถูกรุกราน จึงกลับกลายสถานะ คล้ายกับเป็นกลุ่มคนที่ทรยศ ฝ่าฝืนคำสั่ง แถมยังไปร่วม เข้าข้างกับอีกฝ่าย แต่เมื่อมองให้ลึกถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาในสงครามแพนโดร่าครั้งนี้ เห็นได้ว่ามาจากความโลภของมนุษย์กลุ่มหนึ่ง ซึ่งไม่สนใจว่า สิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นจะเป็นอย่างไร มองแค่ผลประโยชน์ของตนมาก่อนเท่านั้น ดังนั้นปฏิบัติการอันผิดศีลธรรม ทำลายกฎแห่งความสมดุลของธรรมชาติ หากเป็นตัวเรา จะเลือกทำตามคำสั่ง หรือทำตามคุณค่าอันดีงามภายในจิตใจ ประเด็นที่น่าคิด คือ แม้ซัลลีอาจถูกตราหน้าจากกองทัพฝ่ายทหาร ว่าเป็นคนทรยศต่อเผ่าพันธุ์มนุษย์โลก “แต่เชื่อเถอะซัลลี ว่าการตัดสินใจในครั้งนี้ นายไม่ได้ทรยศต่อความดี อันเป็นสิ่งที่พึงมีของสิ่งมีชีวิตที่เรียกตนเองว่าสัตว์ประเสริฐ” (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 113 เมษายน 2553 โดย ชยวรรศ มานะศิริ) http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9530000045986 (http://www.manager.co.th/Dhamma/viewnews.aspx?NewsID=9530000045986) |