[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ จิบกาแฟ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 25 พฤษภาคม 2560 17:09:23



หัวข้อ: ยิ่งโดนเยาะเย้ยยิ่งเห็นธรรม!
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 พฤษภาคม 2560 17:09:23

(http://www.suntiworrayan.com/sumatho2.jpg)
ภาพจาก : sites untiworrayan.com

ยิ่งโดนเยาะเย้ยยิ่งเห็นธรรม!
พระอาจารย์โรเบิร์ต สุเมโธ เล่าถึงความลำบากของ “หลวงพ่อชา”
ครั้งออกบิณฑบาตที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ

พระอาจารย์สุเมโธ เดิมชื่อ โรเบิร์ต แจ็คแมน อดีตทหารหน่วยเสนารักษ์แห่งกองทัพเรืออเมริกันในสงครามเกาหลี จบปริญญาโทจาก ม.เบิร์คเลย์ แคลิฟอร์เนีย เคยทำงานเป็นอาสาสมัครสันติภาพ เคยสอนภาษาอังกฤษที่เกาะบอร์เนียว และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนบรรพชาที่หนองคาย ๑ ปี หลังจากนั้นจึงเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ต่างชาติรูปแรกของหลวงปู่ชา

“อาตมาอยู่กับท่านหลายปี เมื่อพวกเราลูกศิษย์เกิดความเห็นผิด เบื่อการปฏิบัติ บางทีก็เกิดความสนใจทางโลก ท่านจะบอกว่าต้องดูใจตัวเองว่าเรายึดถืออะไร ทำไมถึงคิดอย่างนี้ทำอย่างนี้

ท่านไม่ได้สอนอย่างเดียว ท่านเองก็ปล่อยวาง ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร ท่านเอาสิ่งที่ประสบในการเป็นอาจารย์ เป็นเจ้าอาวาส มาเป็นธรรมะ เห็นธรรมะในชีวิตประจำวัน ในทุกสิ่งทุกอย่าง วัดป่าพงเสื่อมไปก็เป็นธรรมะ ลูกศิษย์มากก็เป็นธรรมะ ไม่มีลูกศิษย์ก็เป็นธรรมะ ลูกศิษย์ดี ลูกศิษย์ไม่ดี โลกมันเปลี่ยนแปลงอย่างไร ท่านก็รู้ในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”

“ตอนหลวงพ่อไปอังกฤษ อาตมาได้อยู่ใกล้ชิดท่าน จึงได้เห็นหลวงพ่อต่อสู้กับสิ่งแปลกๆ อย่างไร เวลาอยู่เมืองไทยท่านเป็นอาจารย์ใหญ่ ใครๆ ก็นับถือเคารพอย่างสูง แต่เมื่อไปอยู่เมืองอังกฤษ คนไม่รู้จักท่าน ท่านเดินไปบนถนน บางทีเขาก็เยาะเย้ย หัวเราะ เห็นว่าเป็นสิ่งแปลก ทำไมแต่งตัวอย่างนั้น โกนศีรษะด้วย

วันหนึ่งหลวงพ่อและเรากำลังบิณฑบาตในลอนดอน มีนักเลงเป็นเด็กผู้ชายสามสี่คนมาแสดงอาการอยากจะต่อสู้กับพวกเรา หลวงพ่อเดินข้างหน้า อาตมาเดินตามหลังท่าน ตอนนั้นอาตมาก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี ถ้านักเลงพวกนั้นจะทำร้ายหรือทำไม่ดีแก่ท่าน แต่นักเลงทั้งสี่คนนั้น ไม่ทำร้ายแต่แสดงความรังเกียจ เยาะเย้ย แล้วก็หนีไป

เมื่อกลับถึงที่พัก อาตมาก็ถามหลวงพ่อว่า มีความรู้สึกอย่างไร ท่านพูดว่า โอ้ ดีมากนะ อยู่ที่นี่ก็ได้ผลดีนะ ท่านบอกว่า ไม่เป็นไรนะ คนเยาะเย้ยแสดงความรังเกียจต่อท่าน ท่านก็เห็นว่าเป็นธรรมะเท่ากับอยู่ในกรุงเทพฯ ที่มีคนมาเคารพนับถือ สรรเสริญ นินทา ทั้งสองนี้มีค่าเท่ากัน ทำให้เกิดปัญญามาก ถ้ามีแต่สรรเสริญ คงจะไม่มีปัญหา ไม่มีความสามารถ ปัญญาจะเจริญต้องมีนินทาด้วย

หลวงพ่อไม่กลัวนินทา ไม่กลัวดินฟ้าอากาศที่ต่างกันกับประเทศไทย ไม่กลัวว่าอาหารฝรั่งจะเป็นอย่างไร อยากจะชิม อยากจะทดลองดู อยากจะอดทน ท่านไม่ถือเรื่องวัฒนธรรม ท่านอยากจะรู้สิ่งที่ควรทำในประเทศนั้น อยากจะสนทนาธรรมกับชาวอังกฤษเพื่อจะช่วยสอนได้ เพื่อจะชี้ทางไปถึงทางพ้นทุกข์ได้”

“ท่านเป็นคนอีสาน ชีวิตของท่านส่วนมากก็อยู่ในอีสาน แต่ท่านไปกรุงเทพฯ ท่านก็กลมกลืนกับชาวกรุงเทพฯ ได้ ไปอังกฤษก็สอดคล้องกับชาวอังกฤษได้ เพราะจิตใจท่านไม่ได้เป็นคนอีสาน ไม่ได้เป็นคนไทย จิตใจของท่านบริสุทธิ์ ไม่มีตัว ไม่มีตน มีแต่ความรู้ในปัจจุบัน ไปที่ไหนก็มีแต่เมตตากรุณาต่อสัตว์ทั้งหลาย

หลวงพ่อท่านมีความกรุณาอย่างสูง แม้ท่านมรณภาพแล้ว เราก็เอาความดี ความบริสุทธิ์ของท่านมาเป็นอาจารย์ ถ้าเรารักท่าน เราก็ต้องทำตามคำสอนของท่าน คำสอนนั้นคือธรรมะ เป็นที่พึ่งของเรา เป็นเครื่องเตือนสติถึงสิ่งที่บกพร่องในชีวิตเรา ต้องแก้ ต้องทำให้มันดีขึ้น ตั้งใจปฏิบัติด้วย ปัญญามากๆ ทิฏฐิมานะที่มีอยู่ เราต้องรู้จักมัน ปล่อยวางความคิดความเห็นที่เรายึดถือ และให้อยู่อย่างผู้มีปัญญาในปัจจุบัน ให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างนี้”


ที่มา : วารสารโพธิยาลัย