[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => จิตอาสา - พุทธศาสนาเพื่อสังคม => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 11:34:16



หัวข้อ: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 11:34:16
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)

http://www.mahaparamita.com/PDF/Download01/00.mp3



บันทึกการสนทนาของ............พระวิศวภัทร(เซี่ยเกี๊ยก)คืนวันมาฆบูชา 28 กุมภาพันธ์ 2553



หลังจากที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว และพระเมตไตรยพุทธเจ้ายังมิเสด็จมาตรัสรู้ สรรพสัตว์ดุจว่าไร้ซึ่งที่พึ่ง แล้วใครเล่าที่ที่รับภาระแบกรับสรรพสัตว์ในชมพูทวีปต่อจากพระศากยมุนีพุทธเจ้า ซึ่งก็คือพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ พระศาสดาทรงมอบพวกเราให้กับพระกษิติครรภ์
ดังนั้นพวกเราจึงต้องรู้จักและเข้าใจพระโพธิสัตว์องค์นี้ เพราะด้วยความรู้จักและเข้าใจจึงทำให้เกิดความศรัทธา สิ่งแรกจะต้องรู้จักความหมายของคำว่า
กษิติครรภ์ เสียก่อน คำว่า กษิติ (地)คือ แผ่นดิน ความหมายของดินตามพระนามของพระโพธิสัตว์คือ สงบขันติประดุจมหาปฐพี 「安忍不動,猶如大地。」 และคำว่า ครรภ์ (藏) คือลุ่มลึกประดุจคลัง 「靜慮深
密,猶如秘藏。」สงบขันติประดุจมหาปฐพี แสดงถึงอำนาจสมาธิฌานของพระกษิติครรภ์ เมื่อท่านออกจากสมาธิฌานจึงทำให้เกิดฤทธิ์ ได้นิรมาณกายหรือแบ่งกายไปมีจำนวนนับแสนโกฏิ (1 โกฏิ คือ สิบล้าน)บรรดาโลกต่าง ๆ ไม่มีประมาณในจักรวาลที่มีนรก พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็แบ่งกายไม่มีประมาณไปยังนรกเหล่านั้นเพื่อโปรดสัตว์ และบรรดาพุทธเกษตรต่าง ๆ ไม่มีประมาณในจักรวาล พระกษิติครรภ์



http://sunset-3155.blogspot.com/ (http://sunset-3155.blogspot.com/)


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 11:40:23
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


โพธิสัตว์ก็แบ่งกายไม่มีประมาณไปยังพุทธเกษตรเหล่านั้น แต่ละกายหนึ่งๆ ที่แบ่งภาคไปนั้นก็สามารถโปรดสัตว์จำนวนไม่มีประมาณ
ลุ่มลึกดุจคลัง หมายถึงเพราะความประณีตแห่งสมาธิฌานของพระกษิติครรภ์จึงทำให้เกิดปัญญาญาณ เมื่อมีปัญญาญาณ จึงสาสารถแล้วพุทธธรรมต่าง ๆ โปรดสัตว์ประเภทต่าง ๆ แต่หากจะอธิบายความหมายของคำว่า กษิติครรภ์โพธิสัตว์ ง่าย ๆ นั้นก็คือสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนเกิดและเติบโตโดยอาศัยดิน
และดินก็ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง พื้นมหาปฐพีมีความเสมอภาคต่อสรรพสัตว์ คือไม่เคยลำเอียงเลย ไม่ว่าสิ่งสวยงามน่ารักก็เติบโตบนพื้นดิน สิ่งน่ารังเกียงกรวดหินก็ตั้งอยู่และเกิดจากพื้นดิน พระโพธิสัตว์ก็แบบนี้ ที่ไม่ว่าจะเป็นคนดี หรือคนไม่ดี พระโพธิสัตว์ก็แลมองด้วยสายตาแห่ง
เมตตาเท่า ๆ กันคำว่า กษิติ หรือพื้นดินไม่เพียงแต่รองรับสิ่งสวยงามหรือสกปรกน่ารังเกียจเท่านั้น แม้แต่เพชร ทอง อัญมณีต่างๆก็เกิดจากพื้นดินแต่พื้น
ดินก็ไม่ได้มีจิตยินดี หากพวกท่านขับถ่ายลงบนพื้นดินพื้นดินก็ไม่ได้แสดงความรังเกียจแต่ประการใด พระโพธิสัตว์ก็แบบนี้ ที่ไม่ว่าจะสดุดีชื่นชมท่านก็ไม่
เกิดจิตยินดี แม้จะด่าว่าพระโพธิสัตว์ท่านก็ไม่เคืองโกรธหรือต่ำต้อยน้อยใจ
คำว่า ครรภ์ หรือคลังสมบัติ ก็คือ ใต้พื้นมหาปฐพีนี้มีคลังมหาสมบัติซ่อนอยู่มากมาย เพื่อชุบเลี้ยงสรรพชีวิต เช่น ดอกไม้ ต้นไม้ พืชพรรณ ธัญญาหารล้วนเกิดจากคลังสมบัติคือแร่ธาตุภายในดิน มนุษย์เองก็ถือเอาทอง เงิน รัตนชาติเป็นคลังสมบัติ พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์นี้มีคลังสมบัติแห่งบุญกุศลบารมีมากมายประมาณไม่ได้ เพื่อยังประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ พวกเราทั้งหลายหากต้องการความแข็งแรง ความมีอายุยืน ความร่ำรวย ก็จะได้ตามนั้น เหตุนี้จึงได้ชื่อว่า ครรภ์ หรือ คลังสมบัติคำว่า โพธิสัตว์ เป็นคำบาลี - สันสกฤต คำว่า โพธิ คือมรรค คือธรรม สัตว์ ก็คือจิตหรือสิ่งมีชีวิตที่มีใจครอง ดังนั้น โพธิสัตว์ จึงแปลได้ว่า สิ่งมีชีวิตที่มีธรรม สิ่งมีชีวิตที่ตื่นจากกิเลสก็ได้ ความรู้ตื่นจากกิเลสหมายถึงพุทธมรรค สิ่งมีชีวิตก็คือสรรพสัตว์ แปลโดยรวมอีกอย่างคือ สรรพสัตว์ผู้มีจิตใจยิ่งใหญ่ ที่ปรารถนาพุทธภูมิ


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 11:45:48
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


โพธิสัตว์ตามคติมหายานยังแบ่งเป็นฝ่ายบรรพชิตผู้ออกบวช กับฆราวาสผู้ครองเรือน อย่างเช่นท่านวิมลเกียรติคฤหบดี ในวิมลเกียรตินิทเทสสูตร ท่านก็เป็นคฤหัสถ์โพธิสัตว์ คือเป็นผู้ครองเรือนพร้อม ๆ ไปกับการประพฤติตนเป็นพระโพธิสัตว์ แต่ว่า ท่านวิมลเกียรตินี้เป็นพระโพธิสัตว์ชั้นสูง ที่มาจากอภิรตีโลกธาตุด้านทิศตะวันออกของพระอักโษภยะพุทธเจ้า ที่ปรากฏกายเป็นคหบดียังโลกของเรานี้ เพื่อมาช่วยพระศากยมุนีพุทธเจ้าโปรดสัตว์ หากเราท่านไม่มีปัญญา ขันติเสมือนท่านวิมลเกียรติก็จะต้องระวังการโปรดสัตว์ในสังคมโลกีย์ มิเช่นนั้น ตนเองจะแพ้หรือไม่เท่าทันกิเลส และตกสู่ห้วงโลกีย์เสียเอง แต่หากว่าเราท่านยังไม่บรรลุธรรมที่ไม่เสื่อมถอยอย่างแท้จริงแล้ว ทางที่ดีก็ควรจะห่างไกลจากวัตถุ หรือสิ่งเย้ายวนทางโลกีย์ต่าง ๆ ตั้งมั่นอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง แล้วบำเพ็ญศีล สมาธิปัญญาตามขั้นตอนดีกว่าเมื่อสมัยที่พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังประทับในโลก ก็มีบรรพชิตโพธิสัตว์มากมาย อย่างเช่น พระเมตไตรยโพธิสัตว์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นต้น ท่านเหล่านั้นก็ทรงศีล ทรงธรรมอยู่ท่านกลางหมู่สงฆ์สาวกเช่นกัน ทุกพระองค์เหล่านั้นต่างก็ต้องออกบวชเสียก่อน ถึงจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้ในคัมภีร์กษิติครรภ์ทศจักรสูตร (地藏十輪經) กล่าวว่า บรรดาพระพุทธเจ้าและมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายในอดีต ปัจจุบันและอนาคต เพื่อยังประโยชน์ให้หมู่สัตว์ จึงพยายามธำรงรักษา 2 สิ่ง
คือ...
1.เพื่อสืบสายพระรัตนตรัย ทำให้พระรัตนตรัยไม่ขาดสิ้น จึงสละเรือนแล้วออกบวช แล้วนุ่งห่มผ้า
ย้อมฝาดของพระศาสดา 2.เพื่อธำรงรักษาศรัทธาแห่งยานทั้ง
2 คือ เถรวาทและมหายาน
2 ประการนี้
มีเพียงพระพุทธเจ้า มหาโพธิสัตว์ และบุคคลที่มีจิตใจยิ่งใหญ่ จึงจะสามารถทำเช่นนี้ได้ ไม่ใช่ว่าท้าวมหาพรหมและพระเจ้าจักรพรรดิจะทำได้โดยง่าย
พวกเราทั้งหลายจึงควรตระหนักถึงเหตุปัจจัยในปัจจุบันของตนเอง ที่ไม่ว่าจะออกบวชหรือครองเรือน ก็ควรจะมีศีล เพียรปฏิบัติธรรมให้ดีในพระสูตรกล่าวยกย่องพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ว่า กษิติครรภ์ราชา หรือ ตี่จั้งอ้วง (地藏王) คำว่า ราชา หมายถึงผู้เป็นอิสระยิ่งใหญ่ หมายความว่าพระกษิติครรภ์ได้บรรลุธรรมสูงสุด ถึงมหาวิมุตติแล้ว..................................................................


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 11:49:33
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


เราทั้งหลายยังไม่พ้นจากวัฏสงสาร จึงเรียกว่ายังไม่เป็นอิสระ แต่พระกษิติครรภ์นั้นท่านเป็นอิสระจากวัฏสงสารแล้ว หากท่านต้องการมายังโลกมนุษย์เวลาใดก็ย่อมได้ จะไปเมื่อไรก็ย่อมได้ เข้าออกวัฏสงสารได้อย่างอิสรเสรี
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ปรากฏกายในภูมิมนุษย์ เทวดา เปรต นรกอยู่เสมอ หากถามว่าท่านปรากฏกายแบบใด ท่านก็ปรากฏกายในรูปของผู้ออกบวช นุ่งห่มผ้าย้อมฝาด มือข้างหนึ่งถือดวงแก้วอีกข้างหนึ่งถือ คฑาธุดงค์ ดั่งคำว่า แก้วมณีโชติสว่างถึงเทวมณเฑียร สุวรรณคฑาเบิกนรกทวาร「明珠照徹天堂路,金錫鎮開地獄門。」 พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เพื่อจะทำให้สรรพสัตว์เคารพและเลื่อมใสพระรัตนตรัย จึงปรากฏกายในรูปของพระสงฆ์
พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้มายังโลกมนุษย์หลายครั้ง ครั้งหนึ่งท่านมาถือกำเนิดในตระกูลของ
พระราชาแห่งเมืองซินหลั่ว (新羅國) หรือประเทศเกาหลีในปัจจุบัน ตระกูล จิน พระนามว่าเฉียวเจวีเย๋ (金喬覺) เมื่อพระชนมายุ 24 พรรษาทรงออกผนวชแล้วเสด็จมายังภูเขาเก้ายอด (九華山) ประเทศจีนพร้อมกับสุนัขสีขาวตัวหนึ่งชื่อ ซ่านทิง (善聽) ท่านเห็นว่ายอดเขาทั้ง 9 นี้
มีลักษณะเหมือนดอกบัวและเป็นสัปปายะเหมาะแก่การบำเพ็ญสมณธรรม จึงได้พักอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งยามกระหายน้ำก็ดื่มน้ำจากป่า ยามหิวก็เสวยดินละเอียดสีขาวชนิดหนึ่ง (ชาวพื้นเมืองจิ่วหัวซานเรียกว่าดินกวนอิม) นำมาคลุกกับข้าวแล้วต้ม ต่อมามีคนมาพบพระกษิติครรภ์อยู่ในถ้ำโดยไม่ได้ตั้งใจ
เห็นว่าท่านมีความเป็นอยู่ยากลำบากยิ่งนัก จึงปรึกษาชาวบ้านว่าจะสร้างวัดขึ้นแห่งหนึ่งสมัยนั้นที่เขาเก้ายอด มีคหบดีผู้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาชื่อ
หมิ่นกง(閔公) ใจบุญสุนทาน เลี้ยงพระคราวใดก็ต้องนิมนต์พระกษิติครรภ์มาด้วยทุกครั้ง เมื่อได้ยินว่าพระกษิติครรภ์จะสร้างวัด ตนเองจึงสมัครใจจะถวายที่ดินให้ ท่านหมิ่นกงจึงถามพระกษิติครรภ์ว่าต้องการที่ดินในการสร้างวัดเท่าใด พระกษิติครรภ์ตอบว่า ต้องการที่ดินขนาดเท่าจีวรผืนเดียวเมื่อท่านหมิ่นกงมอง ๆ ดูแล้วเห็นว่าจีวรผืนหนึ่งก็ไม่กี่ฟุต แต่เมื่อขึงกางจีวรออกแล้ว ก็ปกคลุมไปทั่วเขาทั้งเก้ายอด เมื่อท่านหมื่นกงเห็นเช่นนั้นก็รู้ว่าเป็นฤทธิ์ของอริยสงฆ์โดยแท้ ท่านจึงจัดแจงถวายเขาทั้งเก้ายอดให้พระกษิติครรภ์เมื่อชาวเมืองซินหลั่ว รู้ข่าวว่าราชบุตรเมืองของตนมาบำเพ็ญธรรมที่เขาเก้ายอดก็เดินทางมาติดตามพระภิกษุกษิติครรภ์เป็นจำนวนมาก...........................................................


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 11:54:11
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


เวลานั้นบุตรชายของท่านหมิ่นกงก็ออกบวชติดตามพระกษิติครรภ์ด้วย มีธรรมฉายาว่า ภิกษุเต้าหมิง (道明和尚) อีกไม่ช้านาน ท่านหมิ่นกงกฌออกบวชโดยกราบบุตรของตนเองเป็นอาจารย์ ดังนั้นเราจึงเห็นข้าง ๆ รูปเคารพของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ มีพระภิกษุหนุ่ม และคหบดีหนวดเครายาวยืนอยู่ซ้ายขวาพระภิกษุกษิติครรภ์ได้เป็นผู้นำสาธุชนจำนวนมากปฏิบัติธรรมที่เขาเก้ายอดเป็นเวลา 75 ปีเมื่อพระกษิติครรภ์มีพระชนมายุได้ 99 พรรษา ในคืนวันที่ 30 เดือน 7 ตามจันทรคติจีน (潤七月三十日) ท่านได้ดับขันธ์ลง ภูเขาเก้ายอดของประเทศจีนจึงเป็น 1 ใน 4 ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของจีนมาจนถึงปัจจุบันพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ยังมีอีกพระนามคือ ผู้ปลอบประโลมหมู่สัตว์ (善安慰說者)ท่านสามารถใช้วิธีการที่แยบคาย สามารถอธิบายอรรถะข้อธรรมที่ยากให้ง่าย และสามารถนำพาผู้เริ่มศึกษาการเป็นโพธิสัตว์ให้พวกเขามีจิตที่ไม่ท้อถอยอีกด้วยพระกษิติครรภ์ก็เหมือนกับพระศากยมุนีพุทธเจ้า ที่มีปณิธานจะมาโปรดสัตว์ในโลกแห่งความเสื่อม พระกษิติครรภ์นี้ท่านมีน้ำพระทัยยิ่งใหญ่นัก ยิ่งโลกเสื่อมและสกปรกเท่าใดท่านยิ่งต้องการไปเท่านั้น สัตว์โลกยิ่งมีกรรมชั่วหนักหนาเท่าใดท่านยิ่งต้องการไปโปรดเท่านั้น เมื่อพระศากยมุนีพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ในโลกแห่งความเสื่อมนี้แล้ว ดังนั้นพระกษิติครรภ์จึงเป็นผู้สืบต่อภาระจากพระศากยมุนีพุทธเจ้าหลังจากที่ทรงปรินิพพานแล้วโดยชอบอย่างยิ่ง ในกษิติครรภ์มูลปณิธานสูตร (地藏菩薩本願經) กล่าวว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงมอบพวกเราทั้งหลาย ให้กับพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ เราจึงวางใจได้อันที่จริงนั้น แม้พระศากยมุนีพุทธเจ้ายังไม่ได้ทรงมอบพวกเราให้พระกษิติครรภ์พระกษิติครรภ์ก็ได้โปรดสัตว์อยู่ในสหาโลกธาตุแห่งนี้มาแล้ว 11 กัลป์ การโปรดสัตว์ของพระกษิติครรภ์นั้นพระสูตรกล่าวว่า มีแต่พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ และพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์เท่านั้นที่เทียมเท่าได้นอกจากพระมหาโพธิสัตว์ 2 องค์นี้แล้ว ก็ไม่มีโพธิสัตว์องค์ใดเลยที่เทียบเท่าได้พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มีปณิธานหรือความตั้งใจมั่นว่า “เมื่อโปรดสรรพสัตว์หมดสิ้นแล้วจึงจะสำเร็จโพธิญาณ หากนรกยังไม่ว่างจะไม่ขอสำเร็จพุทธผล 「眾生度盡方証菩提,地獄未空誓不成佛。」ข้อนี้ทำให้รู้ว่าความตั้งใจของพระกษิติครรภ์ในการที่จะโปรดสัตว์นั้นไม่จำเพาะเจาะจงอยู่แต่โลกแห่งนี้ แต่ไปทั่วโลกธาตุต่าง ๆ ไม่มีที่จำกัดและสิ้นสุด ดังนั้นจึงขนานนามพระองค์ว่า พระมหาปณิธานกษิติครรภ์ราชาโพธิสัตว์(大願地藏王菩薩)


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 11:57:49
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


เมื่อครั้งที่พระศากยมุนีพุทธเจ้าทรงแสดงกษิติครรภ์มูลปณฺธานสูตรที่ดาวดึงส์สวรรค์ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยปัญญา พระสมันตภัทรโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยจริยาวัตร พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ผู้เลิศด้วยกรุณา ต่างก็มาอนุโมทนาสาธุการ ข้อนี้เป็นเพราะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์คือ มหาปณิธานราชา หรือผู้เป็นใหญ่แห่งปณิธาน (大願王) ความหมายคือ มหาปณิธานนั้นคลอบคลุมไปทั้งมหาปัญญา มหาจริยาวัตร และมหากรุณา เมื่อมีมหาปัญญา มหาจริยาวัตร และมหากรุณาแล้วจึงสามารถประกาศมหาปณิธานได้ ความยิ่งใหญ่ทั้ง 3 นี้จะขาดสิ่งใดไม่ได้ หากคนไม่มีปัญญา
เขาก็จะมีกิเลสมากทุกวันตนเองก็ได้แต่สั่งสมสิ่งเศร้าหมองของจิตไม่รู้ ไม่คิดจะขจัดสิ่งนั้นออกไป ผ่านไปวันแล้ววันเล่าก็ไม่เห็นโทษของกิเลสจึงทำให้จมกองทุกข์ยิ่งขึ้น จนยากที่จะถอนตัว คนแบบนี้จะมีปณิธานจะช่วยเหลือสรรพสัตว์ได้อย่างไรหากมีปณิธานตั้งใจจะช่วยเหลือสรรพสัตว์แต่ผู้ไม่ปฏิบัติโพธิสัตวธรรม ความหวังนั้นก็เป็นจริงไม่ได้ ดังนั้นเมื่อประกาศปณิธานแล้วจึงต้องประพฤติโพธิสัตวจริยา และหากไม่มีจิตเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่เป็นพื้นฐาน ผู้นั้นก็จะมีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เพื่อสรรพสัตว์ไม่ได้เลยในมหาปณิธานของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จึงมีทั้งมหาปัญญา มหาจริยา มหากรุณารวมอยู่พร้อม ทั้งยังมีความอาจหาญ พากเพียร ไปยิ่งกว่าพระโพธิสัตว์อื่น ๆ ในคัมภีร์กษิติครรภ์ทศจักรสูตรปริเฉทที่ 1 ได้กล่าวเปรียบเทียบ
อานิสงค์ไว้ดังนี้......................................…
พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูก่อนกุลบุตร สมมุติว่ามีบุคคลหนึ่ง ได้มีจิตเลื่อมใส เคารพบูชานอบน้อมเป็นที่พึ่ง ภาวนาถึง และตั้งจิตอธิษฐานต่อ
เมตไตรยะ มัญชุศรี อวโลกิเตศวร สมันตภัทร และมหาโพธิสัตว์ ทั้งหลายที่มีจำนวนเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา อยู่ตลอดเวลาหนึ่งร้อยกัลป์
กุศลนั้นก็ยังไม่เท่ากับอีกบุคคลหนึ่ง ที่มีจิตเลื่อมใส เคารพบูชา นอบน้อมเป็นที่พึ่ง ภาวนาถึง ตั้งจิตอธิษฐานต่อกษิติครรภ์โพธิสัตว์ แม้เป็นเวลาเพียงการบริโภคอาหารมื้อหนึ่ง ความปรารถนาทั้งปวงที่มีอยู่ในใจ ก็จะสำเร็จอย่างรวดเร็วเหตุไฉนนั้นฤๅ เพราะกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้ยังประโยชน์
และความผาสุกแก่หมู่สัตว์ทั้งหลายเป็นอันมาก จึงทำให้ความปรารถนาทั้งหลายของหมู่สัตว์ได้สมบูรณ์พร้อม เป็นดุจแก้วจินดามณี แลดุจคลังมหาสมบัติ เพราะโพธิสัตว์องค์นี้ปรารถนาจะสั่งสอนหมู่สัตว์ทั้งหลาย มีปณิธานและกรุณาที่ยิ่งใหญ่มานานแสนนาน มีความกล้าหาญและพากเพียรยิ่งนัก มากกว่าโพธิสัตว์ทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เธอทั้งหลายพึงสักการะบูชาเถิด...........................................


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 12:03:49
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


เหตุผลที่มีอานิสงค์เช่นนี้อ้างตามกษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตรตอนหนึ่งว่า พระเมตไตรยะ พระมัญชุศรี พระอวโลกิเตศวร พระสมันตภัทร ซึ่งล้วนแต่เป็นมหาโพธิสัตว์ ปณิธานของแต่ละพระองค์นั้น ยังมีที่สิ้นสุดลงได้ แต่ปณิธานของพระกษิติครรภ์นั้น ไม่มีสิ้นสุด อานิสงค์จึงหา
ประมาณไม่ได้ ไปตามกำลังของปณิธานน่าสังเกตอย่างหนึ่งที่ว่าการเลื่อมใสสักการะพระกษิติครรภ์ แล้วจะได้รับผลบุญมากมายกว่ากราบกราบไหว้พระโพธิสัตว์อื่นๆ คือ สัตว์ในนรกหรืออบายภูมินั้น ล้วนแต่เป็นผู้มีกรรมหนัก ขึ้นชื่อว่าเกิดในอบายแล้ว ก็ย่อมหาความเจริญไม่ได้ เป็นผู้โง่เขลา สอนยาก เพราะกรรมเก่ามาปิดกั้นปัญญาให้เห็นธรรมยาก แต่พระกษิติครรภ์ก็ยังมีกรุณาไพศาล เลือกที่จะไปโปรดสัตว์ในภพภูมิเหล่านี้ ด้วยความอดทนและวิริยะ ท่านใช้อปายะหรือวิธีการมากมายเพื่อโปรดสัตว์นรกเหล่านั้น จึงเรียกได้ว่า งานของพระกษิติครรภ์นั้นยากกว่างานอื่นๆ หลายเท่านัก ในพระสูตรว่า ครั้งหนึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายถามพระกษิติครรภ์ว่า เหตุใดท่านถึงลงไปโปรดสัตว์ในนรก พระกษิติครรภ์ตอบว่า หากเราไม่ไปแล้วใครจะไป ซึ่งถือเป็นคำตอบที่สั้น ๆแต่ได้ใจความปัจจุบันมนุษย์โลกแม้จะได้ใกล้ชิดพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม ได้มีโอกาสถือศีล ขัดเกลากิเลส
ฝึกสติตามรู้ตามดูกายและจิต ให้เห็นตามเป็นจริง แต่หลายท่านก็ยังประมาทอยู่ ยังนึกกันว่าเรายังมีเวลาอีกมาก หากความตายมาถึงเราแล้วก็จะไม่ทันการ ต้องไปเกิดในอบายภูมิเป็นภาระของพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์อีกข้อนี้คือเหตุผลที่ว่า หาใช่พระมหาโพธิสัตว์อื่น ๆ จะด้อยกว่าพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ แต่ว่ามหาปณิธานของพระกษิติครรภ์ เป็นเลิศกว่าปณิธานของโพธิสัตว์องค์อื่นๆ ดั่งคำที่ว่า ความกรุณาของพระอวโลกิเตศวร เป็นเลิศกว่ากรุณาของโพธิสัตว์ทั้งปวง ปัญญาของพระมัญชุศรีเป็นเลิศกว่าปัญญาของโพธิสัตว์ทั้งปวง แต่ละพระองค์ล้วนเสมอภาคกัน หมู่สัตว์ย่อมมีจิตศรัทธาต่อพระโพธิสัตว์องค์อื่น ๆ ได้ตามจริตอัธยาศัยของตน ซึ่งจะได้รับมหากุศลที่ไม่มีประมาณทั้งสิ้น“เมื่อโปรดสรรพสัตว์หมดสิ้นแล้วจึงจะสำเร็จโพธิญาณ หากนรกยังไม่ว่างจะไม่ขอสำเร็จพุทธผล เพราะเหตุปัจจัยอะไรจึงทำให้พระกษิติครรภ์โพธิสัตว์มีปณิธานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ ขอให้พวกเราไป
อ่านกษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร ซึ่งมีกล่าวบรรยายไว้อย่างละเอียด พระกษิติครรภ์ไม่ได้ประกาศปณิธานว่า โปรดสัตว์จนนรกว่าง มาแค่ชาติเดียว หรือสองชาติ แต่ท่านประกาศปณิธานแบบนี้มาหลายชาติประมาณไม่ได้เพราะพระกษิติครรภ์พบเห็นสัตว์ที่ทำบาป ชาตินี้ทำกรรมชาติถัดไปก็ได้รับทุกข์ เมื่อชาติที่รับทุกข์ก็ยังทำกรรมอีก ทำให้ชาติถัด ๆไปก็ต้องรับกรรมอีกไม่จบสิ้น บาปและทุกข์ของสรรพสัตว์ ไม่มีที่>>>>>>>>>>>


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 12:06:51
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


สิ้นสุดเลย ยกตัวอย่างให้ชัดเจนคือ มีคนขี้โมโหหงุดหงิดมาก ชาติหน้าเขาจะได้รับผลกรรมทำให้มีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์และเมื่อชาติที่เขาเกิดมามีหน้าตาไม่น่ารักแล้ว นิสัยขี้โมโหและฉุนเฉียวก็ยังอยู่ หากเขาเห็นคนสวยคนหล่อ ก็เกิดจิตคิดจะทำร้าย จึงทำให้ในชาติที่สามถัดไปอีกก็ต้องมีรูป่าง
หน้าตาที่น่ารังเกียจอย่างเดิม หากเขาไม่ระงับความโกรธ ความขี้โมโห ความแค้นอาฆาตให้ได้ในชาตินี้ก็จะเป็นนิสสัยเบื้องลึกให้โทษแก่ตัวเองไม่มีที่จบสิ้นหนักเข้าก็ต้องตกสู่นรกภูมิ เมื่อพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์เห็นสรรพสัตว์เป็นทุกข์และมีบาปที่ไม่มีที่สิ้นสุดแบบนี้ ท่านก็จึงประกาศปณิธานจะโปรด
สรรพสัตว์ยิ่งขึ้นไปอีกไม่สิ้นสุดเช่นกัน หมายให้พวกเขาไม่ต้องจมในทะเลทุกข์อีกในคำสอนของพระพุทธศาสนา แบ่งการเกิดและตายของมนุษย์เป็น 4 อย่างคือ........................................................
1. ผู้มามืดไปมืด ความมืดนี้ไม่ได้หมายถึงนรกอย่างเดียว ความมืดบนโลกมนุษย์อีกด้วยก็คือ
ความยากจน มีทุกข์มาก มีโรคมาก หากได้เกิดในที่มืดแล้วยังทำกรรมชั่วอีก เมื่อตายไปก็ต้อง
ตกอบายภูมิแน่นอน
2. ผู้มามืดไปสว่าง หมู่สัตว์ที่ถึงแม้จะเกิดในครอบครัวยากจน เกิดในที่ๆเต็มไปด้วยภัยพิบัติ
อันตราย แต่ตนเองก็ยังพยายามช่วยเหลือผู้อื่น ถือศีลสร้างบารมี เมื่อสิ้นชีพแล้วก็จะได้ไป
เสวยบุญในเทวโลก
3. ผู้มาสว่างไปมืด คือผู้ที่เกิดในตระกูลที่ร่ำรวย มีร่างกายน่ารักและฉลาด จึงเรียกว่าเป็นผู้ที่มา
สว่าง แต่ทว่าตนเองกลับใช้ทรัพย์สินและอำนาจทำบาป เมื่อตายไปจะต้องรับทุกข์ในอบายภูมิ
3 จึงเรียกว่ามาสว่างไปมืด
4. ผู้มาสว่างไปสว่าง คือผู้ที่แม้ว่าตนเองจะมีเงินทอง หน้าตาน่ารักน่าชม ทั้งยังเฉลียวฉลาด แต่ก็
ยังหมั่นสร้างบุญบารมีอีก เมื่อสิ้นใจแล้วก็ไปเกิดบนสวรรค์หรือเสวยสุขบนโลกมนุษย์


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 12:11:12
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


ไม่ว่าจะเกิดหรือตายแบบไหนก็จะต้องมีสักวันที่เกิดมาแล้วไม่รู้จักพุทธธรรมไม่เข้าใจเหตุผลเรื่องกฎแห่งกรรมซึ่งเป็นการง่ายต่อการทำบาปและตกนรก หากว่าไม่มีพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ที่โ)รดสัตว์อยู่ในนรก บัดนี้พวกเราทั้งหลายคงยังรับทุกข์อยู่ในนรกเป็นแน่ ในแต่ละวันเวลาเช้าเที่ยงและค่ำ
คืนพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ จะแสดงธรรมในนรก เพื่อให้สัตว์นรกได้ฟังพุทธธรรมเพื่อปลูกฝังบุญกุศลเมื่อกุศลเจริญงอกงาม ก็ย่อมสำนึกได้ว่าตนเองมีความผิด แล้วจึงขมากรรม เมื่อขมากรรมแล้วพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ก็จะส่งพวกเขาออกจากนรก พวกเราก็เป็นผู้ที่พระกษิติครรภ์เคยช่วยให้พ้นจาก
นรกเช่นกัน เพราะไม่มีใครเลยในโลกที่ไม่เคยลงนรก พระกษิติครรภ์จึงมีพระคุณกับพวกเรา เราควรขอบคุณท่านอย่างยิ่ง และควรรู้จักท่านให้ถูกต้องด้วย
ในคัมภีร์ฝ่ายมหายานที่กล่าวถึงพระกษิติครรภ์มีอยู่หลายเล่ม แต่เป็นที่แพร่หลายมีอยู่ 3 เล่มคือ...........................................
1.มหาสังคีติกษิติครรภ์ทศจักรมหายานสูตร (大乘大集地藏十輪經)
2.สูตรว่าด้วยการทำนายวิบากกรรมดีชั่ว (占察善惡業報經)
3.กษิติครรภ์โพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร
(地藏菩薩本願經) เล่มที่ 3 นี้เป็นที่รู้จักแพร่หลายที่สุด เรียกย่อ ๆว่า ตี่จั้งเกง ตี่จั้งเกงถือว่าเป็นพระสูตรแห่งความกตัญญูของพุทธศาสนา กล่าวคือความกตัญญู 2 เรื่อง คือ......................................................................
1.พระศากยมุนีพุทธเจ้าได้
เสด็จไปดาวดึงส์เทวโลกเพื่อแสดงธรรมโปรดพุทธมารดา เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณและ
2. หลายภพหลายชาติที่พระกษิติครรภ์ได้ช่วยมารดาออกจากนรกแล้วตั้งมหาปณิธานในพระสูตรกล่าวว่า การให้ร้ายทำลาย หัวเราะเยาะผู้ที่เคารพเลื่อมใสบูชาพระกษิติครรภ์ จะเป็นบาปใหญ่หลวงนัก จะต้องรับทุกข์ในนรกอเวจี แล้วทำไมนรกแห่งนี้จึงเรียกว่า อเวจี(阿鼻地獄) ตามความหมายแบบมหายานบอกว่า มาจากภาษาอินเดีย ความหมายคือ ไม่อาจช่วยได้ (無救)กล่าวคือ เมื่อเข้าไปในอเวจีแล้วเพียงครั้งเดียว ก็จะช่วยให้ออกมายากเหลือเกิน อเวจี ยังแปลได้อีกว่าไม่ปกปิด (無遮) คือหากใครตกอเวจีแล้ว ไม่มีใครอาจหยุดยั้งได้ อเวจีเป็นนรกที่รับทุกข์มากที่สุด
เพราะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์ได้บรรลุถึงสัจจธรรมความจริงของฟ้าดิน หรือก็คือได้บรรลุธรรม.........................................


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 12:15:07
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


แล้วหากให้ร้ายทำลายพระกษิติครรภ์ก็คือการทำลายธรรมจึงมีบาปหนัก บาปนั้นไม่ใช่พระโพธิสัตว์มอบให้ แต่เป็นเพราะเราให้ร้ายพระโพธิสัตว์จึงเกิดเป็นบาปขึ้น อุปมา เราถ่มน้ำลายใส่ฟ้าน้ำลายนั้นย่อมตกมาที่เราเอง ซึ่งเป็นน้ำลายที่เราถ่มเอง ไม่ใช่ฟ้าถ่มใส่เรา
ยังมีบางคนกล่าวว่า พระกษิติครรภ์เป็นเพียงหัวหน้าผีที่เป็นใหญ่ในนรก มีความเกี่ยวข้องผูกพันกับวิญญาณและนรกโดยเฉพาะ
ไม่เกี่ยวข้องกับคนเราเลยนับเป็นความเห็นที่ผิด ยิ่งขนาดที่ห้ามกราบไหว้บูชาและอ่านท่องพระสูตรของพระกษิติครรภ์ในบ้านอีกด้วยซึ่งจะเป็นการเรียกภูติผีเข้าบ้าน นี่ก็เป็นความเข้าใจผิดอีกข้อ ในพระสูตรชื่อ มหาสังคีติกษิติครรภ์ทศจักรมหายานสูตร และสูตรที่ว่าด้วยการทำนายวิบากกรรมดีชั่ว กล่าวว่า พระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า พระกษิติครรภ์ได้บรรลุปัญญาญาณที่ลึกซึ้งแล้ว สามารถที่จะบรรลุพุทธภูมิได้แล้ว แต่ว่าท่านยังหวนนึกถึงปณิธานของตนเอง
เมื่อก่อนอยู่ จึงจะขออยู่ช่วยให้สรรพสัตว์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก่อน แล้วตนเองจึงจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ดังนั้น พระกษิติครรภ์จึงยังอยู่ในรูปกายของโพธิสัตว์ โปรดสัตว์ทั้ง 6 ภูมิอยู่ทั่ว 10 ทิศแล้วจะพูดว่าพระกษิติครรภ์เกี่ยวข้องแต่นรกและภูตผีได้อย่างไรพระศากยมุนีพุทธเจ้าตรัสว่า พระกษิติครรภ์มีรูปกายงดงามสง่า ประเสริฐและวิเศษอย่างยิ่งเว้นแต่พระพุทธเจ้าแล้ว ไม่มีผู้ใดประเสริฐและสง่างามไปกว่าพระกษิติครรภ์อีกแล้ว หากพระกษิติ
ครรภ์เป็นหัวหน้าผี มีรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัว พระพุทธองค์จะไม่ทรงสรรเสริญแบบนี้ ในกษิติครรภ์ทศจักรมหายานสูตรก็กล่าวว่า พระกษิติครรภ์เสมือนดวงตาที่บริสุทธิ์ของโพธิสัตว์ทั้งหลาย สามารถเป็นผู้นำหมู่โพธิสัตว์ให้บำเพ็ญบารมี แล้วจะประสาใดกับบุถุชนทั้งปวง” พระพุทธเจ้าทั้งในอดีต ปัจจุบัน
และในอนาคตเบื้องหน้า ก็ทรงสรรเสริญพระกษิติครรภ์ ในพระสูตรกล่าวอีกว่า ในชาติหนึ่งพระกษิติครรภ์เคยเป็นพระราชา แล้วตั้งปณิธานไว้กับพระราชาอีกองค์ พระราชาอีกองค์นั้นได้กล่าวว่าขอให้เราสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าโดยเร็ว แล้วเราจะมาช่วยสัตว์ให้พ้นทุกข์และพระราชาอีกองค์ก็กล่าวว่าตราบใดสัตว์ยังไม่พ้นทุกข์ทั้งหมด เราจะไม่ขอสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งพระราชาองค์แรกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านานมาแล้ว แต่พระราชาองค์หลัง(พระกษิติครรภ์) ก็ยังโปรดสัตว์ให้หมดสิ้นตามปณิธานอยู่ถึงปัจจุบัน ตามที่พูดไปแล้วว่า หากพระกษิติครรภ์ก้าวสู่พุทธภูมิอีกก้าวเดียวก็สามารถตรัสรู้ได้ทันที แต่ท่านได้เสียสละอย่างใหญ่หลวง อันเราสามารถยึดมั่นเป็นที่พึงได้ อย่างไม่ต้องสงสัย......................................................


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 12:18:42
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


ข้อที่คนทั่วไปสงสัยจนอาจกล่าววาจาจาบจ้างพระกษิติครรภ์ว่าเพียงเห็นรูป หรือได้ยินพระสูตร หรือเลื่อมใสบูชาจะทำให้รอดพ้นจากนรกได้นั้นเป็นเรื่องเหลวไหล ก็จะขออธิบายให้ฟังเลยว่าการเห็นรูป หรือการเลื่อมใสพระโพธิสัตว์องค์นี้ ตามนัยยะทางธรรมแล้วนั้น
ไม่ใช่สักแต่ว่าเห็น หรือสักแต่ว่าการก้มหัวลงไปกราบ หรือจุดธูปเทียนอย่างดี ถวายเครื่องกระดาษเงินทองมาก ๆ แล้วจะเรียกว่าเลื่อมใสบูชา
สิ่งเหล่านี้เป็นความเข้าใจผิดของชาวโลกที่ไม่มีปัญญาเท่านั้น ความเข้าใจที่ถูกต้องสามารถไปปฏิบัติได้จริง ก็คือกฎแห่งกรรม ในกษิติครรภ์มูลปณิธานสูตร (ตี่จั้งเกง) มีกล่าวไว้ 23 ข้อไม่ได้ละเว้นแม้แต่พระภิกษุ ภิกษุณี ซึ่งถ้าเราละกรรมชั่ว 23 ข้อนี้ได้ ก็มั่นใจได้ว่าในชาตินี้ตนเองครอบครัว ประเทศจะสันติสุขแน่นอนและในโลกหน้าก็จะได้พบความสุข จุดประสงค์ในการหมั่นสอนเรื่องกฎแห่งกรรม ก็เพื่อให้ผู้ที่ไม่รู้ตัว
ว่าตนเองกำลังทำผิดอยู่ได้รู้ตัวและหยุดการกระทำนั้นเสีย ผู้ที่ทำผิดแล้ว
ก็ให้สำนึกผิดและไม่ทำอีก แม้มีกรรมหนักก็จะทุเลาเบาบางไปได้บ้างก็ยังดี ยิ่งสำนึกและขมากรรมด้วยใจจริงและมากเท่าไร วิบากกรรมก็จะเบา
บางไปเท่านั้น เพราะบุญและบาปเกิดขึ้นที่ใจเราทั้งสิ้น จึงขอให้เราทุกคนระวังใจให้ดี เพราะใจเราคิดชั่ว ความชั่วถึงออกมาทางกายและวาจาถึง
บอกว่าเมื่อเราสำนึกผิดด้วยใจจริงแล้ว กุศลกรรมจะเกิดขึ้นแทนที่ความผิดในใจ แต่การสำนึกผิดอย่างแท้จริงนั้นมีน้อยคนที่ทำได้เพราะมีวิบากชั่วปิดกั้นจิตอยู่นอกจากจะอาศัยพุทธานุภาพ หรือกำลังปณิธานของพระโพธิสัตว์องค์ที่มีความตั้งใจจะช่วยเหลือสัตว์โลกแบบนี้นรกและสวรรค์นั้น ไม่ใช่พระพุทธเจ้า หรือ เทพพรหมใด ๆ สร้างขึ้น แต่เกิดขึ้นเพราะกรรมดีและกรรมชั่วที่สัตว์โลกสร้างขึ้นเอง สมัยพุทธกาลมีพระรูปหนึ่ง
นั่งสมาธิในป่าช้าได้เห็นเทวดาองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ แล้วนำดอกไม้ทิพย์มาบูชาร่างที่ไร้วิญญาณในป่าช้า พระภิกษุจึงถามเหตุผลเทวดาจึงตอบว่า ศพนี้คือร่างของเราในอดีต เพราะร่างนี้หมั่นรักษาศีล ทำความดี ฟังธรรม เมื่อตายไปเราจึงได้ไปเสวยสุขบนสวรรค์ ดังนั้นเราจึงเอาดอกไม้
มาบูชา พระจึงตอบไปว่า เธอควรบูชาดอกไม้ให้กับใจของเธอเองทำให้เธอคิดจะทำความดีเถิด เมื่อเทวดาได้ยินแบบนี้ก็เกิดปัญญาแล้วกลับสวรรค์ไป...........................................


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 12:26:04
(http://img.zuzaa.com/image.php?id=E1B0_4BCE964F)


ต่อมาพระภิกษุได้เห็นผีเปรตมาทุบตีซากศพในป่าช้าพระท่านก็ถามเหตุผลก็ได้รับคำตอบว่าร่างนี้เคยเป็นของข้าเมื่อชาติก่อน เพราะว่ามันได้แต่อิจฉาริษยา ละโมบโลภมาก พอร่างนี้แตกดับจึงทำให้ข้าจึงมาเกิดเป็นเปรตหิวโหยอย่างนี้ พระตอบไปว่า เธอควรทุบตีใจของตัวเองที่เป็นเหตุให้เธออิจฉา ฯลฯ ร่างนี้ของเธอไม่ได้เกี่ยวข้องด้วยเลย เมื่อเปรตได้ยินจึงมีสติแล้วกลับไปหากจิตและความชั่วรวมกันแล้วนรกจึงเกิด เมื่อจิตและความดีรวมกันสวรรค์จึงเกิด ทุกๆคนสามารถสร้างสวรรค์และนรกได้ จนถึงสามารถสร้างพุทธเกษตรของตนเองก็ได้ด้วยการบำเพ็ญบารมีเป็นพระพุทธเจ้า นรก สวรรค์พุทเกษตรแต่เดิมนั้นไม่มี นรกเกิดขึ้นเพราะกรรมชั่ว สวรรค์เกิดขึ้นเพราะกรรมดี พุทธเกษตรเกิดขึ้นเพราะพระกรุณาและอุปายะของพระพุทธเจ้าในการโปรดสัตว์ พระกษิติครรภ์เมตตาสงสารสัตว์โลก ทุกข์เกิดจากบาป ท่านจึงขอให้เราอย่าทำบาป เมื่อไม่มีบาปก็ไม่มีทุกข์ แล้วการไม่ทำบาปเป็นอย่างไร ก็คือการมีศีล 5 ศีล 8 ก็รับรองได้ว่าจะไม่ตกอบายภูมิแน่นอนการเห็นรูปของพระกษิติครรภ์ คือการเข้าใจและซาบซึ้งในปณิธานที่
ยิ่งใหญ่ของพระกษิติครรภ์ว่าท่านมีความตั้งใจว่าจะโปรดสัตว์ผู้มีบาปให้หมดจากนรกและการอ่านท่องพระสูตรจนเลื่อมใสนั้นก็คือ เมื่ออ่านท่องพระสูตรแล้ว ก็น้อมจิตพิจารณาตามคำสอน ที่ว่าด้วยเรื่องกฎแห่งกรรม หากเข้าใจได้ตามนี้ จึงจะเกรงกลัวและละอายบาป ไม่กล้าทำผิดอีก บาปก็ไม่เกิดอีก เราจึงพ้นจากนรกได้ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า ได้เห็นรูปพระโพธิสัตว์ เลื่อมใสกราบไหว้พระโพธิสัตว์แล้วทำให้พ้นจากนรกได้จริง ๆไม่ใช่แค่การสวดมนต์กันเป็นวัน ๆ คืน ๆโดไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์กำลังจะสอนอะไรเราเรามีแต่ศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา พากันไปหลงตัวบุคคล สถานที่มากกว่าให้ความสำคัญกับพระธรรม
เมื่อเป็นอย่างนี้จึงกลายเป็นความหลงงมงาย ในสิ่งที่ไม่ถูกต้องตามหลักเหตุผลทางพระพุทธศาสนา ทำให้ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่มองมหายาน เป็นเพียงพิธีกรรมและความเชื่อที่เกิดมาในยุคหลัง แล้วผู้ที่ประกอบพิธีกรรมเองก็ไม่รู้ไม่เข้าใจจึงทำให้พากันหลงไปกันใหญ่พิธีกรรมนั้นเป็นเปลือก เราไม่ได้ปฏิเสธพิธีกรรม เพราะหากต้นไม่ไม่มีเปลือกก็เติบโตไม่ได้ แต่ต้องไม่ลืมว่าเปลือกนั้นคือสิ่งที่ปกป้องให้ของสำคัญ หรือหัวใจ หรือแก่นที่อยู่ภายในรวมกันอยู่ได้เป็นแก่นสาร เราจึงพูดว่าทั้ง 2 ต้องมาพร้อมๆ กัน ต้องอาศัยกันและกัน เพราะคนเรามีปัญญาและจริตไม่เหมือนกัน แต่จะหลงอยู่แค่เปลือกซะส่วนใหญ่ ในยุคที่วัตถุเจริญกว่าจริยธรรม หากเราไหว้พระแต่ไม่ถึงพระ ได้แต่เอาวัตถุต่าง ๆ ไปหลอกล่อหรือติดสินบนพระโพธิสัตว์อีก ก็ถือว่าเป็นการเสียทรัพย์เสียเวลาอย่างไม่ได้ประโยชน์ แต่จึงขอฝากไว้ให้พวกเราช่วย ๆ กันเผยแผ่พระธรรมให้ถูกต้องขึ้นด้วยจะเป็นกุศลที่หาประมาณไม่ได้เลย


........................................จบ...................................


..............................สงวนลิขสิทธิ์ในการแก้ไข ดัดแปลง จำหน่าย.................................


ขอุทิศส่วนกุศลนี้ให้แก่ บิดา - มารดาปู่ - ยา - ตา - ยาย ที่ยังอยู่และล่วงลับไปแล้วเจ้ากรรม - นายเวรเจาที่เจ้าทางทั้งหลายท่านทั้งหลายที่ต้องทุกข์ที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างกรรมไว้ในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติขอให้พ้นทุกข์ท่านทั้งหลายที่มีความสุขที่ข้าพเจ้าได้เคยร่วมสร้างกุศลในอดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติขอให้สุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยผลบุญแห่งข้าพเจ้าอุทิศไปให้นี้จงประสบแต่ครอบครัวของข้าพเจ้า ญาติ – พี่น้อง เพื่อนสนิทมิตรสหายผู้ร่วมงานผู้ปฏิบัติศีลปฏิบัติธรรมทุก ๆ ท่านจงมีความสุขความเจริญตลอดกาลนานเทอญ...................................................



http://forums.212cafe.com/boxser/board-16/topic-106-1.html#reply1 (http://forums.212cafe.com/boxser/board-16/topic-106-1.html#reply1)


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 21 เมษายน 2553 13:08:05

(http://static.flickr.com/107/283589148_fc4a69205c.jpg)

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/839/26839/images/106_20080530095727..jpg)

(http://fwmail.teenee.com/etc/img0/m58212.bmp)

 (:88:)  (:88:)  (:88:)


หัวข้อ: Re: สนทนาธรรมคืนวันมาฆบูชา
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 21 เมษายน 2553 13:33:25



(:LOVE:) (:LOVE:) (:LOVE:)



(http://www.buddhayan.com/picshow/1256726838IMG00611.jpg)