หัวข้อ: หลวงพ่อสีทา สิทธิพงศ์ วัดหนองทุ่ม ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 17 กันยายน 2560 19:22:59 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/76410843307773__3627_3621_3623_3591_3614_3656.jpg) หลวงพ่อสีทา สิทธิพงศ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองทุ่ม ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม “หลวงพ่อสีทา สิทธิพงศ์” อดีตเจ้าอาวาสวัดหนองทุ่ม ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม เป็นพระกัมมัฏฐานอีกรูปที่มีวัตรปฏิบัติดี วิทยาคมแก่กล้า ครองตนอยู่ในผ้ากาสาวพัสตร์สมถะเสมอต้นเสมอปลาย สืบทอดปฏิปทาจากหลวงปู่สิงห์ โสภโณ วัดกุญชรวนาราม บ้านหนองเขื่อนช้าง เกิดในสกุลมะราชลี ถือกำเนิดเมื่อปี 2460 ที่บ้านบ่อใหญ่ ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม ครอบครัวประกอบอาชีพทำไร่ทำนา ภายหลังเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จากโรงเรียนในหมู่บ้าน ต้องลาออกมาช่วยงานครอบครัว มีเรื่องเล่าว่าขณะที่หลวงพ่อนำวัวควายออกไปเลี้ยงกลางทุ่งนา ท่านมองเห็นก้อนเมฆลอยมาเป็นภาพคล้ายพระพุทธเจ้านั่งสมาธิ เกิดความศรัทธาอย่างแรงกล้าจึงนำดินเหนียวมาปั้นเป็นพระพุทธรูปองค์เล็กๆ นำกลับมาบูชาที่บ้าน ย่างเข้าสู่วัยรุ่นอายุ 16 ปี บิดา-มารดานำไปบรรพชาที่วัดในหมู่บ้าน จนเมื่ออายุครบบวช พ.ศ.2480 เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดหนองทุ่ม ต.บ่อใหญ่ อ.บรบือ จ.มหาสารคาม โดยมีหลวงปู่สิงห์ โสภโณ วัดกุญชรวนาราม พระเกจิชื่อดังเป็นพระอุปัชฌาย์ หลังอุปสมบท จำพรรษาอยู่ที่วัดหนองทุ่ม ก่อนเดินทางไปศึกษาเล่าเรียนมูลกัจจายน์ บาลี ที่สำนักเรียนวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคาย ซึ่งเรียนหนักมาก เวลานอนอ่านหนังสือต้องใช้กะลามะพร้าวแทนหมอน เพื่อเวลาม่อยหลับหัวตกจากกะลาจะทำให้สะดุ้งตื่น อ่านหนังสือต่อ มุมานะเล่าเรียนอยู่หลายปีจนมีความรู้แตกฉาน และยังเรียนเทศน์ปุจฉา-วิสัชนา ต้องฝึกการบรรยาย หัดพูด ใช้เวลานานถึง 3 ปี นอกจากนี้ ยังให้ความสนใจทางด้านวิทยาคม จึงได้เดินทางไปฝากตัวเป็นศิษย์กับหลวงปู่สิงห์ เล่าเรียนสรรพวิชา อาทิ แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี เมตตามหานิยม กันบ้านกันเมือง เป็นต้น ต่อมาย้ายไปจำพรรษาอยู่วัดท่าหินโงม จ.ชัยภูมิ นานหลายสิบปี ด้วยวัตรปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เริ่มเป็นที่รู้จักของพุทธศาสนิกชน ในแต่ละวันจะมีผู้เดินทางมากราบนมัสการรับฟังธรรมและปรารถนาบูชาตะกรุดโทน มักจะพร่ำสอนญาติโยมอยู่เสมอว่าอย่าไปยึดติดสิ่งนี้ ขอให้ดำเนินชีวิตอยู่ในศีลในธรรมยึดศีล 5 เป็นหลัก เพราะหากไม่มีศีลธรรมในหัวใจแล้ววัตถุมงคลของท่านก็จะไม่คุ้มครอง นอกจากนี้ ยังเป็นพระนักพัฒนาอันทรงคุณประโยชน์ต่อพุทธศาสนาอย่างมากมาย ปัจจัยที่ได้จะนำมาใช้ในการพัฒนาวัด สิ่งปลูกสร้างต่างๆ อาทิ ศาลาการเปรียญ กำแพงแก้ว กุฏิ อุโบสถ เป็นต้น หลังออกพรรษาปีใดหากมีเวลาว่างกิจนิมนต์ก็จะออกธุดงควัตรตามป่าเขาลำเนาไพรหลายแห่งในภาคอีสาน และบางปีก็เดินข้ามไปยังฝั่งประเทศลาว ช่วงนั้นมีเรื่องเล่าว่าขณะที่ท่านนั่งวิปัสสนากัมมัฏฐานอยู่ที่ปากถ้ำภูเขาควาย ปรากฏว่ามีช้างป่าขนาดใหญ่ 2 ตัวมานั่งเฝ้าหลวงพ่อสีทา โดยไม่ทำอันตรายใดๆ คงเป็นเพราะพลังจิตที่หลวงพ่อสีทาแผ่เมตตาให้แก่สรรพสัตว์ นอกจากนี้ ยังได้ชื่อว่าเป็นนักเทศน์ปุจฉาวิสัชนาที่เฉียบแหลม ธรรมะที่ท่านยกขึ้นมาจะฟังเข้าใจง่ายและน้ำเสียงไพเราะ จนถึงปีพ.ศ.2500 หลวงพ่อสีทาได้กลับมาจำพรรษาที่วัดหนองทุ่ม บ้านเกิด เนื่องจากขาดแคลนพระผู้ใหญ่ที่นำพาพัฒนาวัดให้เจริญรุ่งเรือง โดยท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัด ซึ่งเป็นความปรารถนาของหลวงพ่อสีทาที่ต้องการจะมาอยู่ใกล้ชิดญาติพี่น้องในช่วงบั้นปลายชีวิต ในแต่ละวันมีญาติโยมที่เคารพศรัทธาเดินทางมากราบนมัสการที่วัดเป็นจำนวนมาก หลวงพ่อสีทาต้องคอยรับแขกญาติโยมอยู่ตลอดเวลา แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อน ถึงแม้บางครั้งจะไม่สบายแต่หาได้ปริปากบ่นไม่ ยังคงรักษาศรัทธาญาติโยมมิมีเสื่อมคลาย ภายหลังตรากตรำงานหนัก สุดท้ายหลวงพ่อสีทามรณภาพอย่างสงบในปีพ.ศ.2520 สิริอายุ 60 ปี คอลัมน์ อริยะโลกที่6 ข่าวสดออนไลน์ |