|
หัวข้อ: สัมมาอาชีวะ เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 14 พฤษภาคม 2554 14:12:53 (http://static.panoramio.com/photos/original/49386511.jpg) http://www.fungdham.com/download/song/sec1/1/sound020.mp3 พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงตลอด ๔๕ พรรษานั้นเป็นความจริงทั้งหมดไม่มีเปลี่ยนแปลงพระองค์ทรงแสดงตามความเป็นจริง อกุศล เป็นอกุศลกุศล เป็นกุศล อกุศลเป็นธรรมที่ไม่ดีให้โทษมีผลเป็นทุกข์ เป็นสภาพธรรมที่ควรละส่วนกุศลเป็นธรรมที่ดีไม่มีโทษพร้อมทั้งให้ผลเป็นสุขเป็นธรรมที่ควรเจริญควรอบรมให้มีขึ้นในชีวิตประจำวันบุคคลผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาพร้อมทั้งเห็นประโยชน์อันเนื่องมาจากความเข้าใจที่ เพิ่มขึ้นไปตามลำดับก็จะสามารถละคลายหรือขัดเกลาอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นกับตนได้ยิ่งขึ้นพร้อมทั้งมีจิตใจที่น้อมไปในทางกุศลมากยิ่งขึ้นด้วยแม้แต่ในเรื่องของศีลซึ่งเป็นเรื่องของความประพฤติเป็นไปทางกายทางวาจาผู้ที่เห็นโทษของอกุศลเห็นโทษของความเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนเป็นต้นก็มีเจตนาที่จะงดเว้น จากสิ่งที่ไม่ดีเหล่านั้นไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตามโดยที่ไม่มีการบังคับเลยเพราะธรรมเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครแต่เป็นไปตามเหตุตามปัจจัยและอาชีพที่คฤหัสถ์ไม่ควรประกอบนั้นเป็นอาชีพที่เป็นไปเพื่อความเดือดร้อนต่อผู้อื่นต่อสัตว์อื่นก็ไม่ควรที่จะประกอบไม่ควรที่จะทำแต่จะห้ามใครได้หรือไม่ว่าอย่าทำอาชีพนี้อย่าประกอบอาชีพนี้คำตอบคือห้ามไม่ได้เพราะสะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้นและที่สำคัญธรรมเป็นอนัตตาไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ทั้งสิ้นแต่ถ้าเหตุปัจจัยพร้อมมีโอกาสได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมในแนวทางที่ถูกต้องมีความเข้าใจพระธรรมไปตามลำดับย่อมเป็นสิ่งที่ดี มีค่าต่อชีวิตเป็นอย่างยิ่งและจะทำให้ค่อย ๆ ละอาชีพที่ไม่ควรประกอบเหล่านั้นแล้วเป็นผู้ประกอบอาชีพที่สุจริต(หมายถึง เว้นจากกายทุจริตเว้นจากวจีทุจริตที่เนื่องด้วยอาชีพ)เลี้ยงชีพในทางที่ถูกต้องตรงตามพระธรรมคำสอนได้ในที่สุดความเข้าใจพระธรรมจึงเป็นสาระสำคัญของชีวิตซึ่งจะทำให้กายวาจา ใจเป็นไปในทางที่เป็นกุศลยิ่งขึ้นคล้อยตามความเข้าใจที่ค่อย ๆ เจริญขึ้นนั่นเองดังนั้นไม่ว่าจะประกอบอาชีพอย่างไรเป็นคนมีอัธยาศัยเป็นอย่างไรไม่เป็นเครื่องกั้นไม่ขัดขวางต่อการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเพราะยิ่งศึกษายิ่งมีประโยชน์ขึ้นอยู่กับว่าผู้นั้นจะเห็นความสำคัญของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาค้จ้าทรงแสดงหรือไม่ พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ปัญจกฉักกนิบาต เล่ม 3 หน้าที่ 376 ๗.วณิชชสูตร{ว่าด้วยการค้าขายที่อุบาสกไม่ควรประกอบ} {๑๗๗} ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการค้าขาย ๕ ประการนี้อันอุบาสก ไม่พึงกระทำ ๕ ประการเป็นไฉน? คือ............................ การค้าขายศัสตรา ๑ การค้าขายสัตว์ ๑ การค้าขายเนื้อสัตว์ ๑ การค้าขายน้ำเมา ๑ การค้าขายยาพิษ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายการค้าขาย ๕ ประการนี้แล อันอุบาสกไม่พึงกระทำ (:LOVE:){จบวณิชชสูตรที่ ๗} (:LOVE:) ๗.อรรถกถาวณิชชสูตรพึงทราบวินิจฉัยในวณิชชสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้........................................... บทว่าวณิชฺชาได้แก่ ทำการค้าขาย บทว่า อุปาสเกนได้แก่ ผู้ถึงสรณะ ๓ บทว่า สตฺถวณิชฺชา ได้แก่ให้เขาทำอาวุธแล้วก็ขายอาวุธนั้นบทว่า สตฺตวณิชฺชาได้แก่ ขายมนุษย์บทว่า มํสวณิชฺชา ได้แก่เลี้ยงสุกรและเนื้อเป็นต้นขายบทว่า มชฺชวณิชฺชา ได้แก่ให้เขา ทำของเมาอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วก็ขายของเมาบทว่า วิสวณิชาได้แก่ให้เขาทำพิษแล้วก็ขายยาพิษนั้นการทำด้วยตนเองการชักชวนคนอื่นให้ทำการค้านี้ทั้งหมดก็ไม่ควรด้วยประการฉะนี้....................... .........................จบอรรถกถาวณิชชสูตรที่ ๗..................... ธรรมไม่ใช่เรื่องบังคับแต่ชี้แจงให้เห็นประโยชน์ทุกชีวิตก็ย่อมเป็นไปไม่มีใครบังคับบัญชาได้แม้แต่การประกอบอาชีพเหมือนจะเลือกได้แต่ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามการสะสมมาและกรรมที่บันดาลให้เป็นไปตามนั้นและนายพรานผู้ประกอบอาชีพล่าเนื้อและเอาเนื้อมาขายเมื่อได้พบพระพุทธเจ้าตัวนายพรานเองก็้ด้บรรลุเป็นพระโสดาบันจะเห็นได้ว่าท่านสะสมปัญญามาแม้ท่านจะประกอบอาชีพไม่เหมาะสมเพราะทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยบังคับบัญชาไม่ไ่ด้แต่เมื่อสะสมปัญญามาปัญญาถึงพร้อมไม่ว่าอาชีพใดก็สามารถบรรลุธรรมได้เพียงแต่ว่าจะต้องเข้าใจเหตุผลในเรื่องของพระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในเรื่องการประกอบอาชีพว่าอาชีพใดไม่ควรประกอบเพราะเอื้อต่อการทำอกุศลกรรมแต่เลือกไมไ่ด้แต่ค่อย ๆ สะสมปัญญาได้ถ้าเลือกได้ทุกคนก็อยาก ทำงานดี ๆ เป็นคนดีแต่เลือกไม่ไ่ด้เลยเพราะธรมเป็นอนัตตาแม้จะสะสมปัญญามาดังเช่นนายพรานกรรมก็ยังซัดไปให้ไปประกอบอาชีพไม่ควรแต่ท้ายสุดท่านก็เป็นพระโสดาบันประโยชน์คือการฟังพระธรรมต่อไปและจากเรื่องที่กล่าวมาในเรื่องของภรรยานายพรานทำให้เห็นว่าแม้จะส่งอาวุธให้แต่ท่านไม่มีเจตนาทุจริตเป็นผู้ผลิตเป็นผู้ค้าเนื้อสัตว์ดังเช่นนายพรานเลยสำคัญที่เจตนาและนายพรานก็คงไม่ใช้ภรรยาเพียงครั้งเดียวคงต้องหลาย ครั้งสำคัญที่เจตนาและเราไม่ใช่ผู้ประกอบอาชีพเจ้าของบริษัทเราทำตามหน้าที่ที่บริษัทสั่งมาดังนั้นสำคัญที่เจตนาต้องแยกระหว่างผู้ประกอบการกับลูกจ้างและที่สำคัญอยู่ที่เจตนาของผู้เป็นลูกจ้างในการประกอบอาชีพด้วยผู้ผลิตผู้ประกอบการย่อมเป็นผู้เป็นเจ้าของบริษัทเป็นเจ้าของอาชีพคือผลิตสุราหรือยาฆ่าแมลงส่วนลูกจ้างเป็นลูกมือ ลูกจ้างทำหน้าที่โดยไมไ่ด้มีเจตนาที่จะเป็นผู้ค้ายาฆ่าแมลงและสุราขออนุญาตยกตัวอย่างในพระ ไตรปิฎกในเรื่องการประกอบอาชีพที่ไม่สมควรเรื่องนายพรานกุกกุฏมิตรนายพรายคนนี้ประกอบอาชีพคือล่าสัตว์และเอาเนื้อสัตว์ไปขายซึ่งก็เป็น อาชีพหนึ่งที่ไม่สมควรคือการค้าเนื้อสัตว์ส่วนภรรยาของนายพรานเป็นธิดาเศรษฐีแต่ภรรยาเป็นพระโสดาบันแล้วแต่นายพรานยังเป็นปุถุชนซึงมีอยู่คราวหนึ่งเมื่อนายพรานกำลังจะไปล่าสัตว์เอามาขายและทาน นายพรานก็ได้บอกกับภรรยาผู้เป็นพระโสดาบันว่าจงหยิบมีดหรืออาวุธล่าสัตว์มาให้หน่อยซึ่งภรรยาผู้เป็นพระโสดาบันก็หยิบให้คำถามจึงมีในพระภิกษุสงฆ์ว่าภรรยาเป็นพระโสดาบันแล้วทำไมยังหยิอาวุธให้อีกพระพุทธเจ้าทรงอธิบายว่าภรรยาผู้เป็นพรโสดาบันท่านไม่มีเจตนาฆ่าสัตว์เลยเพียงแต่ส่งอาวุธทำตามหน้าที่เท่านั้นและทรงตรัสพระคาถาว่าหากว่าบุคคลไม่มีแผลใน ฝ่ามือแม้จะหยิบยาพิษยาพิษนั้นก็ไม่ซึมเข้าไปในมือสรุปคือท่านไม่มีเจตนาคนที่ประกอบอาชีพไม่สมควรคือนายพรานเปรียบเหมือนบริษัทผู้ทำอาชีพไม่สมควรส่วนภรรยาผู้เป็นพระโสดาบันทำตามหน้าที่ที่นายพรานสั่งไมไ่ด้มีเจตนาฆ่าสัตว์หรือทำอาชีพเหมือนนายพรานแม้จะเป็นผู้ส่งอาวุธก็ตามแม้ผู้ที่ทำงานในบริษัทนั้นแต่ไม่ได้มีเจตนาที่จะผลิตเหมือนเจ้าของไม่ไช่ผู้ประกอบอาชีพที่เป็นเจ้าของบริษัทเพียงแต่ทำตามหนาที่ที่บริษัทสั่งดังนั้นต้องพิจารณาให้ละเอียด................................................... http://www.facebook.com/itsariyathanakorn (http://www.facebook.com/itsariyathanakorn) http://twitter.com/soka45 (http://twitter.com/soka45) http://forums.212cafe.com/boxser/ (http://forums.212cafe.com/boxser/) ......................................มัชฌิมประภาสปุญสถาน......................... ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้จงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสรรพชีวิตทั้งหลายให้ได้บำเพ็ญอนุตรวิถี กลับจิตแปรใจ ได้คืนจิตเดิม มีความสงบเย็นใจกาย ปราศจากเสียซึ่งสรรพกำทุกข์ ปลอดพ้นจากภัยเวร สงครามข้าวยาก ด้วยเดชะบุญนี้ จงช่วยค้ำชูบิดา - มารดา ครูบาอาจารย์ - ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท - มิตรรัก ศัตรูหมู่มาร สรรพเจ้ากรรมนายเวร เทวาทุกชั้นฟ้า อารักษ์ทั่วชั้นดิน เหล่าภูติ นาคา - นาคี เหล่าวิญญา - หมู่เปรต - อสูรกายเหล่าสัตว์ใด ๆ จงเป็นผู้ได้รับอานิสงค์เดชะแห่งผลบุญนี้ท่วนทั่วทุกคนเทอญ............................. |