[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ไปเที่ยว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 09 มกราคม 2561 15:33:15



หัวข้อ: พระนครคีรี จ.เพชรบุรี - พระราชวังแห่งแรกของไทยที่สร้างบนภูเขาสูง
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 มกราคม 2561 15:33:15
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/19471454413400_1.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/23405150820811_2.jpg)

พระนครคีรี
ตำบลคลองกระแชง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี
พระราชวังแห่งแรกของไทยที่สร้างบนภูเขาสูง

พระนครคีรี หรือเรียกกันทั่วไปว่า “เขาวัง” เป็นพระราชวังในเขตตำบลคลองกระแชง อำเภอเมือง จังหวัดเพชรบุรี

เดิมเป็นพระราชฐานที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๐๒ โดยโปรดเกล้าให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ซึ่งขณะนั้นเป็นสมุหพระกลาโหม(ภายหลังต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์) เป็นแม่กองใหญ่ในการสร้าง และพระเพชรพิไสยศรีสวัสดิ์ (ท้วม บุนนาค) ปลัดเมืองเพชรบุรี เป็นนายงานก่อสร้าง ทำการก่อสร้างพระราชวังบนภูเขาชื่อว่า เขาสมน (สะ-หมน) ที่บริเวณไหล่เขาทางด้านทิศตะวันออกมีวัดชื่อ วัดสมณ (สะ-มะ-นะ) ซึ่งในหมายรับสั่งรัชกาลที่ ๔ (พ.ศ.๒๔๐๒) ปรากฏชื่อว่า เขามหาสมณ ซึ่งเป็นยอดเขาใหญ่สามยอดติดต่อกัน การก่อสร้างแล้วเสร็จในปี ๒๔๐๓  เมื่อสร้างพระราชวังแล้วเสร็จ พระองค์จึงทรงพระราชทานนามพระราชวังนี้ว่า “พระนครคีรี” ซึ่งต่อมาคนทั่วไปเรียกว่า “เขาวัง”  และยังทรงพระราชทานนามภูเขาที่ใช้เป็นที่ตั้งของพระราชวังใหม่ว่า “เขามหาสวรรค์” อีกทั้งยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะวัดสมณ ที่ตั้งอยู่เชิงเขาทางทิศตะวันตก แล้วพระราชทานนามใหม่ว่า “วัดมหาสมณาราม”  

หมู่อาคารและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ของพระนครคีรี ก่อสร้างอยู่บนยอดเขาทั้ง ๓ ยอด ยอดเขาทางทิศตะวันออกเป็นที่ตั้งของวัดพระแก้วน้อย ยอดเขายอดกลางเป็นที่ตั้งของพระธาตุจอมเพชร ส่วนยอดเขาทางทิศตะวันตกนั้นเป็นที่ตั้งของหมู่พระราชมณเฑียรสถาน ซึ่งประกอบไปด้วยพระที่นั่งองค์สำคัญต่างๆ คือ พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์ พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท พระที่นั่งราชธรรมสภา และหอชัชวาลเวียงชัย (หอดูดาว) ฯลฯ  

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงโปรดที่จะใช้พระราชวังแห่งนี้เป็นสถานที่เสด็จแปรพระราชฐานเมื่อคราวเสด็จประพาสเมืองเพชรบุรี  พระองค์ทรงโปรดมาประทับ ณ พระนครคีรีหลายครั้ง ครั้งละนานๆ โดยได้เสด็จมาประทับแรมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๐๔ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีเฉลิมพระราชมณเฑียรบนพระนครคีรีและทรงบรรจุพระธาตุบนยอดพระเจดีย์บนเขามหาสวรรค์ด้วย  

ต่อเนื่องมาในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อแรกเสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติก็ยังโปรดที่จะมาประทับเป็นครั้งคราว และยังทรงใช้เป็นที่ต้อนรับพระราชอาคันตุกะสำคัญหลายครั้ง แต่หลังจากรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา พระนครคีรีได้ถูกทอดทิ้ง ไม่ปรากฏว่ามีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดทรงเสด็จมาประทับ ณ พระนครคีรีอีกต่อไป ตราบจนปี พ.ศ.๒๔๙๖ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จขึ้นชมยอดเขา ได้ทอดพระเนตรความชำรุดทรุดโทรมของอาคารต่างๆ  จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรดำเนินการบูรณะพระราชวังแห่งนี้ใหม่ กรมศิลปากรจึงได้ทำการสำรวจและประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเมื่อวันที่ ๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๙๖ โดยกำหนดเป็นเขตโบราณสถานไว้หมดทั้งภูเขารวม ๓ ยอด และกั้นเขตบริเวณไปจากตีนเขาอีก ๒๐ เมตรโดยรอบ ปัจจุบันประกาศจัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครคีรี ในปี พ.ศ.๒๕๒๒ และพัฒนาให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ต่อไป



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/79592161418663_3.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74454833194613_4.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/53815849332345_5.jpg)


เนื่องด้วยพระราชวังแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขาสูง (จุดที่สูงที่สุดมีความสูง ๙๕ เมตร จากระดับน้ำทะเล) ซึ่งมีความลาดชันลดหลั่นกันไป การจัดผังบริเวณพระราชวังจึงอาศัยภูมิประเทศแยกบริเวณเป็นเขตพระราชฐานชั้นใน และเขตพระราชฐานชั้นนอก เช่นเดียวกับแบบแผนการสร้างพระราชวังทั่วไป โดยเขตพระราชฐานชั้นในสร้างบริเวณยอดสูงสุดของภูเขา เขตพระราชฐานชั้นนอกสร้างอยู่บนหลั่นล่างลงมา โดยมีทางเดินลดเลี้ยวตามไหล่เขาเชื่อมต่อถึงกัน บริเวณที่เป็นทางแยกก็สร้างศาลาที่พักสำหรับเจ้าหน้าที่ตรวจตราผู้คนเข้าออกเรียกว่า “ศาลาด่านหน้า” “ศาลาด่านกลาง” และ “ศาลาด่านหลัง” เพื่อรักษาความปลอดภัยพระราชฐาน  นอกจากนั้นยังมีประตูชั้นนอก ประตูชั้นใน  และมีป้อม ๔ ป้อม ตั้งอยู่ตามทิศต่างๆ ในชัยภูมิอันเหมาะสมเพื่อดูแลความปลอดภัยอีกชั้นหนึ่ง โดยตั้งชื่อป้อมทั้งสี่ตามนามท้าวจตุโลกบาล เรียงลำดับจากทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศเหนือ ดังนี้ ป้อมธตรฐป้องปก ป้อมวิรุฬหกบริรักษ์  ป้อมวิรูปักษ์ป้องกัน  และป้อมเวสสุวรรณรักษา และมีเกยวัชราภิบาล ตั้งอยู่บนเชิงบันไดด้านทิศตะวันตกบริเวณพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์

สำหรับประตูในพระนครคีรี มีทั้งหมด ๘ ประตู แบ่งเป็น ประตูรอบๆ พระราชวัง หรือประตูชั้นกลาง ได้แก่ ประตูนารีประเวศ ประตูวิเศษราชกิจ ประตูราชฤทธิแรงปราบ ประตูอานุภาพเจริญ และประตูในพระมหามณเฑียร หรือประตูชั้นใน ได้แก่ ประตูดำเนินทางสวรรค์ ประตูจันทร์แจ่มจำรูญ ประตูสูรย์แจ่มจำรัส

• พระนครคีรีประกอบด้วยพระที่นั่ง ดังนี้
พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ รัชกาลที่ ๔ เสด็จฯ มาทรงวางศิลาฤกษ์เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๔๐๒ เป็นพระที่นั่งองค์แรกและเป็นองค์ประธานของหมู่พระที่นั่งต่างๆ ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบยุโรปผสมไทยและจีน ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีมุขยื่นออกไปด้านข้างทั้งซ้ายและขวา ภายในแบ่งเป็นห้องต่างๆ เป็นท้องพระโรงสำหรับออกขุนนางและต้อนรับแขกเมือง ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดัดแปลงท้องพระโรงหลังเป็นห้องพระบรรทม ท้องพระโรงหน้าดัดแปลงเป็นห้องเสวย มุขด้านทิศตะวันออกดัดแปลงเป็นห้องทรงพระสำราญ และมุขด้านทิศตะวันตกดัดแปลงเป็นห้องลงพระบังคน ปัจจุบันใช้เป็นที่จัดแสดงโบราณวัตถุและเครื่องเรือนต่างๆ

พระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรย์  ตั้งอยู่ติดกับพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ มีฐานและหลังคาเชื่อมต่อกันลักษณะแบบเก๋งจีน ๒ ชั้น เป็นพระวิมานที่บรรทมและที่ประทับ ปัจจุบันจัดแสดงพระแท่นบรรทมในรัชกาลที่ ๔ และ ๕

พระที่นั่งเวชยันต์วิเชียรปราสาท  เป็นปราสาทที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นปราสาทจัตุรมุข ยอดปรางค์ ๕ ยอด ตามพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๔ มียอดปรางค์ใหญ่อยู่กลาง และปรางค์เล็กอยู่ ๔ มุม บนฐานสูงซ้อนกัน ๓ชั้น มีระเบียงแก้วโดยรอบแต่ละชั้น ระเบียงชั้นบนสุดมีโดมโปร่งที่มุมทั้งสี่ ตัวปราสาทประดับลายปูนปั้น ภายในประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ ๔

พระที่นั่งราชธรรมสภา เป็นที่ทรงธรรมและสำหรับข้าราชบริพารฟังธรรม ภายในมีโต๊ะหมู่บูชาสำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป เป็นอาคารชั้นเดียว ศิลปะผสมยุโรป จีน และไทย จุดเด่นจะอยู่ตรงประตูบานโค้งสีเขียวตัดกับผนังสีขาวที่มีลายปูนปั้นสวยงาม หลังคาเป็นแบบเก๋งจีน ถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ ดัดแปลงเป็นห้องเสวยสำหรับพระบรมวงศานุวงศ์ที่ตามเสด็จ

หอชัชวาลเวียงชัย เป็นที่ส่องกล้องทอดพระเนตรดวงดาวทางดาราศาสตร์ที่ทรงเชี่ยวชาญ และเป็นที่ทอดพระเนตรภูมิประเทศโดยรอบ

หอพิมานเพชรมเหศวร เป็นศาลเทพารักษ์และเป็นหอพระ ประดิษฐานพระพุทธรูป และบางครั้งเป็นที่ทรงเจริญปฏิบัติภาวนา

ตำหนักสัณถาคารสถาน เป็นสถานที่สำรับรับแขกเมือง  

นอกจากนั้นยังมีอาคารสำหรับฝ่ายหน้า ได้แก่ ศาลาลูกขุนราชวัลลภาคาร ทิบดาบองครักษ์ โรงมหรสพ โรงสูทกรรม โรงรถ โรงม้า เป็นต้น


• รูปแบบสถาปัตยกรรมของพระนครคีรี
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศแถบตะวันตกเริ่มมีอิทธิพลในภูมิภาคแถบนี้ ประเทศไทยมีการส่งคณะทูตไทยไปเจริญสัมพันธไมตรีกับประเทศต่างๆ จึงจำต้องปรับตัวปรับสภาพ นำแนวคิดจากการที่ได้เคยไปเห็นมา และอาศัยข้อมูลข่าวสารที่เแพร่เข้ามาในประเทศไทย มาปรับปรุงบ้านเมืองของเราให้ทันสมัย เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่แบบไทยด้วย ด้วยเหตุนี้เมื่อมีการก่อสร้างพระราชวังหรือหมู่อาคารต่างๆ ลักษณะสถาปัตยกรรมของอาคาร จึงนิยมและพยายามที่จะสร้างให้เป็นแบบตะวันตกด้วย แต่อย่างไรก็ดี ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีช่างชาวตะวันตกเป็นผู้ออกแบบหรือเป็นผู้ก่อสร้างพระราชวังในรัชกาลนี้เลย มีแต่ช่างไทยล้วน

อาคารต่างๆ ที่สร้างขึ้นที่พระนครคีรีนี้ ล้วนก่อสร้างด้วยเครื่องก่ออิฐถือปูนล้วน ส่วนใหญ่เป็นอาคารชั้นเดี่ยว รูปแบบสถาปัตยกรรมผสมผสาน มีทั้งแบบที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกผสมสถาปัตยกรรมจีนอีกเล็กน้อย ได้แก่พระที่นั่งองค์ต่างๆ หอ ๒ หอ และอาคารฝ่ายหน้าและฝ่ายใน และแบบไทยประเพณี ได้แก่อาคารศาสนา คือ วัดพระแก้ว ซึ่งประกอบด้วย พระอุโบสถ พระเจดีย์ หอระฆัง และพระปรางค์แดง สำหรับวัดพระแก้วนี้ สร้างอยู่บนยอดเขาทางทิศตะวันออก แต่เดิมมีศาลาไม้ชำรุดทรุดโทรมอยู่หลังหนึ่ง จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อออก แล้วสร้างวัดประจำพระราชวังขึ้น พระราชทานนามว่าวัดพระแก้ว ให้เป็นวัดประจำพระราชวังพระนครคีรี ทำนองเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง กล่าวคือเป็นวัดที่มีแต่ส่วนพุทธาวาส ไม่มีส่วนสังฆาวาสให้พระสงฆ์จำพรรษา  

พระนครคีรี หรือ เขาวัง ปัจจุบันมีสถานะเป็น อุทยานประวัติศาสตร์พระนครคีรี กรมศิลปากรได้ใช้ส่วนของพระที่นั่งต่างๆ จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนครคีรี เก็บรักษาโบราณวัตถุต่างๆ อาทิ เครื่องราชูปโภคของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเปิดให้ประชาชนเข้าชมตั้งแต่เวลา ๐๘.๓๐-๑๖.๐๐ น.ทุกวัน และทุกปีจะมีงานเฉลิมฉลองพระนครคีรี มีการแสดงต่างๆ ที่แสดถึงศิลปวัฒนธรรม และการจุดพลุดอกไม้ไฟในเวลากลางคืน โดยจะจัดขึ้นทุกวันศุกร์แรกของเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นระยะเวลา ๑๐ วัน ๑๐ คืน

ส่วนการขึ้นไปชมพระราชวังบนภูเขาน้้น มีรถรางไฟฟ้าพาขึ้นไปชมได้อย่างสะดวก โดยเสียค่าบริการท่านละ ๕๐ บาท (ขึ้น-ลง)



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/61945898416969_6.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/54454019955462_7.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/89555255199472_1.jpg)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40109946785701_2.jpg)
ภาพประกอบ - เป็นภาพถ่ายจากโทรศัพท์