หัวข้อ: แนวทางเจริญวิปัสนาเรื่อง{ความง่วง}จากมูลนิธิบ้านธรรมะ เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 22 พฤษภาคม 2554 14:13:25 (http://www.sookjai.com/index.php?action=dlattach;topic=20265.0;attach=1180;image) (http://static.panoramio.com/photos/original/52707050.jpg) ๑. ทําสัญญาให้มาก(เช่น ภาวนาพุทโธอยู่ ให้รัวเร่งคําภาวนา) ๒. คิดถึงธรรมะที่ได้เรียนไปแล้วให้มาก ๓. ให้สาธยายธรรม(อ่านธรรมะออกเสียง) ๔. เคะหู เอามือลูบตามตัว ๕. ล้างหน้า แหงนดูดาว ๖. กําหนดความสว่างไว้ในใจ(ข้อนี้ใช่การใช้กสิณหรือไม่) ๗. เดินจงกรม ๘. นอนตะแคงขวา เท้าทั้งสองซ้อนเหลือม เมื่อเธอมีสัญญาอย่างไรอยู่ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้เธอพึงทำไว้ในใจซึ่ง สัญญานั้นให้มากข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ สัญญาหรือความจำที่ทำให้ง่วงต้องเป็นสัญญาเจตสิก(เกิดกับจิตทุกดวงที่เกิดกับ อกุศลจิต มีมิทธะเจตสิก อันหมายถึงความโงกง่วงดังนั้นกุศลธรรมจะง่วงไมได้เลย เพราะฉะนั้นต้องเป็นอกุศลสัญญา ที่เกิดพร้อมกับจิตที่เป็นอกุศลสัญญาใดที่ทำให้ ง่วง คือสัญญาที่เป็นไปกับอกุศลจิตมี{ถีนมิทธะ}แต่สัญญาใด หรือสิ่งใดที่จำแล้วไม่ทำ ให้ง่วง พึงระลึกถึงสัญญานั้นที่ไม่ทำให้ง่วงก็จะละความง่วงได้ สัญญาเจตสิกเกิดกับจิต ทุกดวง ดังนั้นต้องเป็นสัญญาความจำที่ไม่ใช่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศล เพราะพระพุทธเจ้า ย่อมไม่ให้จำเป็นไปในอกุศล ดังนั้นความจำทีเป็นประโยชน์เป็นสิ่งที่ดีคือ อนิจจสัญญา ความจำหมายด้วยความไม่เที่ยง อนัตตสัญญา ความจำหมายว่าไม่ใช่สัตว์บุคคล มรณ สัญญา ความจำหมายระลึกถึงความตายขณะนั้นจิตเป็นกุศลเมื่อนึกถึงสัญญานั้นอัน ประกอบด้วยปัญญา ย่อมไม่ง่วงในขณะนั้นดังนั้นสัญญาจึงไม่ใช่เรื่องการท่องสวด แต่เป้นสัญญา ความจำทีเป็นกุศล มีอนิจจสัญา เป็นต้น ถ้าเธอยังละไม่ได้แต่นั้นเธอถึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตนได้สดับ แล้วได้เรียนมาแล้วด้วยใจข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ เมื่อยังละความง่วงไมได้ก็ให้พิจารณาไตร่ตรองธรรมที่ได้เรียนมาแล้วที่ได้ทรงจำ ไว้ขณะที่พิจารณาไตร่ตรองในธรรมที่ถูกต้องจิตเป็นกุศลย่อมไม่เป็นถีนมิทธะ จึงไม่ง่วงในขณะนั้น 3.ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้สดับมาแล้วได้เรียนมา แล้วโดยพิสดารข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละความง่วงไมได้ก็สาธยายธรรม คือ ธรรมใดที่จำได้ก็ท่องธรรมสวดธรรมนั้น ตามที่ทรงจำได้ อันประกอบด้วยความเข้าใจธรรมตามที่ได้เรียนและทรงจำมา 4.ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงยอนช่องหูทั้งสองข้าง เอามือลูบตัวข้อนี้จะเป็น เหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ถ้ายังละไม่ได้ข้อนี้เป็นที่เข้าใจ ซึ่งไมไ่ด้หมายเอามือเคาะหู แต่หมายถึงเอานิ้วยอน แหย่เข้าไปในช่องหูแต่ไม่ได้ลึกนะ 5.ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืนเอาน้ำล้างตาเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังง่วงอยู่ก็เอาน้ำล้างหน้าล้างตาและก็ดูดาวเป็นต้น 6.ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญาตั้งความสำคัญในกลางวัน ว่ากลางวันอย่างไรกลางคืนอย่างนั้นกลางคืนอย่างไรกลางวันอย่างนั้น เป็นอาโลกกสิณ อันเป็นการเจริญฌาน กำหนดแสงสว่างได้ จิตขณะนั้นเป็น กุศลและปราศจาก{นิวรณ์} ก็ย่อมละความง่วงได้ 7.ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรมกำหนดหมายเดินกลับไปกลับมา สำรวมอินทรีย์มีใจไม่เปิดไปให้ภายนอก เป็นการเดินจงกรมแต่ต้องเดินด้วยการสำรวมอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจด้วย{สติและสัมปชัญญะ}ด้วยจิตที่เป็นกุศลในขณะนั้น 8.ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงสำเร็จสีหไสยาสคือนอนตะแคงเบื้องหน้าขวา ซ้อนเท้าเหลื่อมเท้า มีสติสัมปชัญญยะทำความหมายในการนอนความสุขในการ เอนข้างความสุขในการเคลิ้มหลับ ถ้ายังละความง่วงไม่ได้ก็ต้องนอนแต่นอนด้วยหวังว่าจะตื่น เพื่ออบรมปัญญาต่อ เพราะรู้ว่าเป็นการพักให้หายง่วงเท่านั้นเพราะกิจคืออบรมปัญญาต่อนั่นเองจึงมี สติและสัมปชัญญะอยู่กำหนดหมายที่จะลุกขึ้นเพื่ออบรมปัญญาต่อไปดังนั้นการ พักของท่านคือพักเพื่อให้หายง่วงและก็อบรมปัญญาต่อไปเมื่อตื่นขึ้นแล้ว (:LOVE:)๘.โมคคัลลนสูตร (:LOVE:) พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะ ที่ปูลาดแล้วครั้นแล้วได้ตรัสถามทานพระมหาโมคคัลลานะว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอง่วงหรือก่อนโมคคัลลานะเธอง่วงหรือ ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่าอย่างนั้น พระเจ้าข้า ดูก่อนโมคคัลลานะเพราะเหตุนั้นแหละเมื่อเธอมีสัญญา อย่างไรอยู่ความง่วงนั้นย่อมครอบงำได้เธอพึงทำไว้ในใจซึ่ง สัญญานั้นให้มากข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ถ้า เธอยังละไม่ได้ แต่นั้นเธอถึงตรึกตรองพิจารณาถึงธรรมตามที่ตน ได้สดับแล้วได้เรียนมาแล้วด้วยใจข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความ ง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงสาธยายธรรมตามที่ตนได้ สดับมาแล้วได้เรียนมาแล้วโดยพิสดาร ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอ ละความง่วงนั้นได้ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงยอนช่องหูทั้งสองข้าง เอามือลูบตัวข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ถ้ายังละ ไม่ได้แต่นั้นเธอพึงลุกขึ้นยืนเอาน้ำล้างตาเหลียวดูทิศทั้งหลาย แหงนดูดาวนักษัตรฤกษ์ข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ ถ้ายังละไม่ได้ แต่นั้นเธอพึงทำในใจถึงอาโลกสัญญา ตั้งความ สำคัญในกลางวันว่า กลางวันอย่างไรกลางคืนอย่างนั้นกลางคืน อย่างไร กลางวันอย่างนั้น มีใจเปิดเผยอยู่ฉะนี้ ไม่มีอะไรหุ้มห่อ ทำจิตอันมีแสงสว่างให้เกิดข้อนี้จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วง นั้นได้ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึงอธิษฐานจงกรมกำหนดหมาย เดินกลับไปกลับมาสำรวมอินทรีย์มีใจไม่เปิดไปให้ภายนอกข้อนี้ จะเป็นเหตุให้เธอละความง่วงนั้นได้ถ้ายังละไม่ได้แต่นั้นเธอพึง สำเร็จสีหไสยาส คือ นอนตะแคงเบื้องหน้าขวาซ้อนเท้าเหลื่อมเท้ามี(สติ สัมปชัญญยะ)ทำความหมายในการนอนความสุขในการเอนข้าง ความสุขในการเคลิ้มหลับดูก่อนโมคคัลลานะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล (:LOVE:)พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย{สัตตกอัฏฐกนวกนิบาต} เล่ม 4 -> หน้าที่ 183 (:LOVE:) เพียรระลึกรู้สภาพลักษณะที่กำลังปรากฏ เพื่อละความยึดมั่นเห็นผิดว่าเป็นตัวตน สิ่งที่เห็นทางตาทั้งหมดเป็นเพียงสี เมื่อจำความต่างของสีเป็นรูปร่าง ทำให้คิดนึกเป็นวัตถุบุคคล ความจริงเป็นแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นทางตาเท่านั้น ไปหลง รัก ชอบ ติด ยึดมั่น ก็เพราะไม่รู้ความจริง สภาพธรรมเพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วดับไป http://www.facebook.com/itsariyathanakorn (http://www.facebook.com/itsariyathanakorn) http://twitter.com/soka45 (http://twitter.com/soka45) http://www.forums.212cafe.com/boxser/ (http://forums.212cafe.com/boxser/) ......................................มัชฌิมประภาสปุญสถาน......................... ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำนี้จงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนสรรพชีวิตทั้งหลายให้ได้บำเพ็ญอนุตรวิถี กลับจิตแปรใจ ได้คืนจิตเดิม มีความสงบเย็นใจกาย ปราศจากเสียซึ่งสรรพกำทุกข์ ปลอดพ้นจากภัยเวร สงครามข้าวยาก ด้วยเดชะบุญนี้ จงช่วยค้ำชูบิดา - มารดา ครูบาอาจารย์ - ผู้มีพระคุณ ญาติสนิท - มิตรรัก ศัตรูหมู่มาร สรรพเจ้ากรรมนายเวร เทวาทุกชั้นฟ้า อารักษ์ทั่วชั้นดิน เหล่าภูติ นาคา - นาคี เหล่าวิญญา - หมู่เปรต - อสูรกายเหล่าสัตว์ใด ๆ จงเป็นผู้ได้รับอานิสงค์เดชะแห่งผลบุญนี้ท่วนทั่วทุกคนเทอญ............................... http://www.se-ed.com/ads/pr/sile/song/09.%20Track%209.wma |