หัวข้อ: พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 26 สิงหาคม 2561 12:28:02 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/57512779864999_1.jpg) พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) วัดราชสิทธาราม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ วัดราชสิทธาราม หรือวัดพลับ เขตบางกอกใหญ่ เป็นพระอารามหลวงเก่าแก่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีพระกรุพระเก่ายอดนิยมที่นักสะสมพระเครื่องให้ความสนใจ อดีตเจ้าอาวาสที่มีชื่อเสียง คือ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) เจ้าอาวาสรูปแรก รวมทั้งพระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) เจ้าอาวาสองค์ที่ 16 (พ.ศ.2458-2470) ท่านเป็นพระเถระที่เชี่ยวชาญทางวิปัสสนากรรมฐาน และสร้างพระเครื่องที่มีความศักดิ์สิทธิ์เข้มขลังอย่างยิ่ง พระสังวรานุวงศ์เถร (ชุ่ม) หรือที่รู้จักมักคุ้นในนาม "เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม)" ท่านเกิดที่บ้าน ต.เกาะท่าพระ อ.บางกอกใหญ่ จ.ธนบุรี เมื่อวันพุธที่ 16 พ.ย.2396 ตรงกับวันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ตรงกับปีฉลู จ.ศ.1215 ซึ่งเป็นปีที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ประสูติ เป็นบุตรของนายอ่อนและนางขลิบ ช่วงเยาว์วัยได้เรียนอักขรสมัยในสำนักพระอาจารย์ทอง วัดราชสิทธาราม ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ จนอายุ 13 ปี จึงบรรพชาเป็นสามเณรในสำนักพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) และศึกษาเล่าเรียนในสำนักนี้ตลอดมา อายุ 21 ปี เข้าอุปสมบท มีพระสังวรานุวงษ์เถร (เมฆ) เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านปลัดโต และพระสมุห์กลัด เป็นคู่กรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาพระปริยัติธรรมอยู่หลายปี แต่ไม่เคยสมัครเข้าสอบไล่หรือบาลีในสนามหลวง เมื่อแตกฉานแล้วจึงหันมาเรียนและขึ้นกรรมฐานกับพระอุปัชฌาย์ เริ่มจากวิชาธรรมกายจนถึงถอดรูปได้ เรียนอยู่นานจนพระอุปัชฌาย์เชื่อมือ และได้ชื่อว่าเชี่ยวชาญที่สุดในบรรดาศิษย์ทั้งหมด จนกระทั่งปีพ.ศ.2422 ได้เป็นพระใบฎีกาฐานานุกรมของ พระสังวรานุวงศ์เถร (เมฆ) หลังพระอุปัชฌาย์มรณภาพ ท่านก็รับหน้าที่เป็นพระอาจารย์สอนและบอกกรรมฐานพระเณรและคฤหัสถ์ทั่วไป และมีโอกาสได้ออกไปรุกขมูลและ ถือธุดงค์บ่อยครั้ง สถานที่ที่ท่านชอบไปคือแถบพระพุทธบาทห้ารอย จ.เชียงราย ไปจนถึงเมืองหงสาวดีและย่างกุ้ง ในประเทศพม่า ถึงปี พ.ศ.2431 เลื่อนเป็น พระสมุห์ฐานานุกรมในพระสังวราฯ (เอี่ยม) ต่อมาในปี พ.ศ.2451 ได้รับพระราชทานเลื่อนเป็นพระราชาคณะที่ พระสังวรานุวงศ์เถร ได้เป็นเจ้าอาวาสต่อจากพระมงคลเทพมุนี (เอี่ยม) รับพระราช ทานนิตยภัตเพิ่มอีกเดือนละสามตำลึง เสมอด้วยชั้นราช รุ่งขึ้นอีกปีได้รับพระมหากรุณาธิคุณให้เพิ่มนิตยภัตขึ้นอีกเดือนละสองบาท รวมเป็นสามตำลึงครึ่ง เจ้าคุณสังวรา (ชุ่ม) เป็นพระมหาเถระที่มีพรหมวิหารสี่ครบถ้วน จึงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาในหมู่ชนอย่างมาก เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิต มีอุบาสกอุบาสิกาและประชาชนทั่วไปมาฟังธรรมในวัดและเล่าเรียนทางวิปัสสนาธุระกันมากต่อมาก เพราะท่านมีความรู้ความสามารถจึงอบรมสั่งสอนถ่ายเทความรู้ให้จนหมดสิ้น ทั้งนี้ ท่านเป็นพระเถระรูปสุดท้ายที่ได้รับพระราชทานพัดหน้านางงาสานต่อจากเจ้าคุณเฒ่า หรือหลวงปู่เอี่ยม วัดหนัง ซึ่งหลังจากท่านแล้ว ก็ไม่มีพระเถระรูปใดได้รับพระราชทานอีกเลย อาจจะเป็นเพราะไม่มีพระราชาคณะรูปใดเหมาะสม หรือเพราะวัสดุและชิ้นส่วนงาสานนี้มีราคาแพงและหาได้โดยยาก จึงไม่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นอีก นอกจากนี้ ท่านเป็นพระอาจารย์ของพระเกจิอาจารย์รูปสำคัญทางฝั่งธนบุรีหลายรูป เช่น หลวงปู่นาค วัดระฆัง, หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก, หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี เป็นต้น เจ้าคุณสังวรา(ชุ่ม) ครองวัดราชสิทธารามอยู่นาน 12 ปี มรณภาพปี พ.ศ.2470 สิริอายุได้ 74 ปี ในงานพระราชทานเพลิงศพ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ (หม่อมเจ้าภุชงค์ สิริวัฑฒโน) วัดราชบพิธฯ เสด็จเป็นประธานพระราชทานเพลิงศพด้วย นับเป็นงานที่ใหญ่โต โดยสร้างเมรุลอยบนภูเขาจำลอง มีมหรสพสมโภชถึง 3 วัน 3 คืน อริยะโลกที่ 6 |