หัวข้อ: กฐิน : ประเภทของกฐิน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 03 กันยายน 2561 17:21:28 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/27941835464702_1.JPG) กฐิน คำว่า กฐิน หรือ กฐินะ เป็นคำภาษาบาลี แปลว่าไม้สะดึง ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับขึงผ้าเป็นสี่เหลี่ยม เพื่อขึงผ้าให้ตึง สำหรับเย็บทำเป็นจีวร ซึ่งสมัยโบราณเครื่องเย็บปักถักร้อยยังไม่มีเครื่องจักรเช่นปัจจุบัน จึงเรียกไม้ชนิดนี้ว่า “ไม้สะดึง” หรือไม้แบบที่ลาดหรือกางออกไปเพื่อขึงเย็บจีวร ที่พระภิกษุในสมัยพุทธกาลใช้สำหรับกะตัดเย็บและย้อมเป็นผ้านุ่ง หรือผ้าห่ม หรือผ้าห่มซ้อนที่เรียกว่า ไตรจีวร ในภาษาไทยนิยมเรียก ผ้านุ่ง ว่า สบง ผ้าห่ม ว่า จีวร และ ผ้าห่มซ้อน ว่า สังฆาฏิ กฐินเป็นสังฆกรรมอย่างหนึ่งซึ่งพระพุทธองค์ได้ทรงอนุญาตไว้เพื่อขยายระยะเวลาในการทำจีวรให้ยาวออกไป โดยปกติระยะเวลาที่ทำจีวรมีเพียงท้ายฤดูฝน ถ้าได้กรานกฐินแล้ว ระยะเวลาย่อมขยายออกไปตลอดฤดูหนาว ต่อมาได้กำหนดเป็นประเพณีทางพุทธศาสนาที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา มูลเหตุที่จะให้เกิดเรื่องกฐินนั้น ในคัมภีร์พระวินัยปิฎกกกฐินขันธกะ พูดถึงความเป็นมาของการทอดกฐินว่า ครั้งหนึ่งภิกษุชาวเมืองปาฐารัฐ หรือ ปาไถยรัฐ จำนวน ๓๐ รูป ได้เดินทางจากเมืองปาฐาเพื่อไปเฝ้าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ซึ่งประทับอยู่ ณ เมืองสาวัตถี แต่เมื่อมาถึงเมืองสาเกต ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงสาวัตถี ระยะทางประมาณ ๖ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ ก.ม.) หรือประมาณ ๙๖ กิโลเมตร ก็เข้าฤดูฝนจึงต้องจำพรรษาอยู่ที่นั่นก่อน เมื่อออกพรรษาแล้วก็รีบเดินทางต่อไปยังเมืองสาวัตถี ระหว่างทางต้องกรำฝนทนแดดไปตลอดทาง สบงและจีวรเปียกชุ่ม พระพุทธองค์ทรงเห็นความลำบากตรากตรำของพระภิกษุเหล่านั้นจึงเรียกประชุมภิกษุสงฆ์ และยกเรื่องราวของพระภิกษุทั้ง ๓๐ รูปนั้นเป็นเหตุ แล้วตรัสอนุญาตให้ภิกษุรับผ้ากฐินก่อน เพราะแม้จะออกพรรษาแล้วฝนก็ยังไม่ขาดเสียทีเดียว ถ้าไม่มีความจำเป็นมากก็ให้อยู่รับผ้ากฐินเสียก่อนแล้วจึงเดินทางไปยังที่อื่น แล้วทรงกำหนดเวลาอันเป็นเขตของกฐินไว้ว่าตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ สามารถรับผ้ากฐินได้ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำกลางเดือน ๑๒ หรือประมาณไม่เกิน ๑ เดือน หลังจากออกพรรษา ในประเทศไทยตั้งแต่สมัยโบราณ เท่าที่มีหลักฐานทราบได้ว่ามีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี ดังมีปรากฏในศิลาจารึก หลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงมหาราชที่กล่าวถึงการทำบุญกฐินของชาวสุโขทัย ดังนี้ “คนในเมืองสุโขทัยนี้ มักทาน มักทรงศีล มักโอยทาน พ่อขุนรามคำแหงเจ้าเมืองสุโขทัยนี้ ทั้งชาวแม่ขาวเจ้า ท่วยปั่วท่วยนาง ลูกเจ้าลูกขุน ทั้งผู้ชายผู้ญีง ฝูงท่วย มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ทรงศีลเมื่อพรรษาทุกคน เมื่อออกพรรษา กรานกฐินเดือนณื่งจึ่งแล้ว เมื่อกรานกฐิน มีพนมเบี้ย มีพนมหมาก มีพนมดอกไม้ มีหมอนนั่ง หมอนโนน บริพารกฐินโอยทานแล่ปีแล้ญิบล้าน ไปสูดญัติกฐินเถิงอรัญญิกพู้น” โดยความเป็นจริงแล้วเรื่องผ้ากฐินนั้นเป็นเรื่องของพระภิกษุสงฆ์อย่างเดียวในการทำผ้า เมื่อพระภิกษุไปได้ผ้ามาจากที่ต่าง ๆ แล้วนำมารวมกันเย็บให้เป็นผืนเดียวแล้วตกลงกันว่าจะมอบจีวรชุดนี้ให้แก่พระภิกษุรูปใด (ซึ่งในสมัยพุทธกาลนั้นผ้าส่วนใหญ่เป็นผ้าบังสุกุล หรือผ้าที่พิจารณามาจากผ้าห่อศพ ผ้าจึงมีจำนวนน้อยและหายากการจะทำเป็นจีวรจึงทำได้เพียงผืนเดียว) และยอมมอบผ้าที่ทำเป็นจีวรนั้นให้แก่พระภิกษุที่มีผ้าเก่าที่สุดนำไปใช้นุ่งห่ม ในธรรมบทภาค ๔ กล่าวว่าในครั้งพุทธกาลมีการประชุมใหญ่ในการทำผ้า เมื่อครั้งพระอนุรุทธะได้ผ้าบังสุกุลมา จะทำจีวรเปลี่ยนผ้าครองสำรับเก่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบจึงพร้อมด้วยพระภิกษุ ๕๐๐ รูป เสด็จไปประทับเป็นประธานในวันนั้น พระอสีติมหาสาวก ก็ไปร่วมประชุมช่วยทำผ้ากฐิน พระมหากัสสปะนั่งอยู่ต้นผ้า พระสารีบุตร นั่งอยู่ท่ามกลางผ้า พระอานนท์นั่งอยู่ปลายผ้า พระภิกษุสงฆ์ช่วยกันกรอด้ายสำหรับเย็บ พระบรมศาสดาทรงสนเข็ม พระโมคคัลลานะเป็นผู้อุดหนุนกิจการทั้งปวง ประชาชนต่างนำสิ่งของไปถวาย เมื่อผ้าทำเสร็จแล้ว จึงมีการประชุมสงฆ์ทำสังฆกรรมเกี่ยวกับผ้ากฐิน ต่อมาด้วยเหตุการณ์ต่างๆ ของสังคมในอินเดีย และผู้ได้ถวายผ้ากฐินเป็นคนแรกที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระบรมพุทธานุญาต ได้แก่ นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผ้าที่ควรทำเป็นผ้ากฐินมี ๕ ชนิด คือ ๑.ผ้าใหม่ ๒.ผ้าเทียมใหม่ ๓.ผ้าเก่า ๔.ผ้าบังสุกุล ๕.ผ้าตกตามร้าน องค์แห่งพระภิกษุผู้ควรกรานกฐินมี ๘ คือ ๑.รู้จักบุพกรณ์ ๒.รู้จักถอนไตรจีวร ๓.รู้จักอธิษฐานไตรจีวร ๔.รู้จักการกราน ๕.รู้จักมาติกา ๖.จักปลิโพธกังวล ๗.รู้จักการเดาะกฐิน ๘.รู้จักอานิสงส์กฐิน บุพกรณ์มี ๗ คือ ๑.ซักผ้า ๒.กะผ้า ๓.ตัดผ้า ๔.เนาหรือด้นผ้าที่ตัดแล้ว ๕.เย็บเป็นจีวร ๖.ย้อมจีวรที่เย็บแล้ว ๗. กัปปะ คือ พินทุ (หรือเครื่องหมายบนผ้า) ประเพณีทอดกฐิน มีกำหนดฤดูกาลที่จะทำตามวินัยว่าต้องทำภายในกำหนด ๑ เดือน นับตั้งแต่วันออกพรรษาไปแล้ว คือตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ภายในกำหนดเวลานี้ โดยทั่วไปเรียกว่ากฐินกาล เทศกาลกฐิน หน้ากฐิน หรือฤดูกฐิน ก่อนถึงวันทอดกฐิน ผู้ประสงค์จะทอดกฐินต้องเลือกวัดที่จะทอด โดยหาวัดที่เหมาะแก่กำลังของตนตามที่พระวินัยบัญญัติไว้ว่าวัดที่สามารถรับกฐินได้นั้นต้องมีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาอย่างน้อย ๕ รูป และพระเหล่านั้นต้องไม่ขาดพรรษาคือจำพรรษาในวัดนั้นตลอดไตรมาสครบ ๓ เดือน โดยมากจะเลือกวัดหมู่บ้านอื่นเพื่อได้มีโอกาสแห่กฐินไปอย่างครึกครื้นสนุกสนาน และยังเป็นโอกาสได้เที่ยวเตร่เปลี่ยนภูมิประเทศ ได้เห็นสิ่งแปลกใหม่ไปในตัว เมื่อตกลงใจจะทอดกฐินวัดใดแล้วก็ต้องเผดียง คือแจ้งความจำนงให้พระสงฆ์ในวัดนั้นรู้แต่เนิ่นๆ แล้วเขียนประกาศติดไว้ในที่เปิดเผยในวัดนั้น เรียกว่า จองกฐิน การจองกฐินนี้จองได้แต่เฉพาะวัดราษฎร์ วัดหลวงจองไม่ได้ เพราะวัดหลวงจะต้องรับกฐินหลวงเท่านั้น วัดใดที่มีผู้จองกฐินแล้วคนอื่นจะมาทอดซ้ำไม่ได้ เว้นแต่เจ้าภาพจะตกลงกันเอง ครั้นถึงกาลกฐินผู้ที่จองกฐินไว้ก็จะเตรียมข้าวของโดยเฉพาะผ้าซึ่งจะทำเป็นไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่ง อย่างน้อยก็พอที่จะทำเป็นสบงได้ ผ้านี้จะเป็นผ้าขาวที่ยังไม่ได้เย็บ หรือเย็บแล้วแต่ยังไม่ได้ย้อมเหลือง หรือจะย้อมเหลืองแล้วก็ได้ ผ้าดังกล่าวนี้เป็นของสำคัญหรือเป็นหัวใจของกฐินที่ขาดไม่ได้ เรียกว่า องค์กฐิน ส่วนเครื่องไทยธรรมและของถวายพระอื่นๆ เช่น รองเท้า พัด ย่าม มุ้ง หมอน ผ้าห่ม ปิ่นโต เป็นเพียงบริวารกฐิน ไม่มีกำหนดตายตัว แล้วแต่ศรัทธา เสร็จแล้วจึงนำผ้ากฐินไปถวายพระภิกษุสงฆ์ เรียกว่า “ทอดกฐิน” ก่อนที่จะนำกฐินไปทอด ถ้ามีพิธีฉลองจะเรียกว่า “ฉลองกฐิน” การเดินทางไปทำบุญทอดกฐินในสมัยก่อนมีทั้งทางบกและทางน้ำ ถ้าบนทางบกก็ไปโดยเกวียน ข้าง หรือม้า ถ้ามีช้างมักตั้งองค์กฐินในกูบบนหลังช้าง ถ้าไม่มีก็ตั้งไว้ในเกวียนและตกแต่งประดับประดาเกวียนให้งดงาม แต่งเป็นบุษบกสำหรับตั้งองค์กฐิน หรือถ้าไม่ใส่เกวียนก็ใช้หาบไป โดยมีขบวนร้องรำทำเพลง เป่าปี่ตีกลองนำหน้าขบวน ถ้าไปทางน้ำก็ไปด้วยเรือพายเรือแจว หรือที่เป็นองค์กฐินนั้น จัดแต่งเป็นพิเศษมีคาดผ้าสีมีธงทิวตามแต่จะแต่ง และหากมีพิธีแห่ ไม่ว่าจะเป็นทางบกหรือทางน้ำ ก็เรียกว่าแห่กฐิน มีประเพณีอย่างหนึ่งคือ ผู้ทอดกฐินต้องนำธงผ้าเขียนเป็นรูปสัตว์ เช่น จระเข้หรือเต่าไปด้วย เมื่อทอดกฐินเสร็จแล้วก็นำไปปักไว้ที่ศาลาวัด หน้าโบสถ์ หรือหน้าวัดที่เห็นได้ชัดเพื่อเป็นเครื่องหมายว่าวัดนี้ทอดกฐินแล้ว กฐินที่นิยมทอดในหมู่พุทธศาสนิกชนไทยภาคกลาง มีผู้แบ่งไว้เป็นประเภทต่างๆ ดังนี้ กฐินหลวง คือกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินเสด็จพระราชดำเนินทอดถวาย ณ พระอารามหลวงที่กำหนดไว้เป็นกรณีพิเศษ ปัจจุบันมี ๑๖ วัด ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม วัดสุทัศนเทพวาราม วัดอรุณราชวราราม วัดเทพศิรินทราวาส วัดบวรนิเวศวิหาร วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม วัดมกุฎกษัตริยาราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม วัดราชาธิวาส วัดราชโอรสาราม วัดนิเวศธรรมประวัติ วัดสุวรรณดารามราม จังหวัดพระนครศรีอยุธยา วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก กฐินต้น คือกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระราชศรัทธาพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์เสด็จพระราชดำเนินทอดถวายตามพระอารามที่ทรงพอพระราชหฤทัย จะเป็นอารามหลวงหรืออารามราษฎร์ สุดแต่พระราชอัธยาศัย กฐินพระราชทาน คือกฐินที่พระเจ้าแผ่นดินมีพระบรมราชานุญาตให้ข้าราชบริพารหรือหน่วยราชการต่างๆ นำไปทอดถวาย ณ พระอารามหลวงต่างๆ แทนพระองค์ เช่น วัดราชโอรสาราม วัดอนงคาราม วัดกัลยาณมิตร เป็นต้น กฐินราษฎร์ คือกฐินที่ราษฎรจัดขึ้นเป็นส่วนตัวหรือเป็นหมู่คณะ แล้วนำไปทอดถวายตามวัดต่างๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด กฐินราษฎร์นี้ แยกเรียกกันออกเป็น ๒ อย่าง คือ จุลกฐินและมหากฐิน จุลกฐิน คือกฐินที่จัดทำตั้งแต่เริ่มเก็บฝ้ายมาปั่นกรอให้เป็นด้าย แล้วทอจนเป็นผืนผ้า เย็บย้อมเสร็จแล้วทอดในวันนั้น มีกำหนดเวลาให้ทำเสร็จภายใน ๒๔ ชั่วโมง ส่วนมหากฐิน คือ กฐินที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะมีเวลาตระเตรียมได้นานวัน กฐินสามัคคี คือกฐินที่พุทธศาสนิกชนร่วมแรงร่วมใจกันจัดขึ้นเป็นหมู่คณะ กฐินทรงเครื่อง คือกฐินที่มีผ้าป่าไปทอดสมทบด้วย เรียกว่าผ้าป่าหางกฐิน กฐินโจรหรือกฐินตกค้างหรือกฐินจร คือกฐินที่เจ้าภาพนำไปทอดโดยไม่แจ้งให้ทางวัดรู้ล่วงหน้า ผ่านไปวัดใดที่ยังไม่มีใครจองและใกล้จะหมดกาลกฐินแล้ว ก็จู่โจมเข้าไปทอดถวายคล้ายโจรบุกปล้น การทอดกฐินประเภทนี้ถือว่าได้บุญได้อานิสงส์แรงกว่าทอดกฐินธรรมดา ผู้ที่ได้ทำบุญกฐินถือว่าเป็นผู้ได้สืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืดยาวออกไป ได้เป็นผู้สงเคราะห์พระสงฆ์ตามพระธรรมวินัยและได้ชื่อว่าเป็นผู้บำเพ็ญมหาทาน นอกจากนี้ยังเป็นการรักษาประเพณีที่ดีไว้มิให้เสื่อมสูญ สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่เป็นอานิสงส์ที่ผู้ทำบุญกฐินได้รับทั้งสิ้น พระภิกษุสงฆ์ที่รับกฐินก็จะได้รับอานิสงส์ด้วยเช่นกัน ประเพณีทอดกฐินในภาคกลางมีทั้งที่เป็นประเพณีหลวงและประเพณีราษฎร์ นับเป็นพระราชประเพณีอย่างหนึ่งที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงเป็นธุระ บำเพ็ญพระราชกุศลมาตั้งแต่สมัยโบราณ การเสด็จพระราชดำเนินไปถวายผ้าพระกฐินสมัยก่อน มีการเสด็จโดยขบวนพยุหยาตราทั้งทางสถลมารคและชลมารค เป็นการแห่พระกฐิน ปัจจุบันการไปทำบุญทอดกฐินสำหรับชาวบ้าน นอกจากจะไปทางน้ำโดยขบวนเรือและทางบกด้วยขบวนรถยนต์แล้ว ยังมีทางอากาศด้วยเครื่องบิน ซึ่งบางครั้งจะเป็นไปในรูปของทัวร์กฐินหรือเที่ยวกฐินด้วย คือ นอกจากจะไปทำบุญทอดกฐินแล้ว ยังมีการพาเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (http://www.sookjaipic.com/images_upload/97239985813697_31.JPG) หัวข้อ: Re: กฐิน : ประเภทของกฐิน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 30 ตุลาคม 2564 19:44:05 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18271030485629_248648342_2938645143054638_622.jpg) อานิสงส์ของการทอดกฐิน โดย หลวงปู่เปลี่ยน ปัญญาปทีโป ๕ ตุลาคม ๒๕๓๓ จะอธิบายเรื่อง อานิสงส์ของการทอดกฐิน ทำไมจึงได้อานิสงส์มาก ได้บุญมากเสียเหลือเกิน คนที่ทำบุญทอดกฐินนี้ การทานผ้าผ่อนท่อนสไบ เครื่องนุ่งห่ม เปลี่ยนผ้าให้แก่พระภิกษุนั้น อานิสงส์ที่จะได้เกิดชาติใดภพใดย่อมได้มีร่างกายสวยงามหนึ่ง และได้ผ้าผ่อนท่อนสไบเครื่องนุ่งห่มไม่อดไม่อยาก ทีนี้ถ้าเราทานบาตร ถ้าหากเราทำใหญ่ เกิดชาติใดภพใดจะเหมือนได้หม้อข้าวทิพย์ มีอาหารการกินบริบูรณ์ ไม่อดไม่อยากเหมือนกัน นี่พูดถึงการที่เราทำเหมือนกับการบวชพระภิกษุองค์หนึ่ง บุคคลใดพากันบริจาคทานมีดโกนและหินลับมีดโกน บุคคลนั้นจะได้สติปัญญาแก่กล้า เฉลียวฉลาดแหลมคม ถ้ามีดโกนนั้นปลงผมให้หมดจดสะอาด สติปัญญานั้นเองจะกำจัดกิเลสให้หมดให้สิ้นจากดวงใจนั้นในทางที่สุด ได้รับอานิสงส์ บุคคลทานด้ายทานเข็มก็เช่นกันจะเป็นบุคคลที่มีสติปัญญาเฉียบแหลมแทงทะลุปรุโปร่งเข้าไปในคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอานิสงส์ บัดนี้ บุคคลจะทานเตียงนอนหรือหมอนมุ้งก็ดีเป็นที่อยู่ที่นอน ก็เรียกว่าให้ได้ที่พักพาอาศัยที่อยู่ที่นอนเสื่อสาดอาสนะนั้น สะดวกสบายไปอยู่ที่ไหน เกิดชาติใดภพใดก็ดีก็ย่อมได้อานิสงส์สิ่งนั้น บุคคลพากันทานเรื่องอาหารการกิน เกิดชาติใดภพใดก็จะได้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ และมีอาหารการกินสมบูรณ์ ไปเกิดอยู่ประเทศไหนแห่งหนตำบลใด ไม่อดไม่อยาก ไม่เขียมอาหารการกินสมบูรณ์ ไม่ทุกข์ยากเหมือนอย่างบางประเทศที่เขาไม่ได้ทำบุญ เขาอดเขาอยากยากแค้นเหมือนอย่างที่เราพูดกันอยู่ ไม่ไปเกิดในสถานที่อย่างนั้น คนทำบุญเรื่องบริจาคทานอาหารการกินถวาย บุคคลทานยารักษาโรคภัยไข้เจ็บมาร่วมกฐิน เกิดชาติใดภพใดจะเป็นผู้ที่ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียนร่างกายตั้งแต่เล็กจนถึงหนุ่มสาว จนถึงเฒ่าแก่ ไม่ได้ไปโรงพยาบาลสักที ร่างกายจะมีพลานามัยสมบูรณ์อยู่ตลอด เป็นอานิสงส์ของผลบุญ บุคคลทานธูปทานเทียน ดอกไม้ก็ดีมาร่วมงานกฐิน เกิดชาติใดภพใดจะได้ดวงตาแจ่มใส หรือไฟฟ้าไฟฉายก็ตามแต่มาร่วมงานนั้น ก็เหมือนอย่างเดียวกัน จะทำให้ดวงตาสว่างไสว ตาไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ เป็นอานิสงส์ของผลบุญ บุคคลที่ทานจอบทานเสียมก็ดีเป็นเครื่องพัฒนาสิ่งของต่างๆ ก็ทำให้เรามีพื้นที่ มีสวนลำไย มีสวนลิ้นจี่ สวนอะไร หรือทำถนนหนทางด้วยจอบด้วยเสียมให้คนเดินไปมาอย่างสะดวกสบาย บุคคลนั้นก็จะได้อานิสงส์ เดินไปไหนก็ได้ทางเดินสะดวกสบาย สะอาดสะอ้านเป็นอานิสงส์ผลบุญ บัดนี้บุคคลจะทานพระพุทธรูปมาร่วมในงานกฐิน บริจาคพระพุทธรูปเป็นองค์แทนสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาไปตั้งไว้ที่ไหนให้คนสักการะกราบไหว้บูชา จะนำมาเป็นพลานิสงส์แก่บุคคลผู้บริจาคทานนั้น เกิดชาติใดภพใดจะเป็นคนรูปสวยสดงดงาม เป็นอานิสงส์ผลบุญอย่างหนึ่ง อีกอย่างหนึ่งนั้นจะเป็นคนที่ชักชวนบุคคลอื่นให้เข้าใกล้พระพุทธศาสนา เพราะเราเอาพระพุทธรูปไปตั้งไว้บนศาลาหรือบนวิหารโบสถ์ก็ดี บุคคลทั้งหลายมาจากจาตุรทิศทั้งสี่ เมื่อมามองเห็นแล้วว่าพระพุทธรูปสวยสดงดงาม น่ากราบไหว้น่าบูชา เขาก็พากันมาดอกไม้มาบูชา พากันมากราบมาไหว้ เขาก็ย่อมได้บุญได้กุศล เพราะตนเองนั้นบริจาคทานพระพุทธรูปเอาไว้ นี่ก็ชักจูงคนอื่นให้เข้าทำคุณงามความดี เข้าใกล้พระพุทธศาสนา อานิสงส์อีกข้อหนึ่งก็ดี เกิดชาติใดภพใดจะได้พบพระพุทธศาสนา ได้พากันทำคุณงามความดีสืบต่อไป เป็นอานิสงส์ผลบุญผู้บริจาคทานพระพุทธรูป หากบุคคลทานพัดลมเครื่องพัดวีก็ดี เกิดชาติใดภพใดไปอยู่ที่ไหนก็ย่อมได้รับความร่มเย็นเป็นสุข มีพัดมีวี อยู่สถานที่สบาย ไม่ร้อน เพราะเป็นสิ่งที่คลายร้อน บุคคลทานน้ำบริจาคน้ำเอาไว้เป็นน้ำดื่มก็ดี น้ำอาบน้ำใช้ก็ดี เกิดชาติใดภพใดก็จะมีน้ำใช้น้ำอาบสะดวกสบาย ไปเกิดในสถานที่มีน้ำอย่างสมบูรณ์ จะไปบ้านใดเมืองใดเราหิวน้ำ ย่อมมีคนเอาน้ำมาต้อนรับเวลาเราไป เราไม่ต้องเรียกดื่ม เขาจะเอามาต้อนรับ เพราะด้วยอานิสงส์ผู้บริจาคทานเอาไว้ บุคคลใดให้นั่งล้อนั่งเกวียนก็ดี นั่งรถนั่งเรือก็ดี เกิดชาติใดภพใดจะมีรถมีเรือนั่งไปสะดวกสบาย เป็นอานิสงส์ผลบุญ ถ้าหากไปเกิดอยู่บนสวรรค์ อยู่ในหอปราสาทราชมณเฑียรก็ดี บุคคลนั้นจะมียานทิพย์ลอยไปที่โน่นที่นี่ต้อนรับ ตั้งแต่เริ่มบุคคลนั่นล่วงลับดับกายไปก็จะมียานทิพย์มาคอยลงมารับวิญญาณของบุคคลนั้นขึ้นไปสู่สุคติ อันนั้นเรียกว่าทานยานพาหนะ ทีนี้บุคคลจะทานอะไรไว้บ้าง มีหลายสิ่งหลายอย่าง ถ้าอาหารการกินก็รวมหมดแล้ว พริกเขือเกลือปลาร้าอะไร กระเทียมอะไร ผักกาดอะไร เครื่องอาหารทั้งหลาย รวมหมด ก็ย่อมได้อานิสงส์ดังที่กล่าวมาให้ร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ มีอาหารการกินสมบูรณ์ องค์กฐินมีบริวารหลายสิ่งหลายอย่าง ใครจะทานผ้าผืนเล็กผืนน้อย ผ้าเช็ดหน้าก็แล้วแต่ เอาหมอนมาร่วมก็แล้วแต่ ใครจะเอาอะไร เอาสมุดดินสออะไร หนังสือธรรมะ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เช่น สมุดดินสอ หนังสือธรรมะ ก็ให้อานิสงส์ เกิดชาติใดภพใด เราบริจาคเอาไว้ จะเป็นคนรู้จักเรียนรู้หนังสือและเขียนหนังสือได้ คนทานหนังสือธรรมะ บริจาคทาน เกิดชาติใดภพใดเป็นคนมีสติปัญญาว่องไว เฉลียวฉลาด เพราะคนอื่นเขาอ่านแล้วเขาก็ย่อมมีปัญญาเกิดขึ้น ก็สามารถจะทำตนเองให้พ้นจากกองทุกข์ได้ด้วยสติปัญญาของตน เหมือนกับพระสารีบุตรท่านได้ทานพระไตรปิฎกเอาไว้ตั้งแต่ชาติอดีตที่ผ่านมา เมื่อสมัยพุทธกาลจึงเป็นผู้มีปัญญารององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อานิสงส์ บัดนี้ บางคนก็ทานปัจจัยเงินทอง เรียกว่าเงินบริจาคร่วมกันในการทำกฐิน จะทำมากทำน้อยก็แล้วแต่ เราก็ทำได้ เราอย่าไปคิดว่าเราทำน้อยเราไม่ทำ เราจะทำ ๒๕ สตางค์ ๕๐ สตางค์ บาทนึง สองบาท ตามกำลังของตน ถ้าเราไม่มี เรามีสิ่งอื่นเราก็ทำสิ่งอื่น เราทำบุญนั้น อย่าไปรังเกียจกองบุญของตนเอง ไม่ต้องไปละอายคนอื่น เรามีน้อยเราก็ทำไปตามน้อย เราก็ย่อมได้อานิสงส์ไปตามกำลังของตนที่ทำ เรียกว่ามีความพอใจที่จะทำ นี่เรียกว่าเราสร้างความดี ขอขอบคุณที่มา Fb.พระพุทธศาสนา หัวข้อ: Re: กฐิน : ประเภทของกฐิน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 พฤศจิกายน 2564 18:47:46 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/78007143570317_253221791_2943091395943346_652.jpg) บาลี: กฐิน • บาลี : กฐิน เป็นศัพท์ในพระวินัยปิฎกเถรวาท เป็นชื่อเรียกผ้าไตรจีวรที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่จำพรรษาครบ ๓ เดือนแล้ว สามารถรับมานุ่งห่มได้ โดยคำว่าการทอดกฐินหรือการกรานกฐินจัดเป็นสังฆกรรมประเภทหนึ่งตามพระวินัยบัญญัติเถรวาทที่มีกำหนดเวลาคือพระสงฆ์สามารถกระทำสังฆกรรมนี้ได้นับแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เท่านั้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญคือสร้างความสามัคคีในหมู่คณะสงฆ์ และอนุเคราะห์ภิกษุผู้ทรงคุณที่มีจีวรชำรุด ดังนั้นกฐินจึงจัดเป็นเรื่องเกี่ยวกับสังฆกรรมของพระสงฆ์โดยจำเพาะ ซึ่งนอกจากในพระวินัยฝ่ายเถรวาทแล้วกฐินยังมีในฝ่ายมหายานบางนิกายอีกด้วยแต่จะมีข้อกำหนดแตกต่างจากพระวินัยเถรวาท • อปโลกน์กฐิน หมายถึง การที่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเสนอขึ้นในที่ประชุมสงฆ์ถามความเห็นชอบว่าควรมีการกรานกฐินหรือไม่ เมื่อเห็นชอบร่วมกันแล้วจึงหารือกันต่อไปว่าผ้าที่ทำสำเร็จแล้วควรถวายแก่ภิกษุรูปใด การปรึกษาหารือการเสนอความเห็นเช่นนี้เรียกว่า อปโลกน์ (อ่านว่าอะ-ปะ-โหลก) เมื่ออปโลกน์เสร็จแล้วจึงต้องสวดประกาศเป็นการสงฆ์จึงนับเป็นสังฆกรรม • พิธีกรานกฐิน กรานกฐินเป็นพิธีฝ่ายภิกษุสงฆ์โดยเฉพาะคือภิกษุผู้ได้รับมอบผ้ากฐินนั้นนำผ้ากฐินไปทำเป็นไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งเย็บ ย้อมแห้ง เรียบร้อยดีแล้ว เคาะระฆัง ประชุมกันในโรงพระอุโบสถ ภิกษุผู้รับผ้ากฐิน ถอนผ้าเก่าอธิษฐานผ้าใหม่ที่ตนได้รับนั้นเข้าชุดเป็นไตรจีวร เสร็จแล้วภิกษุรูปหนึ่งขึ้นสู่ธรรมาสน์แสดงพระธรรมเทศนากล่าวถึงเรื่องประวัติกฐิน ประเพณีการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนไทยมีมาช้านาน โดยมีทั้งพิธีหลวงและพิธีราษฎร์ โดยการถวายผ้าพระกฐินของพระมหากษัตริย์จัดเป็นพระราชพิธีที่สำคัญประจำปี ในปัจจุบันถวายผ้ากฐินในแง่การสนับสนุนผ้าไตรจีวรเพื่อใช้ในสังฆกรรมสำคัญของคณะสงฆ์ ความสำคัญบริวารของกฐินทาน เช่น เงิน หรือวัตถุสิ่งของเพื่อนำสิ่งเหล่านี้มาพัฒนาถาวรวัตถุและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งจัดเป็นสังฆทานอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน การได้มาของผ้าไตรจีวรอันจะนำมากรานกฐินตามพระวินัยบัญญัติของเถรวาทนี้พระพุทธองค์ไม่ทรงห้ามการรับผ้าจากผู้ศรัทธาเพื่อนำมากรานกฐิน ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เกิดทานพิธีการถวายผ้ากฐินหรือการทอดกฐินของพุทธศาสนิกชนขึ้น และการถวายผ้ากฐินนั้นจัดเป็นสังฆทาน คือ ถวายแก่คณะสงฆ์โดยไม่เจาะจงภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเพื่อให้คณะสงฆ์นำผ้าไปอปโลกน์ยกให้แก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งตามที่คณะสงฆ์ลงมติ (ญัตติทุติยกรรมวาจา) และกาลทานที่มีกำหนดเขตเวลาถวายแน่นอน คณะสงฆ์วัดหนึ่งๆ สามารถรับได้ครั้งเดียวในรอบปี มีกำหนดระยะเวลาถวายเพียง ๑ เดือน คือ ตั้งแต่วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ไปจนถึงวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ ระยะเวลานี้เรียกว่า กฐินกาล คือ ระยะเวลาทอดกฐินหรือเทศกาลทอดกฐินซึ่งเป็นทานที่ถวายได้ภายในเวลาที่มีพระพุทธานุญาตกำหนด จึงมีอานิสงส์เป็นพิเศษในการทอดกฐินทำให้ประเพณีการทอดกฐินเป็นบุญประเพณีนิยมที่สำคัญของพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไป • อานิสงส์ของการทำบุญทอดกฐิน ๑.ทำให้เป็นผู้มั่งคั่งมีทรัพย์สินมาก และประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานได้โดยง่าย ๒.ทำให้เป็นผู้มีจิตใจแช่มชื่น บริสุทธิ์และผ่องใสอยู่เสมอ ๓.ทำให้เป็นผู้มีจิตใจตั้งมั่น เป็นสมาธิและเข้าถึงธรรมได้โดยง่าย ๔.ได้ชื่อว่าเป็นผู้สามารถใช้ทรัพย์สมบัติให้เกิดเป็นบุญกุศลติดตัวไปในภพเบื้องหน้าได้อย่างเต็มที่ ๕.ทำให้เป็นคนรูปงามผิวพรรณงามเป็นที่รักของคนทั่วไป ๖.ทำให้เป็นผู้มีชื่อเสียงเกียรติคุณ น่ายกย่องสรรเสริญเป็นที่ตั้งแห่งศรัทธาน่าเคารพนับถือ ทั้งนี้ยังเป็นการสงเคราะห์พระภิกษุที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาสให้ได้รับอานิสงส์ตามพุทธบัญญัติ เป็นการเทิดทูนพระพุทธบัญญัติเรื่องกฐินให้คงอยู่สืบไป นับได้ว่าบูชาพระพุทธศาสนาด้วยการปฏิบัติบูชาส่วนหนึ่งและเป็นการสืบต่อประเพณีกฐินทานมิให้เสื่อมสลายไปจากวัฒนธรรมประเพณีของคนไทย อีกทั้งยังเป็นการเสริมสร้างพลังสามัคคีขึ้นในสังคมอีกทางหนึ่งด้วย การถวายผ้ากฐินเมื่อพระสงฆ์ประชุมพร้อมกันแล้วประธานองค์ผ้ากฐิน/เจ้าภาพอุ้มผ้ากฐิน นั่งหันหน้าตรงต่อพระประธาน ตั้งนะโม ๓ จบ แล้วหันหน้ามาทางพระสงฆ์ กล่าวคำถวายผ้ากฐิน ๓ จบ • คำกล่าวถวายผ้ากฐิน อิมัง มะยัง ภันเต / สะปะริวารัง / กะฐินะ จีวะระทุสสัง / สังฆัสสะ / โอโณชะยามะ / สาธุ โน ภันเต/ สังโฆ/อิมัง /สะปะริวารัง /กะฐินะจีวะระทุสสัง / ปะฏิคคันหาตุ / ปะฏิคคะ เหตตะวา จะ /อิมินา ทุสเสนะ / กะฐินัง/ อัตถะรัตตุ/ อัมหากัง / ทีฆะรัตตัง / หิตายะ / สุขายะ / นิพพานายะจะ ฯ • คำกล่าวถวายผ้ากฐิน (ไทย) ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ / ข้าพเจ้าทั้งหลาย / ขอน้อมถวาย / ผ้าจีวรกฐิน /พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้ / แด่พระภิกษุสงฆ์ / ขอพระภิกษุสงฆ์ / จงรับ / ผ้าจีวรกฐิน / พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้ / ครั้นรับแล้ว /จงกรานกฐิน / ด้วยผ้าผืนนี้ /เพื่อประโยชน์ / เพื่อความสุข / เพื่อมรรคผลนิพพาน / แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย /ตลอดกาลนาน เทอญฯ ขอขอบคุณที่มา - เพจพระพุทธศาสนา |