หัวข้อ: เจตนาคือกรรมที่มีในจิตทุกดวง เริ่มหัวข้อโดย: 時々๛कभी कभी๛ ที่ 30 มิถุนายน 2554 13:47:55 (http://static.panoramio.com/photos/original/54978201.jpg) โค - สะ - นา Sometime Home http://poerlife.fx.gs http://poerlife.fx.gs/index.php?topic=334.new#new (http://poerlife.fx.gs/index.php?topic=334.new#new) ๑.ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุชาวเมืองอาฬวี ช่วยกันทำนวกรรม ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ ข้างล่างยกไม้กลอนส่งขึ้นไป ไม้กลอนที่ภิกษุผู้อยู่ข้างบนจับไว้ไม่มั่น ได้พลัดตกลงบน กระหม่อมภิกษุผู้อยู่ข้างล่าง ภิกษุผู้อยู่ข้างล่างนั้นถึงมรณภาพ เธอมีความรังเกียจว่า เรา ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระ ภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุเธอคิดอย่างไร? ภิ. ข้าพระพุทธเจ้า มิได้จงใจ พระพุทธเจ้าข้า ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุไม่จงใจ ไม่ต้องอาบัติ เมื่อได้อ่านพระไตรปิฎกพบข้อความนี้ ก็มิได้มีความขัดแย้ง แต่จะขอความกระจ่างจาก ท่านอาจารย์{ขา} คือว่าในจิตนั้นก็มีเจตนาเจตสิกประกอบด้วยทุกดวงเจตนาก็ชื่อว่า กรรม และการกระทำก็เป็นชวนจิตจึงน่าจะทำกรรม ทำไมพระพุทธเจ้าจึงไม่ปรับอาบัติ หรือว่าเป็นเจตนาที่อยู่ในวิบาก คือมารับผลของกรรม คำว่า ปาราชิกแปลว่า ผู้แพ้ อาบัติขั้นสูงสุด เรียกว่า ปาราชิก เป็นความผิดที่ ภิกษุละเมิดข้อห้ามใดข้อห้ามหนึ่งในจำนวน ๔ ข้อ คือ เสพเมถุน ถือเอาของที่เจ้าของ เขาไม่ได้ให้หรือลักขโมยนั่นเองฆ่ามนุษย์ให้ตายหรือ อวดอุตริมนุสธรรม ภิกษุผู้ กระทำผิด เรียกว่าต้องอาบัติปาราชิก โทษที่ได้รับเป็นโทษหนักคือ การขาดจากความเป็นภิกษุ ส่วนคำว่า เจตนา เป็นสภาพธรรมที่ตั้งใจ ขวนขวาย เกิดกับจิตทุกประเภท สำหรับข้อความที่{คุณลุงหมาน}ยกมานั้น เป็นเรื่องที่พระภิกษุกำลังทำนวกรรม คือ การก่อสร้างอยู่ ภิกษุรูปหนึ่ง ส่งไม้ให้พระภิกษุอีกรูปที่อยู่ข้างบน แต่ภิกษุที่อยู่ข้างบน จับไม้ไม่ดีไม้ก็เลยตกลงบนศีรษะของพระภิกษุที่ส่งไม้ให้ถึง{มรณภาพ}ท่านก็เกิด ความรังเกียจว่าท่านต้องอาบัติปาราชิกหรือไม่ เพราะอาบัติปาราชิก 1 ใน 4 ข้อ คือ ฆ่ามนุษย์ พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า เธอคิดอย่างไร ภิกษุรูปนั้น ทูลว่า ข้าพระองค์ไม่ได้จงใจ ฆ่าภิกษุนั้น พระพุทธตรสว่า เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก คือ ในข้อที่ฆ่ามนุษย์นั่นเอง เหตุผลคืออย่างนี้ เจตนา{เจตสิก}เกิดกับจิตทุกดวงก็จริงแต่ไม่ได้หมายความ ว่า เจตนาเจตสิกที่เกิดกับจิต ชาติวิบากและกิริยาจะเป็นกรรม ที่จะเป็นกุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม เช่น ขณะที่เห็น + เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมมีเจตนาเจตสิกเกิดร่วม ด้วยแต่เจตนานั้นไม่ได้เป็นกรรมที่เป็นกุศลกรรมและเป็นอกุศลกรรมที่เป็น{สุจริต}และ ทุจริตเพียงแต่ทำกิจ เกิดร่วมกัน ทีเป็นเจตนา อันเป็นผลของกรรมไม่ได้เป็น จิตที่ทุจริตและสุจริตในขณะนั้นแต่ที่พระพุทธเจ้าตรัสถามพระองค์หมายถึง เจตนาที่เป็นไปในอกุศลกรรม คือ เจตนาฆ่าเพราะความสุจริตและทุจริตเกิดจาก เจตนาที่เป็นไปในกุศลกรรมและ{อกุศลกรรม}ไม่ได้เกิดจากจิตที่เป็นชาติวิบากที่ เป็นผลของกรรมดังนั้นแม้มีเจตนาที่เกิดกับจิตชาติวิบากแต่ก็ไม่เป็นกรรมที่เป็น เจตนาที่เป็นสุจริตและทุจริตและขณะที่พระภิกษุท่านกำลังจับไม้และจับไม่มั่น ท่านก็มีเจตนาเกิดขึ้นคือเจตนาจะจับไม้แต่ไม่ได้มีเจตนาทุจริต ที่จงใจ ตั้งใจจะฆ่า จึงไม่ต้องอาบัติปาราชิกเพราะไม่มีเจตนาฆ่านั่นเองดังนั้น ขณะนั้นมีเจตนาก็จริงแต่ ไม่ใช่เจตนาทุจริตตั้งใจจะฆ่า เรื่องของเจตนาจึงเป็นไปทั้งที่เกิดกับจิตทุกชาติทุกประเภทจึงแบ่งเจตนาที่เป็น 2 อย่าง คือ เจตนาทีเกิดพร้อมกับจิตทุกประเภทเรียกว่า{สหชาตกัมมปัจจัย}และ เจตนาทีเกิดกับจิตที่เป็นกุศลกรรมและ{อกุศลกรรม}อันสามารถให้ผลในขณะต่อไปเมื่อ กรรมนั้นให้ผล เกิดวิบาก เรียกว่า นานักขณิกกัมมปัจจัยเพราะฉะนั้น{เจตนา} เจตสิกทีเกิดกับจิตทีเป็นผลของกรรมเกิดพร้อมกับจิตนั้นแต่ไม่ให้ผลและไม่เป็น ทุจริต ไม่มีเจตนาจงในทุจริตอะไรเป็นสหชาตกัมมปัจจัยส่วนเจตนาฆ่าและกรรม นั้นสำเร็จคือสัตว์นั้นตาย และกรรมนั้นให้ผลได้เจตนาที่เป็นเจตนาฆ่า เป็นเจตนา ทุจริต เป็น{นานักขณิกกัมมปัจจัย} ธรรม ๔ อย่าง ควรเจริญ เป็นไฉน ได้แก่สติปัฏฐาน ๔ คือ................................................. ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกายในกาย ๑ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนา ๑ พิจารณาเห็นจิตในจิต ๑ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม ๑ ธรรม ๔ อย่างเหล่านี้ ควรเจริญ ข้อมูลจากมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนาบ้านธัมมะ 136 หมู่ 5 ต.หนองควาย อ.หางดง จ.เชียงใหม่ 50230 (http://static.panoramio.com/photos/original/54897129.jpg) http://www.fungdham.com/download/song/allhits/15.wma |