หัวข้อ: การให้ธรรมะเป็นการให้ที่ดีที่สุด พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 16 ธันวาคม 2562 13:51:09 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/58606754326158_201.jpg) การให้ธรรมะเป็นการให้ที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “การให้ธรรมะชนะการให้ทั้งปวง” ทำไมธรรมะถึงชนะการให้ทั้งปวง เพราะว่าให้อะไรในโลกนี้ก็ไม่มีคุณค่าเหมือนกับให้ธรรมะ เหมือนกับให้อะไรในโลกนี้ก็ไม่มีคุณค่าเท่ากับให้เพชร ถ้าให้เพชรนี่เพชรเป็นของที่มีราคามากกว่าพลอยมากกว่านิลจินดา มากกว่าเงินมากกว่าทอง ดังนั้น เพชรนี้เปรียบเหมือนธรรมะ ธรรมะนี้มีคุณค่ามากกว่าเพชร มากกว่าสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้เพราะว่าธรรมะนี้ทำในสิ่งที่สิ่งต่างๆ ในโลกนี้ทำไม่ได้ ก็คือดับความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ในใจของพวกเราได้ พวกเรานี้ถ้าอยากจะดับความทุกข์นี้ต้องดับด้วยธรรมะ ถ้าไม่มีธรรมมะดับไม่ได้ มีเงินทองร้อยล้านพันล้านก็ดับความทุกข์ใจไม่ได้ มีตำแหน่งใหญ่โตเป็นพระราชามหากษัตริย์ เป็นประธานาธิบดี เป็นนายกรัฐมนตรี เป็น ส.ส. เป็นอะไรก็ดับความทุกข์ใจไม่ได้ ได้รางวัลชนิดไหนก็ไม่สามารถดับความทุกข์ได้ รางวัลตุ๊กตาทอง รางวัลเหรียญทองโอลิมปิก รางวัลโนเบล ก็ดับความทุกข์ใจไม่ได้ รูปเสียงกลิ่นรสชนิดต่างๆ ที่เราเสพกันก็ไม่สามารถดับความทุกข์ได้ ดับได้ก็แบบชั่วคราว ดับแบบน้ำมันไม่ใช่ดับแบบน้ำ เวลาเราจะดับไฟ ถ้าเราเทน้ำมันลงไป เวลาเทลงไปใหม่ๆ ไฟก็ทำท่าจะดับ เพราะว่าน้ำมันยังไม่ร้อน แต่พอน้ำมันได้สัมผัสกับไฟ เกิดความร้อนขึ้นมาเดี๋ยวก็ปะทุไหม้ขึ้นมา แล้วจะไหม้แรงมากกว่าตอนที่ไม่ได้เทน้ำมันลงไปในกองไฟ ความทุกข์ของพวกเราก็เหมือนกัน ความทุกข์ของพวกเรานี้เราไม่ได้ใช้ธรรมะดับกัน เรามักจะใช้น้ำมันคือสิ่งที่เราอยากได้อยากดูอยากเป็นอยากเห็นกัน สิ่งเหล่านี้พอเราทำไปแล้ว มันจะรู้สึกว่าความทุกข์หายไปใหม่ๆ เวลาได้อะไรที่เราอยากได้มาเราจะมีความสุขมีความดีใจ แต่พอหลังจากนั้นไปไม่นานสิ่งที่เราได้มามันก็จะเริ่มทำให้เรามีความทุกข์ใจขึ้นมา เพราะสิ่งที่เราได้มาเราก็จะรักจะหวงจะห่วงจะกังวล จะไม่อยากให้เขาจากเราไป จะอยากให้เขาอยู่กับเราไปเรื่อยๆ แต่ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่จะอยู่กับเราไปได้ตลอด ได้มาแล้วไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องมีการพลัดพรากจากกัน พอเวลาเกิดการพลัดพรากจากกันก็เกิดความเสียใจ เกิดความทุกข์ใจขึ้นมา ดังนั้น ถ้าเราต้องการจะดับความทุกข์ใจนี้ เราต้องดับด้วยธรรมะ ธรรมะนี้เป็นเหมือนน้ำ น้ำดับไฟ ถ้ามีน้ำมากๆ นี้สามารถดับไฟได้อย่างราบคาบ ถ้ามีน้ำไม่มากพอก็ยังอาจจะดับไม่ได้มาก อาจจะดับไม่ได้หมด จะดับได้บางส่วน แต่ถ้าเรามีน้ำพอที่จะดับไฟ ถ้าน้ำมากกว่าไฟไม่ช้าก็เร็ว ไฟก็จะต้องดับไปหมด แต่อย่าดับด้วยน้ำมัน “ดับด้วยน้ำมัน” คือดับด้วยลาภยศสรรเสริญ ดับด้วยความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย สิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนน้ำมันดับความทุกข์ใจของพวกเรา มันดับตอนที่เราเทเข้าไปในใจเราใหม่ๆ เวลาเราได้ลาภมาเราจะมีความสุขดีอกดีใจ ได้ยศได้สรรเสริญได้ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย เช่น ตอนแต่งงานกันใหม่ๆ ใช่ไหม ฮันนีมูนกันมีความสุขดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์กัน แต่พออยู่ด้วยกันไปซักระยะแล้ว เดี๋ยวก็เกิดมีความทุกข์ความกังวล เวลาไม่เห็นหน้ากันก็กังวลแล้วว่า “เอ๊ะ เป็นอะไรไปรึเปล่า” หรือเวลาเขาไปพูดไปคุยกับคนอื่นก็อาจจะกังวลว่า “เอ๊ะ เขาเบื่อเราแล้วรึยัง เขาไม่ชอบเราแล้วหรือ เขาไม่รักเราแล้วหรือ” หรือเวลาอยู่ด้วยกันเดี๋ยวมีความเห็นไม่ตรงกัน ก็มีการทะเลาะกันนะ แล้วถ้าไม่ระมัดระวัง ก็อาจจะเกิดการทำร้ายร่างกายกันได้ ตอนต้นก็จะทะเลาะกันด้วยวาจา แล้วเดี๋ยวพอแรงขึ้นก็จะใช้กำลังกัน ใช้ทำร้ายร่างกายของกันและกัน นี่คือความทุกข์ที่ตามมา เหมือนกับไฟที่เราดับด้วยน้ำมัน เทลงไปใหม่ๆ ไฟนี้เหมือนกับดับ เพราะน้ำมันตอนนั้นมันยังไม่ร้อนมันไม่ไหม้ มันยังเผาไหม้ไม่ได้ แต่พอได้รับความร้อนจากกองไฟ เดี๋ยวไม่นานไฟก็จะลุกขึ้นมา และจะแรงกว่าไฟอันเก่าเพราะว่ามีเชื้อเพลิงเพิ่มมากขึ้นหลายเท่าด้วยกัน อันนี้ก็เหมือนกัน ความทุกข์ที่พวกเราดับด้วยลาภยศสรรเสริญ ดับด้วยรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะนี้ มันดับไม่ได้นาน ดับได้เดี๋ยวเดียว แต่พอความโลภความอยากมันร้อนขึ้นมาเมื่อไหร่ ทีนี้มันก็จะสร้างความทุกข์ให้มีเพิ่มมากขึ้น มากยิ่งกว่าเดิม ดังนั้น ถ้าอยากดับความทุกข์อย่างถูกต้อง ต้องดับด้วยธรรมะ ดับด้วยคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เพราะไม่มีคำสั่งคำสอนของใครในโลกนี้ ที่จะสามารถเอามาใช้ดับความทุกข์ทางใจได้อย่างราบคาบ อย่างบริบูรณ์ ความรู้คำสั่งคำสอนของลัทธิของศาสนา บางลัทธิก็อาจจะดับความทุกข์ได้ในระดับต้นๆ คือบางศาสนาก็สอนให้ทำบุญให้รักษาศีล อันนี้ก็จะดับความทุกข์ใจได้บางส่วน แต่ไม่ทุกส่วน บางศาสนานอกจากสอนให้ทำบุญรักษาศีลก็ให้นั่งสมาธิ เช่น ให้ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าหรือสวดมนต์ เหล่านี้ก็เป็นวิธีที่จะลดความทุกข์ภายในใจให้น้อยลงได้ แต่จะไม่หมดไม่หายอย่างราบคาบ จะไม่หายอย่างไม่มีวันหวนกลับมาใหม่ มีคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะสามารถสอนให้เรากำจัดความทุกข์ต่างๆ ที่มีอยู่ภายในใจของพวกเรานี้ให้หายได้อย่างสิ้นเชิง ไม่มีวันกลับมาอีก ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บก็คือพอหายแล้วก็ไม่มีวันที่จะเป็นโรคภัยไข้เจ็บอีกต่อไป นี่คือความวิเศษของคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเรามีธรรมะให้แก่ผู้อื่นได้นี้จะมีคุณค่ามีคุณประโยชน์กว่าให้ข้าวของเงินทอง ให้ตำแหน่งให้รางวัลอะไรต่างๆ ต่อผู้ที่เขาต้องการเครื่องไม้เครื่องมือที่จะไปดับความทุกข์ให้กับเขา ให้ธรรมะนี้เป็นการให้ที่ดีที่สุด สนทนาธรรมบนเขา วันที่ ๑๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๖๒ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี ณ จุลศาลา เขตห้ามล่าสัตว์ป่าเขาชีโอน |