หัวข้อ: โคธชาดก พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดเหี้ย เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 08 เมษายน 2563 19:26:07 (https://trang82.files.wordpress.com/2010/09/post-15-1091665080.jpg) • โคธชาดก กินฺเต ชฏาหิ ทุมฺเมธาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต เอกํ กุหกภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิ ฯ พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุหลอกลวงรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า กินฺเต ชฏาหิ ทุมฺเมธ ดังนี้ ฯ เรื่องปัจจุบัน เช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วในหนหลังทั้งนั้นแล. อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์ถือปฏิสนธิในกำเนิดเหี้ย ครั้งนั้น มีดาบสท่านหนึ่งได้อภิญญา ๕ มีตบะกล้า อาศัยปัจจันตคามตำบลหนึ่ง อยู่ ณ บรรณศาลาชายป่า พวกชาวบ้านพากันบำรุงพระดาบสด้วยความเคารพ พระโพธิสัตว์ก็ได้อยู่ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง ณ ที่สุดที่จงกรมของท่าน ก็แลเมื่ออยู่นั้น ได้ไปหาพระดาบสวันละสามครั้งทุกๆ วัน ได้ฟังคำที่ประกอบด้วยอรรถธรรมแล้ว นบพระดาบสไปสู่ที่อยู่ของตน ต่อมา พระดาบสนั้นอำลาชาวบ้านหลีกไป ครั้นท่านผู้สมบูรณ์ด้วยศีลและวัตรนั้นหลีกไปแล้ว มีดาบสโกงอื่นมาพำนักอยู่ในอาศรมบทนั้น พระโพธิสัตว์กำหนดว่า แม้ท่านผู้นี้ก็มีศีล จึงได้ไปสู่สำนักของเขาโดยนัยก่อนนั่นแล อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเมฆมิใช่กาลหลั่งฝนลงมาในฤดูแล้ง ฝูงแมลงเม่าพากันออกจากจอมปลวกทั้งหลาย ฝูงเหี้ยก็พากันท่องที่ยวเพื่อหากินแมลงเม่านั้น พวกชาวบ้านพากันออกจับเหี้ยที่กินแมลงเม่าได้เป็นอันมาก แล้วจัดทำเป็นเนื้อส้ม ปรุงด้วยเครื่องปรุงอันอร่อย ถวายพระดาบส ดาบสฉันเนื้อส้มแล้วติดใจในรส จึงถามว่า เนื้อนี้อร่อยยิ่งนัก เขาเรียกว่าเนื้ออะไร ครั้นได้ยินบอกว่าเนื้อเหี้ย ก็ดำริว่า เหี้ยตัวใหญ่มาในสำนักของเรา จักฆ่ามันกินเนื้อเสีย แล้วให้คนขนภาชนะสำหรับต้มแกงและวัตถุมีเนยใสและเกลือเป็นต้น วางไว้ข้างหนึ่ง ถือไม้ค้อนซ่อนไว้ด้วยผ้าห่ม คอยการมาของพระโพธิสัตว์อยู่ที่ประตูบรรณศาลา นั่งวางท่าทำเป็นเหมือนสงบเสงี่ยม เวลาเย็น พระโพธิสัตว์คิดว่า เราจักไปหาดาบสแล้วออกเดิน ขณะที่กำลังเข้าไปใกล้นั่นเอง ได้เห็นข้อผิดแห่งอินทรีย์ของเขา จึงคิดว่า ดาบสนี้มิได้นั่งด้วยท่าทางที่เคยนั่งในวันอื่นๆ แม้จะมองดูเราในวันนี้เล่า ก็ชำเลืองเป็นที่เคลือบแฝง ต้องคอยจับตาดูให้ได้ แล้วไปยืนทางใต้ลมดาบสได้กลิ่นเนื้อเหี้ย จึงคิดว่า วันนี้ ดาบสโกงนี้คงฉันเนื้อเหี้ย จึงติดใจในรสแล้ว คราวนี้มุ่งจะตีเราผู้เข้าไปหาตนด้วยไม้ค้อน แล้วเอาเนื้อไปต้มแกงกินเป็นแน่ ก็ไม่ยอมเข้าไปใกล้เขา ถอยกลับวิ่งไป ดาบสทราบความที่พระโพธิสัตว์ไม่มา ก็คิดว่า เหี้ยนี้คงจักรู้ว่าเรามุ่งจะฆ่ามัน เหตุนั้นจึงไม่เข้ามา ถึงมันจะไม่มา ก็จะพ้นมือที่ไหน แล้วเอาไม้ค้อนออกขว้างไป ไม้ค้อนนั้นกระทบเพียงปลายหางของพระโพธิสัตว์เท่านั้น พระโพธิสัตว์เข้าจอมปลวกไปโดยเร็ว โผล่ศีรษะออกมาทางช่องอื่น กล่าวว่า เฮ้ย ไอ้ชีโกง เมื่อเข้าไปหาเจ้า ก็เข้าไปหาด้วยสำคัญว่าเป็นผู้มีศีล แต่คราวนี้ความโกงของเจ้า ข้ารู้เสียแล้ว มหาโจรอย่างเจ้า บวชทำไมกัน เมื่อจะติเตียนเขากล่าวคาถานี้ว่า
แปลว่า เหวยชีปัญญาทราม เจ้ามุ่นชฎาทำไม นุ่งหนังสือทำไม ข้างในของเจ้ารุงรัง มัวแต่ขัดแต่ข้างนอก มีอรรถาธิบายว่า เฮ้ย ชีปัญญาทรามไร้ความรู้ดีรู้ชอบ การมุ่นชฎานี้ผู้ทรงคุณถือความเว้นจากเบียดเบียน จึงควรธำรงไว้ เจ้าปราศจากคุณคือความเว้นจากความเบียดเบียนเสียแล้ว จะมุ่นชฎานั้นไว้ทำไมเล่า จำเดิมแต่กาละที่เจ้าไม่มีสังวรคุณอันควรกัน เจ้านุ่งหนังสือทำไมเล่า ข้างในคือหัวใจของเจ้า รุงรัง เป็นซุ้มเซิง ด้วยเครื่องรุงรังคือราคะ โทสะ โมหะ เจ้านั้นทั้งๆ ที่ข้างในยังรุงรัง ยังมัวแต่ขัดข้างนอกเจ้าก็เป็นเหมือนกะโหลกน้ำเต้าที่เต็มด้วยรัง เป็นเหมือนตุ่มเต็มด้วยยาพิษ เป็นเหมือนจอมปลวกที่เต็มด้วยอสรพิษ และเป็นเหมือนหม้อที่วิจิตรเต็มด้วยคูถ ซึ่งเกลี้ยงเกลาแต่ข้างนอกเท่านั้น เจ้าโจร จะอยู่ที่นี่ทำไม รีบหนีไปเสียโดยเร็วเถิด ถ้าเจ้าไม่หนีไป เราจะบอกชาวบ้านให้ทำการขับไล่ข่มขี่เจ้า ฯ พระโพธิสัตว์ตะคอกขู่ดาบสโกงอย่างนี้แล้ว ก็เข้าสู่จอมปลวกไป แม้ดาบสโกงเล่าก็หลบไปจากที่นั้น ฯ พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสโกงในครั้งนั้น ได้มาเป็นภิกษุหลอกลวงนี้ ดาบสผู้มีศีลองค์ก่อนได้มาเป็น พระสารีบุตร ส่วนโคธบัณฑิตได้มาเป็น เราแล ฯ จบ โคธชาดก |