[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => นิทาน - ชาดก => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 04 พฤษภาคม 2563 19:20:46



หัวข้อ: นังคุฏฐชาดก • อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕ พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 พฤษภาคม 2563 19:20:46
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/33260796550247__3585_2.gif)

• อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕
๔ นังคุฏฐชาดก

พหุมฺเปตํ อสพฺภิ ชาตเวทาติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต อาชีวกานํ มิจฺฉาตปํ อารพฺภ กเถสิ ฯ

พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภตบะที่ผิดของพวกอาชีวก  ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า พหุมฺเปตํ  อสพฺภิ  ชาตเวท ดังนี้ ฯ

เรื่องพิสดารมีว่า ครั้งนั้น พวกอาชีวกพากันประพฤติตบะผิดมีประการต่างๆ ที่หลังพระวิหารเชตวัน  ภิกษุมากด้วยกันเห็นตบะผิด อาทิเช่น อุกกุฏิกัปปธานะ (ตั้งหน้าในการนั่งกระโหย่ง) วัคคุลิวัตร์ (ทำอย่างค้างคาว) กัณฏกาปัสสยะ (นอนบนหนาม) ปัญจตปนะ (ย่างด้วยไฟห้ากอง) ของพวกนั้น พากันกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุศลหรือความเจริญ อาศัยตบะผิดทั้งนี้ จะมีได้หรือพระเจ้าข้า  พระศาสดาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลหรือความเจริญ อาศัยตบะผิดอย่างนี้ มีไม่ได้ ในครั้งก่อนบัณฑิตสำคัญเสียว่าอาศัยตบะอย่างนี้ กุศลหรือความเจริญคงมีได้ ถือเอาไฟประจำกำเนิดเข้าป่า ไม่พบความเจริญอะไรเลย ด้วยอำนาจการบูชาไฟเป็นต้น จึงเอาน้ำดับไฟเสีย บำเพ็ญกสิณบริกรรม ให้อภิญญาสมาบัติบังเกิดแล้ว ได้ไปพรหมโลกต่อไป แล้วทรงนำเรื่องราวในอดีตนิทานมา ดังต่อไปนี้

อตีเต พาราณสิยํ  พฺรหฺมทตฺเต  รชฺชํ  กาเรนฺเต ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในสกุลอุทิจจพราหมณ์ ในวันที่ท่านเกิด บิดามารดาก็จุดไฟประจำกำเนิดตั้งไว้ให้ ครั้นท่านมีอายุได้ ๑๖ ปี บิดามารดาบอกท่านว่า ลูกเอ๋ย ในวันที่เจ้าเกิดเราจุดไฟไว้ให้ ถ้าเจ้าประสงค์จะครองเรือน จงเรียนพระเวททั้งสาม หรือมิฉะนั้น จะประสงค์ไปพรหมโลก ก็จงถือไฟเข้าป่าบำเรอไฟ ทำให้ท้าวมหาพรหมโปรดปรานแล้ว ก็เป็นผู้ไปพรหมโลกภายหน้าได้  ท่านกล่าวว่า ฉันไม่ต้องการอยู่ครองเรือน ถือไฟเข้าป่า สร้างอาศรมบท บำเรอไฟอยู่ในป่า วันหนึ่งได้รับของถวาย คือโคในหมู่บ้านชายแดน จึงจูงโคนั้นไปสู่อาศรมบท คิดว่า เราจักให้ไฟผู้มีโชคฉันเนื้อโค ครั้นแล้วมีปริวิตกว่า ในที่นี่เกลือไม่มี ไฟผู้มีโชคคงไม่อาจฉันเนื้อที่ไม่เค็ม เราจักไปหาเกลือมาจากบ้าน ให้ไฟผู้มีโชคฉันเนื้อมีรสเค็มจงได้ ท่านผูกโคไว้ในที่ตรงนั้นเอง ได้ไปหมู่บ้านเพื่อหาเกลือ ขณะที่ท่านไป มีพรานหลายคนมาถึงที่นั้น เห็นโคแล้วฆ่าย่างเนื้อกินเสีย ทิ้งหาง แข้ง และหนังไว้ตรงนั้น เนื้อที่เหลือเล่าก็พากันขนไปเสียด้วย พราหมณ์มาแล้วเห็นโคเหลือแต่หนังเป็นต้น คิดว่าไฟผู้มีโชคนี้ แม้แต่ของของตนยังไม่อาจรักษาไว้ได้ จักรักษาเราได้ที่ไหนเล่า การบำเรอไฟนี้น่าจะไร้ประโยชน์ กุศลหรือความเจริญมีการบูชาไฟนี้เป็นเหตุคงไม่มี ท่านเลยหมดความพอใจในการบำเรอไฟ กล่าวว่า ไฟพ่อเฮ้ย แม้แต่ของของตน เจ้ายังไม่สามารถรักษาไว้ได้ ที่ไหนจักรักษาเราได้เล่า เนื้อไม่มี จงยินดีเพียงเท่านี้เถิดนะ เมื่อจะโยนหางเป็นต้นเข้ากองไฟ กล่าวคาถานี้ว่า
พหุมฺเปตํ อสพฺภิ ชาตเวท          ยนฺตํ วาลธินาพิปูชยาม
มํสารหสฺส นตฺถชฺช มํสํ                 นงฺคุฏฐมฺปิ ภวํ ปฏิคฺคหาตุ
 
แปลว่า ไฟมิใช่ผู้ดี ที่ข้าบูชาเจ้าด้วยหาง แม้เท่านี้ ก็มากไปละ วันนี้เนื้อของเจ้าผู้ควรกินเนื้อไม่มี เจ้าผู้เจริญจงรับเอาแต่เพียงหางเถิดนะฯ
มีอรรถาธิบายว่า ไฟผู้เพียงเกิดก็เป็นที่รู้กันคือปรากฏได้ เจ้ามิใช่สัตบุรุษ มิใช่ชาติดี ที่ข้าบูชาเจ้าผู้มีโชค ซึ่งไม่สามารถจะรักษาแม้ของของตนไว้ได้ ในวันนี้ด้วยหาง เพียงนี้ก็ยังมากไปละสำหรับเจ้า วันนี้เนื้อของเจ้าไม่มี เมื่อไม่สามารถจะรักษาของของตนไว้ได้ เชิญเจ้าผู้เจริญ รับแต่เพียงหางพร้อมทั้งแข้งและหนังเถิดนะ

ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พระมหาสัตว์ก็เอาน้ำดับไฟเสีย บวชเป็นฤๅษี ทำให้อภิญญาและสมาบัติบังเกิด ได้ไปพรหมโลกต่อไป

พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า ดาบสผู้ดับไฟเสียในครั้งนั้น ได้มาเป็นเราแล