หัวข้อ: ท่านอนาคาริกธรรมปาละ : ผู้ทวงคืนพุทธคยากลับคืนสู่ชาวพุทธทั้งโลก เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 12 พฤษภาคม 2563 14:21:38 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/23112030617064_95290857_2517272611858562_4213.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/80066854672299_95215853_2517272685191888_6635.jpg) (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/45238427321116_95121042_2517272658525224_8532.jpg) ท่านอนาคาริกธรรมปาละ ผู้ทวงคืนพุทธคยากลับคืนสู่ชาวพุทธทั้งโลก พระสาวกผู้ปฎิบัติดีปฏิบัติชอบ สมควรแก่ธรรมใช่จะมีแต่ในกาลก่อน แม้ยุคใหม่สมัยนี้ พระสาวก สาวก สาวิกา ผู้มีคุณานุคัณต่อพระศาสนาก็มีปรากฏในที่ต่างๆ ทั่วทุกมุมโลก วันนี้ขอนำเสนอประวัติของบุคคลสำคัญที่มีส่วนช่วยฟื้นฟูพระศาสนาให้กลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้ง คือ "ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ" ประวัติ ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๐๗ ที่เมืองโคลัมโบ ประเทศศรีลังกา เดิมมีชื่อว่า “ดอน เดวิด เววาวิตารเน" (Don Devid Vewavitarne) ท่านได้เข้าร่วมสมาคมพื้นฟูการทำงานทางพระพุทธศาสนามาโดยตลอดจนถึงระดับอุดมศึกษา ในปี พ.ศ.๒๔๒๘ ท่านสนใจหนังสือชื่อ “ประทีปแห่งเอเชีย” ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนผันในวิถีชีวิตของท่าน และในปี พ.ศ.๒๔๓๔ ท่านได้เดินทางไปประเทศอินเดียเป็นครั้งแรก ไปนมัสการพุทธคยาและสารนาท ต่อมาได้ก่อตั้งสมาคมมหาโพธิที่อินเดีย และเริ่มจัดทำวารสารมหาโพธิ จากกัลกัตตา ซึ่งสมาคมมหาโพธิได้มีส่วนที่สำคัญในการก่อตั้งสภาทางศาสนาที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ปี พ.ศ.๒๔๔๔ ท่านได้ไปนมัสการสารนาทและจัดซื้อที่ดินที่สารนาท ต่อมาได้ก่อตั้งสารนาทเป็นศูนย์การศึกษาพระพุทธศาสนา ในปี พ.ศ.๒๔๖๐ ได้ได้สถาปนาพุทธธรรมเพื่อสันติภาพและความมั่นคง เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๓ ปี พ.ศ.๒๔๗๐ ท่านได้ก่อตั้งมูลคันธกุฎีวิหารและเริ่มก่อสร้างมูลคันธกุฎีวิหาร และแล้วเสร็จใน ปี พ.ศ.๒๔๗๔ ปี พ.ศ.๒๔๗๖ ท่านได้ป่วยหนักด้วยโรคหัวใจล้มเหลว และสิ้นชีวิตลง เมื่อวันเสาร์ที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๔๗๖ เวลา ๑๕.๐๐น. รวมอายุได้ ๖๘ ปี ๗ เดือน ๑๒ วัน งานเผยแผ่พระพุทธศาสนา ท่านอนาคาริกะ ธรรมปาละ เป็นชาวศรีลังกา และเป็นชาวพุทธที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนาอย่างมากมาย ก่อนบวชท่านได้ฟังสถานการณ์พุทธสถานจาก เซอร์เอ็ดวิน อาร์โนลด์ แล้ว ท่านได้ตัดสินใจบวชเป็นนักบวช (ยังไม่บวชเป็นพระ) เดินทางมาอินเดีย ท่านพัฒนาป่าอิสิปตนะมฤคทายวันให้เป็นพุทธสถาน ซึ่งเดิมมีการสร้างพระวิหารอยู่แล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ต่อมารัฐบาลของอินเดียได้จัดสรรที่ดินให้ท่าน ๒๐ เอเคอร์ (ประมาณ ๕๐ ไร่) และท่านก็ได้พัฒนาให้เป็นสวนที่มีคุณค่าพร้อมกับการก่อสร้างวิหารเริ่มขึ้นใหม่ ท่านได้กลับไปศรีลังกา และอีก ๓ ปีต่อมาท่านก็ได้กลับมายังป่าอิสิปตนะมฤคทายวัน อีก และเริ่มงานของสมาคมมหาโพธิ์ ณ ที่นั้นอีกครั้งหนึ่ง ท่านได้พาสามเณรจำนวน ๑๐ รูปจากศรีลังกามาด้วย หลังจากท่านท่านได้สละชีวิตทางโลกออกมาเป็นคนไม่มีบ้าน (อนาคาริก) เป็นเวลานาน และได้บวชสามเณร ในวันที่ ๑๓ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๗๔ โดยท่านพระโพธิรุกขมูเล เรวตะ เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า เทวมิตตะ ธัมมปาละ ได้เข้ารับการอุปสมบท ในวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๖ การมุ่งมั่นทำงานเพื่อพระพุทธศาสนาและมนุษยชาติ จากประวัติจะเห็นได้ว่า ท่านอนาคาริก ธรรมปาละ เป็นผู้ที่เริ่มต้นที่สำคัญในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนายุคใหม่ และท่านได้พยามยามทำงานเพื่อนำพระพุทธศาสนามาสู่อินเดียจนสำเร็จ รวมตลอดถึงเป็นผู้ร่วมเรียกร้องให้พุทธคยาได้กลับมาอยู่ในความดูแลของชาวพุทธจนเป็นเป็นผลสำเร็จ (เดิมชาวฮินดูนิกายมหันต์ดูแลอยู่) นอกจากนั้น รัฐบาลอินเดีย ยังได้นำสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ได้แก่ หัวสิงห์สี่หัวของพระเจ้าอโศกกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำชาติของอินเดีย ธรรมจักรที่ฐานก็ปรากฎอยู่ในธงชาติของอินเดียอีกด้วย ตลอดชีวิตของท่านได้อุทิศชีวิตเพื่อพระพุทธศาสนา โดยทั้งการเผยแผ่ การก่อตั้งสถาบันทางพุทธศาสนา สถาบันการศึกษาพระพุทธศาสนา เป็นต้น นอกจากนี้ท่านธรรมปาละ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสูง ต่อการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาในอินเดีย ประโยชน์ที่ท่านฝากไว้ในพระพุทธศาสนา พอสรุปได้ดังนี้ - เป็นผู้จุดประกายการศึกษาพระพุทธศาสนาในอินเดีย ทำให้ชาวอินเดียซึ่งแทบจะลืมเลือนพระพุทธศาสนาจนหมดสิ้นแล้ว หันกลับมาแนวทางแห่งอริยมรรคแห่งพระพุทธองค์อีกครั้ง - ท่านได้สร้างอนุสรณ์สถาน ปูชนียสถานเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาไว้มากมาย ตามสถานที่ต่างๆ ที่เป็นที่ระลึกถึงพระพุทธองค์ เช่น วัดมูลคันธกุฎวิหาร ใกล้ๆ กับสถานที่แสดงปฐมเทศนา ที่สารนาถ - ท่านได้เป็นผู้จุดประกายริเริ่มให้ชาวพุทธและชาวอินเดีย หันมาเอาใจใส่และฟื้นฟูพุทธสถานที่สำคัญของพระพุทธองค์ โดยเฉพาะพุทธคยา แม้ในสมัยของท่านอาจจะยังไม่ทำให้พุทธคยาคืนสู่กรรมสิทธิ์ของชาวพุทธและอยู่ในการดูแลคุ้มครองของชาวพุทธได้ แต่ต่อมาการกระทำของท่านก็เป็นกระแสผลักดันสังคมชาวอินเดียหลายฝ่าย นักปราชญ์หลายท่านก็ได้แสดงความเห็นควรว่าพุทธคยาเป็นสิทธิ์ของชาวพุทธอย่างแน่นอน ต่อมาในเดือนเมษายน ปี ๒๔๙๙ รัฐบาลแห่งรัฐพิหาร ได้ผ่านพระราชบัญญัติวิหารพุทธคยา ซึ่งให้ส่วนหนึ่งอยู่ในการดูแลของชาวพุทธ โดยมีกรรมการชาวพุทธ ๔ ท่าน ชาวฮินดู ๔ ท่าน โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดคยาเป็นประธานจนถึงทุกวันนี้ ขอขอบคุณแหล่งที่มาภาพ/ข้อมูล - เพจพระพุทธศาสนา |