หัวข้อ: หลวงปู่จันดา ถาวโร วัดสว่างคำเหมือดแก้ว อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 30 มิถุนายน 2563 13:53:36 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/19412732248504_view_resizing_images_320x200_.jpg) หลวงปู่จันดา ถาวโร วัดสว่างคำเหมือดแก้ว อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ พระครูถาวรคุณ หรือ หลวงปู่จันดา ถาวโร อดีตเจ้าอาวาสวัดสว่างคำเหมือดแก้ว อ.ห้วยเม็ก จ.กาฬสินธุ์ พระเกจิอาจารย์ ชื่อดังรูปหนึ่งแห่งภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีนามเดิม จันดา บุญหล้า เกิดเมื่อ วันศุกร์ที่ 13 มิ.ย.2450 ที่บ้านมะกอก ต.ท่าขอนยาง อ.เมือง จ.มหาสารคาม บิดา-มารดา ชื่อ นายสายและนางแต บุญหล้า มีพี่น้องร่วมสายโลหิตเดียวกัน 9 คน พ.ศ.2457 บิดามารดาอพยพมาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่บ้านคำเหมือดแก้ว ในวัยเด็กไม่ได้เรียนหนังสือ เพราะว่าในสมัยนั้น บ้านคำเหมือดแก้วยังไม่มีโรงเรียน อุปนิสัยเป็นผู้ใฝ่การเรียน เมื่ออายุ 12 ปีพ่อแม่จึงนำไปฝากให้เป็นเด็กวัดเพื่อศึกษาเล่าเรียนอ่านเขียนภาษาไทย ภาษาขอม พ.ศ.2467 บรรพชาที่วัดกลาง อ.เมือง จ.กาฬสินธุ์ เมื่ออายุ 17 ปี และกลับมาจำพรรษาที่วัดสว่างคำเหมือดแก้ว วันที่ 6 มิ.ย.2471 เข้าพิธีอุปสมบท ที่วัดกลางดงบัง อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ พ.ศ.2477 ย้ายสำนักไปอยู่ที่วัดวรโพธิ์ ต.ท่าวาสุกรี อ.กรุงเก่า จ.พระนครศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระปริยัติธรรม สามารถสอบได้นักธรรมชั้นตรี และศึกษาบาลีเบื้องต้น พ.ศ.2478 ย้ายสำนักไปอยู่ที่วัดสว่าง ต.บ้านโพธิ์ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ที่วัดแห่งนี้ ศึกษาพระปริยัติธรรมและการปฏิบัติควบคู่กันไป มีโอกาสสนทนาธรรมกับพระธุดงค์รูปหนึ่ง เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงหันมาเอาดีทางปฏิบัติธรรม ครั้นออกพรรษา ตัดสินใจออกเดินธุดงค์ไปด้วย จนถึงจังหวัดสุโขทัยแล้วอยู่จำพรรษาปฏิบัติธรรมกัมมัฏฐานอยู่กับพระอาจารย์เป็นเวลา 2 ปี ส่วนมากจะอยู่ตามป่าเขา ตามถ้ำตามริมห้วยหนองคลองบึง ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ก็เริ่มปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างจริงจัง ท่านออกเดินธุดงค์ทั่วภาคเหนือ จนล่วงเข้าเขตพม่า ถือธุดงค์อยู่ป่าเป็นวัตร ฉันอาหารมื้อเดียว เป็นเวลานานถึง 12 ปี เมื่อทราบข่าวว่าทางบ้านเกิดทุกขภัย คือ เกิดโรคฝีดาษ (ไข้ทรพิษ) มีคนล้มตายเป็นจำนวนมาก และขณะนั้นบ้านเมือง เกิดสงครามมหาอินโดจีน จึงตัดสินใจกลับบ้านคำเหมือดแก้ว พัฒนาวัด ก่อสร้างถาวรวัตถุ นำพาญาติโยมสร้างกุฏิ 3 หลัง หลังแรกได้ชำรุดและรื้อแล้ว หลังที่ 2 เป็นกุฏิไม้ทรงปั้นหยา ปัจจุบัน รื้อด้านทิศตะวันตก เหลือแต่ด้านทิศตะวันออก หลังที่ 3 เป็นกุฏิสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ปัจจุบันเป็นที่อยู่ ของเจ้าอาวาสสร้างอุโบสถ 1 หลัง สิ้นค่าก่อสร้าง ประมาณ 2,500,000 บาท ต่อมานำพาญาติโยมสร้างศาลาการเปรียญ 2 หลัง หลังแรกสร้างด้วยไม้ขนาด กว้าง 20 เมตร เนื่องจากเกิดวาตภัย ลมพัดเสียหาย ทั้งหลังปัจจุบันได้รื้อแล้ว หลังที่ 2 เป็นศาลาการเปรียญสร้าง ด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ขนาด กว้าง 30 เมตร ยาม 40 เมตรทรงไทย สร้างกำแพงด้านทิศตะวันตก สร้างหอระฆัง ห้องน้ำ ห้องส้วม และสาธารณูปโภคอื่นๆ อีกมากมาย ช่วงบั้นปลายชีวิต อาการอาพาธหนักขึ้น จวบจนถึงวันที่ 6 พ.ย.2537 เวลา 18.55 น. ละสังขารด้วยอาการสงบ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจ สิริอายุ 87 ปี พรรษา 67 ข่าวสดออนไลน์ |