หัวข้อ: ปุปผรัตตชาดก • อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอากาสัฏฐเทวดา เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 กรกฎาคม 2563 18:21:45 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/98471472784876_hqdefault_1_Copy_.jpg) ขอขอบคุณ youtube.com (ที่มาภาพ) • อรรถกถากัณฏกวรรค ที่ ๑๕ ๗ ปุปผรัตตชาดก นยิทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขนฺติ อิทํ สตฺถา เชตวเน วิหรนฺโต เอกํ อุกฺกณฺฐิตภิกฺขุํ อารพฺภ กเถสิ ฯ พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภภิกษุผู้กระสันรูปหนึ่ง ตรัสเรื่องนี้ มีคำเริ่มต้นว่า นยิทํ ทุกฺขํ อทุํ ทุกฺขํ ดังนี้ ฯ มีเรื่องย่อๆ ว่า ภิกษุนั้น พระศาสดาตรัสถามว่า ดูกรภิกษุได้ยินว่าเธอกระสันจริงหรือ กราบทูลว่า จริงพระเจ้าข้า ตรัสถามว่า กระสันเพราะอะไร กราบทูลว่า เพราะภรรยาเก่า พระเจ้าข้า แล้วทูลต่อไปว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญิงนั้นมีรสมืออร่อย ข้าพระองค์ไม่อาจจะอยู่แยกกันได้ พระเจ้าข้า ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสกะเธอว่า ดูกรภิกษุ หญิงนี้เป็นผู้ทำอนัตถะให้แก่เธอ แม้ในปางก่อนเธอก็อาศัยนางต้องถูกเสียบบนหลาว คร่ำครวญถึงแต่นางเท่านั้น ครั้นตายแล้วไปเกิดในนรก บัดนี้เหตุไร เธอยังปรารถนานางอีกเล่า ทรงนำอดีตนิทานมาต่อไปดังนี้ อตีเต พาราณสิยํ พฺรหฺมทตฺเต รชฺชํ กาเรนฺเต ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติ ณ พระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นอากาสัฏฐเทวดา ครั้งนั้นในพระนครพาราณสีมีมหรสพในกลางคืน วันกลางเดือนกัตติกา (เดือน ๑๒) ฝูงคนพากันตกแต่งพระนคร ประหนึ่งเมืองเทวดา คนทั้งปวงจดจ่อแต่จะเล่นการมหรสพ แต่มีคนเข็ญใจผู้หนึ่ง มีผ้าเนื้อแน่นอยู่คู่เดียวเท่านั้น เขาเอามาซักให้สะอาด ฟาดลง เลยขาดเสียเป็นร้อยริ้วพันริ้วไป ทีนั้นภรรยาจึงพูดกะเขาว่า นายเอย ฉันอยากจะนุ่งผ้าย้อมดอกคำผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง กอดคอเธอเที่ยวตลอดงานประจำราตรีเดือนกัตติกา เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ เราเข็ญใจจะมีผ้าย้อมดอกคำได้ที่ไหน เธอจงนุ่งผ้าขาวเที่ยวเล่นเถิด นางกล่าวว่า เมื่อไม่ได้ผ้าย้อมดอกคำ ฉันจักไม่เล่นกิฬาในงานมหรสพละ เธอพาหญิงอื่นเล่นกิฬาเถิด เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ ไยจึงคาดคั้นฉันนักเล่า เราจะได้ผ้าย้อมดอกคำมาจากไหน นางกล่าวว่า เมื่อความปรารถนาของลูกผู้ชายมีอยู่ ชื่อว่าสิ่งไร ไม่มีล่ะ ดอกคำในไร่ดอกคำของพระราชามีมากมิใช่หรือ เขากล่าวว่า นางผู้เจริญ ทีนั้นมีการป้องกันแข็งแรง เช่นเดียวกับโบกขรณีที่รากษสคุ้มครองเราไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ดอก เธออย่าพอใจมันเลยน่ะ จงยินดีตามที่ได้เท่านั้นเถิด นางกล่าวว่า นายจ๋า เมื่อความมืดในราตรีกาลมีขึ้นชื่อว่าสถานที่ที่ลูกผู้ชายไปไม่ได้ไม่มีเลย เทวดาผู้เที่ยวไปในอากาศผู้หนึ่ง เห็นภัยในอนาคตของเขา ช่วยห้ามเขาไว้เสีย ครั้นนางพูดบ่อยๆ อย่างนี้ เขาก็เชื่อถือถ้อยคำด้วยอำนาจกิเลส ปลอบนางว่า หยุดเถิด นางผู้เจริญ เธออย่าเสียใจไปเลย ถึงเวลาค่ำคืนก็สละชีวิตออกจากพระนคร ไปสู่ไร่ดอกคำของหลวง เหยียบรั้วเข้าไปภายในไร่ พวกคนเฝ้าได้ยินเสียงรั้ว ต่างร้องว่า ขโมยๆ ล้อมจับได้ พากันด่า พากันซ้อม ช่วยกันมัดไว้ ครั้นสว่างแล้ว ก็พาไปแสดงแด่พระราชา พระราชารับสั่งว่า ไป เอามันไปเสียบเสียที่หลาว คนเหล่านั้นมัดเขาไพล่หลัง พาออกจากเมือง มีคนคาดกลองประกาศการฆ่าคนไปด้วย แล้วเอาเสียบที่หลาว เขาเสวยเวทนาอย่างรุนแรง ฝูงกาพากันเกาะที่ศีรษะ จิกนัยน์ตาด้วยจงอยปากคมอย่างปลายคีม เขามิได้ใส่ใจทุกข์แม้จะสาหัสเพียงนั้น ก่นแต่ระลึกถึงหญิงนั้นถ่ายเดียว กล่าวว่า อ้า! กูเอ๋ย ช่างพลาดเสียได้ จากงานประจำราตรีในเดือนกัตติกา กับนางผู้นุ่งผ้าย้อมด้วยดอกไม้นั้น ผู้มีแขนทั้งคู่กอดรอบคอ กล่าวคาถานี้ว่า
แปลว่า ที่เราถูกหลาวเสียบนี้ ก็ไม่เป็นทุกข์ ที่ถูกกาจิกเล่า ก็ไม่ทุกข์ โน้นสิเป็นทุกข์ ที่นางผิวทองจักไม่ได้นุ่งผ้าย้อมดอกคำ สู่งานประจำเดือนกัตติกาฯ มีอรรถาธิบายว่า ทุกข์กายทุกข์ใจ มีการถูกเสียบที่หลาวเป็นปัจจัยนี้ก็ดี ทุกข์ที่ถูกกาจิกด้วยจงอยปากปานว่าทำด้วยโลหะก็ดี แม้หมดนี้ ก็หาใช่ความทุกข์ของข้าไม่ โน่นซีเป็นทุกข์ นั่นอย่างเดียวแหละเป็นทุกข์ของข้าละ ไหนล่ะ ก็ที่ภรรรยาของข้า แม่ประยงค์ทองนั้น จักมิได้นุ่งผ้าย้อมดอกคำผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง นุ่งห่มผ้าคู่ผ้าย้อมดอกไม้เนื้อละเอียดสำรับหนึ่งแล้ว กอดคอข้าเที่ยวงานประจำคืนเดือนกัตติกานี้สิเป็นทุกข์ของข้า นี้เท่านั้นแหละเบียดเบียนข้านักฯ เขาพร่ำเพ้อปรารภถึงมาตุคามนั้นอย่างนี้เท่านั้น จนตายไปเกิดในนรกฯ พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดกว่า คู่สามีภรรยาในครั้งนั้น ได้มาเป็นคู่สามีภรรยาในครั้งนี้ ส่วนอากาสัฏฐเทวดา ผู้กระทำเหตุนั้นให้ประจักษ์ ได้มาเป็นเราแล ฯ จบ ปุปผรัตตชาดก |