[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ชาดก พระเจ้า 500 ชาติ => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 25 มีนาคม 2564 20:21:18



หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ เรื่องที่ ๔๙ สุตนชาดก : ชายยากจนพิทักษ์ยักษ์
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 25 มีนาคม 2564 20:21:18

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13576513404647__500_320x200_.jpg)

พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๔๙ สุตนชาดก
ชายยากจนพิทักษ์ยักษ์

          พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลคหบดีที่ตกยาก ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อท่านว่า สุตนะ เมื่อโตเป็นหนุ่มได้เลี้ยงบิดามารดา ต่อมาไม่นานบิดาก็เสียชีวิตจึงเหลือแต่มารดา
          เจ้าเมืองพาราณสี พระองค์ทรงมีพระทัยฝักใฝ่ในการล่าสัตว์ วันหนึ่งได้เสด็จประพาสป่าไปล่าสัตว์พร้อมทั้งข้าทาสบริวารทั้งหลายตามไปด้วย พอเดินทางไปไกลประมาณ ๑ โยชน์ จึงตรัสสั่งกับทุกคนว่าใครปล่อยให้เนื้อหนีออกไปได้ ผู้นั้นจะถูกปรับสินไหม
          อำมาตย์ต่างพากันทำซุ้มดักเนื้อเพื่อไม่ให้หนีไปได้ แต่เนื่องจากทนการขับไล่ด้วยก้อนหินและไม้ไม่ไหว จึงวิ่งไปทางที่พระราชาประทับอยู่
          พระราชามองเห็นเนื้อกำลังวิ่งมา หมายจะยิงให้ได้จึงได้ทรงยิงลูกศรไปที่เนื้อ เนื้อนั้นหลบลูกศรทัน เนื่องจากได้ศึกษาวิชามารมาอย่างดี แล้วแกล้งล้มลงทำเหมือนว่าถูกยิง
          พระราชาจึงวิ่งเข้าไปจะจับเนื้อ เพราะเข้าพระทัยว่าเนื้อที่ล้มลงไปนั้นถูกยิงตายแล้ว แต่เนื้อลุกวิ่งหนีเข้าป่าไป อำมาตย์ต่างพากันหัวเราะชอบใจ
          แต่พระราชายังไม่วางพระทัย ไล่ตามเนื้อไปอีกจนกระทั่งทันตอนที่เนื้อล้าแล้ว จึงใช้พระขรรค์ฟันออกเป็น ๒ ท่อน คล้องใส่ไม้ทำเหมือนคานหามเสด็จ ระหว่างทางเสด็จกลับทางแวะพักใต้ต้นไทรใกล้ทางเดิน เผลอหลับไป
          ยักษ์มรรคเทพอาศัยอยู่ใต้ต้นไทรนั้น ได้สิทธิที่จะกินคนหรือสัตว์ที่เข้าไปบริเวณต้นไทรนั้น จากสำนักท้าวเวสสุวรรณ พระราชาตื่นขึ้นกำลังจะเสด็จออกจากบริเวณนั้น ยักษ์ตนนั้นได้จับพระหัตถ์ไว้แล้วขู่ว่า “หยุดก่อน! ตอนนี้เท่านตกเป็นอาหารของเราแล้ว”
          พระราชาตรัสถามว่า”แล้วเจ้าเป็นใครกัน”
          “เราเป็นยักษ์ที่เกิดในต้นไม้นี้ และได้สิทธิที่จะกินคนหรือสัตว์ที่เข้ามายังบริเวณต้นไม้นี้” ยักษ์ตอบ
          พอพระราชาตั้งสติได้ ก็ตรัสถามว่า “เจ้าอยากได้เนื้อกินเป็นประจำหรือจะกินเฉพาะวันนี้”
          ยักษ์จึงตอบว่า “อยากกินเป็นประจำ”
          ถ้าท่านปล่อยเราในวันนี้ พรุ่งนี้เราจะส่งคนพร้อมกับอาหารมาให้ท่านกิน
          ยักษ์ขู่พระราชาต่อว่า “พรุ่งนี้ถ้าท่านไม่ส่งคนพร้อมกับอาหารมาให้ข้า ข้าจะกินตัวท่านเอง”
          “เราเป็นเจ้าเมืองพาราณสี ตรัสสิ่งใดแล้วย่อมเป็นสิ่งนั้น”
          ยักษ์รับคำแล้วปล่อยพระราชาไป
          พระราชาเสด็จกลับพระนคร เล่าเรื่องให้อำมาตย์ฟังแล้วตรัสถามว่า “ควรจะทำอย่างไร”
          “พระองค์ทรงได้กำหนดวันหรือไม่” อำมาตย์ทูลถาม
          “ไม่ได้กำหนด”
          “นักโทษในเรือนจำมีอยู่มาก พระองค์ทรงอย่ากังวลไปเลย”
          “ถ้าอย่างนั้น เจ้าจงจัดการเรื่องนี้แทนข้าด้วย”
          อำมาตย์รับเกล้าแล้วทำการเบิกคนในเรือนจำนำเข้าไปให้ยักษ์กินทุกวันโดยไม่ให้รู้อะไรเลย
          ต่อมาคนในเรือนจำหมด ไม่เหลือนักโทษสักคนให้ยักษ์กิน
          พระราชาเริ่มรู้สึกหวาดกลัวความตาย เมื่อไม่มีคนและอาหารไปให้ยักษ์
          อำมาตย์ทรงปลอบพระทัยแล้วกราบทูลว่า “คนที่มีความหวังในทรัพย์มากกว่าชีวิตของตนเองยังมีอยู่เยอะพระองค์ ข้าพเจ้าจะวางห่อเงินพันกหาปณะไว้บนคอช้างเที่ยวประกาศ คนที่อยากได้ทรัพย์นี้ให้นำอาหารไปให้ยักษ์”
          เมื่อสุตนะผู้ยากจนได้ยินเข้า ก็คิดว่าเงินที่เราได้มาจากค่าจ้าง ๑ มาสกบ้าง ครึ่งสกบ้าง ไม่พอเลี้ยงมารดา จึงคิดจะเอาทรัพย์นี้มาให้มารดา แล้วไปยังที่อยู่ของยักษ์ ถ้าทรมานยักษ์ได้ก็จะเป็นกุศล และมารดาก็จะได้อยู่อย่างสบาย จึงตกลงตามนั้น พอมารดาทราบเรื่องก็กล่าวห้ามถึง ๒ ครั้ง แล้วบอกกับลูกว่า “แม่ไม่ต้องการทรัพย์หรอก”
          พอครั้งที่ ๓ สุตนะตัดสินใจไปโดยไม่บอกมารดาเลย ให้อำมาตย์นำเงินจำนวน ๑ พันกหาปณะมา ข้าพเจ้าจะนำอาหารไปให้ยักษ์เอง นำทรัพย์มาให้มารดา  จึงพูดกับมารดาว่า “แม่! ไม่ต้องคิดอะไร ผมจะไปทรมานยักษ์ ทำความสวัสดีแก่มหาชน และกลับมาดูรอยยิ้มบนใบหน้าของแม่ แม่จงเบาใจเถอะ
          แล้วจึงเดินทางเข้าราชสำนักกับเจ้าหน้าที่ และได้ถวายบังคม พระราชาจึงตรัสว่า “เจ้าเองหรือที่จะนำอาหารไปให้ยักษ์”
          “พระพุทธเจ้าข้า”
          “จะเอาอะไรไปบ้าง”
          “ข้าพเจ้าทูลขอฉลองพระบาททองคำของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
          “เพราะเหตุอันใดเล่า”
          “ข้าแต่สมมติเทพ! ยักษ์ได้สิทธิกินเฉพาะคนที่ยืนอยู่ใต้โคนต้นไม้ของตน แต่ข้าพเจ้าจะยืนอยู่บนฉลองพระบาท
          “แล้วอย่างอื่นล่ะ”
          “ฉัตรของพระองค์”       
          “เพื่อประโยชน์อะไรเล่า”
          “ข้าแต่สมมติเทพ! ยักษ์นี้กินคนที่ยืนอยู่ใต้ต้นไม้ของตน แต่ข้าพเจ้าจะยืนอยู่ใต้ร่มฉัตร”
          “อยากได้อะไรอีกไหม”
          “พระขรรค์ของพระองค์”
          “ทำไมเล่า”
          “ยักษ์ทั้งหลายล้วนแต่กลัวพระขรรค์ แม้แต่มนุษย์ก็กลัวเหมือนกัน”
          “จะเอาอะไรอีกไหม”
          “ถาดทองคำของพระองค์”
          “จะเอาถาดทองคำไปทำไม”
          “เพราะว่าชายชาติบัณฑิตอย่างข้าพระพุทธเจ้าไม่เหมาะแก่การนำอาหารเลวๆ บรรจุถาดดิน ข้าพระพุทธเจ้า”
          พระราชาทรงตรัสให้ประทานทุกอย่างตามที่ขอ และทรงมอบให้คนรับใช้แก่พระโพธิสัตว์ไป กล่าวกราบทูลพระราชาว่า           
          “พระองค์ทรงอย่ากลัวไปเลย วันนี้ข้าพเจ้าจะทรมานยักษ์และจะนำความสวัสดีแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทและปวงชนทุกคน”
          จากนั้นจึงถวายบังคมพระราชาแล้วสวมฉลองพระบาททองคำขัดพระขรรค์ กั้นเศวตฉัตรบนศีรษะ ถืออาหารบรรจุถาดทองคำไปยังที่อยู่ของยักษ์   
         “เอ วันนี้ดูแปลก ชายผู้นี้มาไม่เหมือนกับวันอื่นๆ เพราะเหตุใดหนอ” ยักษ์นึกในใจ
          พอไปใกล้ถึงต้นไม้ สุตนโพธิสัตว์ใช้ปลายดาบผลักถาดอาหารเข้าไปใต้ร่มไม้ แล้วกล่าวว่า “มฆเทพ! ที่ประจำอยู่ ณ ต้นไทรนี้ ข้าได้นำอาหารเจือด้วยเนื้อสัตว์สะอาดมาให้ท่านตามคำรับสั่งของพระราชา จงออกมารับเอาเถิด”
          ได้ยินดังนั้นแล้ว ยักษ์จึงนึกหาวิธีลวงชายผู้นี้เข้ามาใต้ร่มไม้เพื่อที่จะกิน จึงกล่าวว่า “พ่อหนุ่ม เจ้าจงถืออาหารและกับข้าวลงมากินพร้อมกับเราเถิด”
          พระโพธิสัตว์จึงกล่าวตอบว่า “ท่านผู้เก่งกล้า ถึงขนาดจะยอมละทิ้งประโยชน์มากมายเพราะเหตุเล็กน้อย ผู้ที่ระแวงความตาย ไม่นำอาหารมาให้ท่าน อาหารที่เรานำมานี้เป็นของสะอาด ประณีต รสอร่อย หาได้ยากที่จะมีใครนำมาให้ท่าน”
          ฟังแล้วเกิดมีจิตใจเลื่อมใสในคำพูดของมาณพ จึงกล่าวว่า “สุตนะ! ประโยชน์ที่ท่านกล่าวนี้ ย่อมเจริญแก่เราทีเดียว ท่านจงกลับไปหามารดาของท่านเถิด จงนำพระขรรค์ ฉัตร และฉลองพระบาทไปให้มารดาท่าน จงสวัสดีเถิด
          พระโพธิสัตว์ได้ฟังแล้วปลื้มใจที่ทรมานยักษ์สำเร็จ แถมยังได้ทรัพย์จำนวนมาก ทั้งยังได้ปฏิบัติตามพระราชดำรัสด้วย จึงกล่าวกับยักษ์ว่า “ขอให้ท่านเป็นผู้มีความสุขพร้อมกับญาติทั้งหมดเหมือนกัน เราได้ปฏิบัติตามพระราชดำรัส รวมทั้งทรัพย์ด้วย แล้วจึงเรียกยักษ์มาบอกอานิสงส์ศีลและโทษศีลว่า “แต่ก่อนนี้ท่านคงทำอกุศลกรรมไว้มาก จึงเกิดเป็นคนกักขฬะหยาบคาย กินเลือดเนื้อผู้อื่นเป็นอาหาร แต่นี้ไปท่านจงอย่าได้ทำอกุศลกรรมอีกเลย จงมีปาณาติบาตเป็นต้น  จงตั้งอยู่ในศีล ๕ เราจะพาท่านไปนั่งอยู่ที่ประตูพระนคร มีอาหารเลิศรสให้ท่าน จะมีประโยชน์อันใดกับการอยู่ป่าเล่า”
          จากนั้นจึงพายักษ์มุ่งหน้าไปยังเมืองพาราณสี
          อำมาตย์พากันกราบทูลพระราชาว่า “สุตนะมาณพพายักษ์เข้าเมือง”
          พระราชาและอำมาตย์ทำการต้อนรับพระโพธิสัตว์ และให้ยักษ์นั่งที่ประตูพระนคร จัดหาอาหารให้อย่างดี ทำให้เขามีลาภแล้ว จึงเสด็จเข้าพระนคร
          จากนั้นได้ตีกลองเที่ยวประกาศให้ชาวนครประชุมกัน แล้วตรัสถึงคุณงามความดีของพระโพธิสัตว์ และทรงพระราชทานตำแหน่งเสนาบดีแก่พระโพธิสัตว์ พระองค์ทรงดำรงอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ได้ทรงทำบุญถือศีลตลอดพระชนม์ชีพ
 

ธรรมนิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
“จงอย่าสร้างกรรม เพราะเห็นแก่ประโยชน์อันเล็กน้อย”
“สิ่งสิ่งผิดพลาดในอดีตสามารถแก้ไขได้ในปัจจุบันโดยการสร้างบุญสร้างกุศลให้แก่ตน”

พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า
ยสฺส ปาปํ กตํ กมฺมํ  กมฺมํ กุสเลน ปิหียติ
โสมํ โลกํ ปภาเสติ  อพฺภา มุตฺโต ว จนฺทิมา

บุคคลใดเคยทำกรรมชั่วไว้แล้ว (กลับตัวได้) หันมาทำดีปิดกั้น
บุคคลนั้นย่อมทำโลกให้แจ่มใส เหมือนดั่งดวงจันทร์อันพ้นจากเมฆหมอก (๒๕/๑๗๓) 


คัดจาก : หนังสือ พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ ฉบับสมบูรณ์ / จัดพิมพ์เพื่อเผยแพร่พระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดย สถาบันบันลือธรรม