[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ อนามัย => ข้อความที่เริ่มโดย: มดเอ๊ก ที่ 09 สิงหาคม 2554 05:46:24



หัวข้อ: ฝึกพลังลมปราณพิชิตโรคร้าย ธรรมชาติบำบัดสู่การฟื้นฟูสุขภาพ ( ปราณบู๊ตึ้ง )
เริ่มหัวข้อโดย: มดเอ๊ก ที่ 09 สิงหาคม 2554 05:46:24
(http://www.thaiartcmu.com/album/lompran_2010/supakit001.jpg)

แม้จะได้รับการยอมรับจากทั่วโลกว่า แพทย์แผนปัจจุบันดูแลแก้ปัญหาสุขภาพของมนุษย์ แต่การแพทย์แผนปัจจุบันก็ยังมีข้ออ่อนอยู่หลายจุด โดยเฉพาะไม่สามารถเอาชนะโรคเรื้อรังหลายชนิดที่สร้างความทุกข์ให้กับผู้ป่วยไปจนตลอดชีวิต อาทิ ภูมิแพ้ หอบหืด เบาหวาน ความดัน นอนกรน ฯลฯ ที่ต้องพกพายาไปทุกแห่งทุกที่ที่ไป ยิ่งอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างบ้านเราด้วยแล้ว ยิ่งทำให้อาการของโรคยิ่งกำเริบและหนักขึ้น และแม้ว่าจะสามารถบำบัดได้ด้วยยาที่เห็นผลในระยะสั้น แต่สนนราคาค่ารักษาก็สูงเสียจนผู้ป่วยบางคนไม่สามารถเข้าถึง        
      

การฟื้นฟูสุขภาพด้วยการใช้ธรรมชาติบำบัดจึงเข้ามามีบทบาทอย่างมากในระยะนี้ เพราะได้พิสูจน์จากหลายชั่วอายุคนแล้วว่าได้ผลจริง แม้แต่แพทย์แผนปัจจุบันเองก็ยังยอมรับขนาดว่าเปิดพื้นที่ในโรงพยาบาลให้ผู้ป่วยได้เลือกวิธีรักษาตัวว่าจะเลือกศาสตร์ปัจจุบันหรือศาสตร์ทางเลือกกันเลยทีเดียว
      
       อาจารย์ศุภกิจ นิมมานนรเทพ อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ก็เป็นอีกคนที่จัดอยู่ในประเภทขี้โรคและขี้เกียจออกกำลังกาย สารพันโรคร้ายเลยเข้ามารุมเร้าสร้างความทุกข์ทรมานและรำคาญไปในเวลาเดียวกันทั้ง ภูมิแพ้ หอบหืด นอนกรน ลิ้นหัวใจรั่วจนเกือบจะเป็นอัมพฤกษ์ ได้หันเข้าหาธรรมชาติฝึกพลังลมปราณรักษาโรค ซึ่ง อ.ศุภกิจ บอกว่าเหมาะมากสำหรับคนยุคปัจจุบัน
      
       “ผมว่าคนลักษณะอย่างผมคือขี้โรคขี้เกียจออกกำลังกายอย่างมาก จะเป็นคนกลุ่มใหญ่ในบ้านเราอาจจะถึง 90% ด้วยซ้ำ และยิ่งในกรุงเทพทุกคนต้องเร่งรีบกว่าจะออกจากบ้านถึงที่ทำงาน และกว่าจะตะเกียกตะกายออกจากที่ทำงานไปถึงบ้านโอกาสที่จะแวะออกกำลังกายยิ่งน้อย ขณะเดียวกันก็ต้องดูดควันพิษมากกว่าคนจังหวัดอื่น ๆ หลายเท่ายิ่งทำให้โอกาสที่จะกลายเป็นคนอมโรคจึงมากกกว่า การฝึกพลังลมปราณสามารถล้างสารพิษในตัว และใช้เวลาเพียง 30 นาทีต่อครั้งพอได้เหงื่อ และไม่ต้องทำทุกวันแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ก็เพียงพอ” อ.ศุภกิจ เล่า
      
       อ.ศุภกิจ บอกอีกว่า ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งทางราชการมีความคร่ำเครียดอย่างหนักกับการทำงานอาการลิ้นหัวใจรั่วก็รุมเร้าขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่โรคภูมิแพ้ก็ยังไม่หายขาด กระทั่งอาการกำเริบหนักแพทย์ที่โรงพยาบาลราชวิถีคือคุณหมอพูลชัย จิตอนันต์ วิทยา ผู้ดูแลได้ไปปรึกษากับ พญ.วิไล พัววิไล เห็นว่าอาการขณะนั้นสมควรต้องเปลี่ยนลิ้นหัวใจ แต่เมื่อไปฉีดสีเข้าไปปรากฏว่าอาการหนักกว่าลิ้นหัวใจรั่ว หมอเกรงว่าอาจจะเกิดหัวใจวายกระทันหัน จึงได้ส่งตัวไปยังโรงพยาบาลทรวงอกเพื่อทำบอลลูน และเสริมใยเหล็กในเส้นเลือดหลังจากนั้นก็ต้องกินยาละลายเลือดต่ออีกหลายเดือน ตอนนั้นสภาพร่างกายเหมือนคนพิการ เดินเซซุนเหมือนคนเมาเหล้าอย่างหนัก บังคับการทรงตัวไม่ได้เลยถ้าใครไม่รู้จักต้องคิดว่าเมาเหล้าแน่นอนตอนนั้นคิดอย่างเดียวว่าต้องเป็นอัมพฤกษ์แน่นอน          
 

 “หมอก็เลยแนะนำให้ผมบริหารแบบง่าย ๆ คือ ก่อนอาบน้ำเช้าและก่อนอาบน้ำตอนเย็นให้ใช้มือ 2 ข้างสอดประสานนิ้วและยกขึ้น ดึงหน้าผากไปข้างหลัง แต่เราต้องเกร็งคอขืนเอาไว้ดึง 10 ครั้งขืนคอไว้ทั้ง 10 ครั้ง แล้วเปลี่ยนไปดึงท้ายทอยให้ไปข้างหน้า พร้อมกันนั้นเราก็ขืนท้ายทอย ให้ตั้งตรงไว้ทั้ง 10 ครั้ง มืออีกข้างหนึ่งเท้าสะเอวไว้ด้านซ้ายกับขวารวม 20 ครั้ง ด้านหน้าผากกับท้ายทอยอีกรวม 4 ด้าน 40 ครั้งวันละ 2 เซ็ท 80 ครั้ง ไม่น่าเชื่อครับว่าจากท่ากายภาพบำบัดง่ายแค่วันละ 2 หน ๆ ละไม่เกิน 10 นาทีจะสามารถบำบัดรักษาคนไข้ที่ใกล้จะเป็นอัมพฤกษ์อยู่รอมร่อให้กลับฟื้นเป็นปกติได้ ”
      
       อ.ศุภกิจ ยังได้เล่าถึงความสนใจและเข้าสู่การฝึกพลังลมปราณว่าได้แรงบันดาลใจมาจาก ศ.จางฉี แห่งภาควิชาพลศึกษาของมหาวิทยาลัยมณฑลเหลียวหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้มาบรรยายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และได้สอนท่ากายภาพบำบัดหรือการบริหารง่าย ๆ ให้บางท่าจนแม้ท่านอนหลับ “แบบกบจำศีล” และการถ่ายอุจจาระที่ถูกลักษณะ อีกทั้งผู้บรรยายมีอายุ 63 ปีแล้วยังสปริงตัวแผล็วขึ้นไปสาธิตท่าบริหารกายอยู่บนโต๊ะให้เห็นชัด วินาทีนั้นตัดสินใจกลับไปจะต้องฝึกบ้างจึงได้เริ่มบริหารตามตำรับบู๊ตึ๊งตั้งแต่นั้น



ท่าฝึกบู๊ตึ๊ง-เสี้ยวลิ้มยี่ ดูเหมือนง่ายแต่ไม่หมู

       อ.ศุภกิจ ได้สาธิตถึงการบริหารร่างกายด้วยกายฝึกพลังลมปราน ตามตำรับบู๊ตึ๊งคือ 1.ยืนตัวตรงแยกเท้าเล็กน้อย มือกำแนบลำตัว หายใจลึก ๆ 3 ครั้ง แล้วค่อย ๆ กางแขนช้า ๆ และกำหนดใจให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังยกตุ้มเหล็กหนัก ๆ ขึ้นมา จนยกกำปั้นขึ้นมาเสมอไหล่แล้วแบมือออกหายใจลึก ๆ 3 ครั้งขณะนั้นฝ่ามือคว่ำลง 2. เกร็งกล้ามเนื้อแขนและค่อย ๆ หงายฝ่ามือขึ้นมาช้า ๆ ให้รู้สึกเหมือนว่ากำลังออกแรงผลักบานประตูหนัก ๆ อยู่ หมุนข้อมือจนกระทั่งฝ่ามือหงายขึ้นเต็มที่เหยียดตรงขนานพื้นตลอดเวลา หายใจลึก ๆ และกางแขนยืดอกเต็มที่ 3 ครั้ง 3.แขนดึงตลอดเวลา และค่อย ๆ ยกฝ่ามือหรุบขึ้นช้า ๆ จนกระทั่งแขนเหยียดตรงสูงขึ้นไปหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง
      
       4.เกร็งกล้ามเนื้อย่อแขนทั้งคู่ลงมาช้า ๆ กำหนดใจให้รู้สึกเหมือนเรากำลังยกสิ่งของหนัก ๆ ค่อย ๆ ชะลอลงมาจนกระทั่งฝ่ามือขนานกันอยู่ตรงระดับใบหน้าของเราค่อย ๆ ย่อตัวลงไปจนนั่งยอง ๆ เท้าราบ หายใจเต็มพุง 3 ครั้ง แต่มือทั้งสองข้างยังคงอยู่ในท่าเดิม ข้อศอกตั้งบนเข่า แล้วค่อย ๆ ยืนขึ้นช้า ๆ จนตัวตรง
      
       5.เกร็งกล้ามเนื้อค่อย ๆ ขยายฝ่ามือออกเหมือนว่ามีสปริงดันฝ่ามือออก แต่มีสปริงอีกชุดกดอยู่หลังมือไม่ให้ขยายออกง่าย ๆ หายใจเฉพาะทางจมูกเร็ว ๆ แรง ๆ เหมือนปล้ำอยู่กับผู้ร้าย 6.แผ่ฝ่ามือขยายออกจนที่สุดฝ่ามือของเรากางออกไปจนสุดแขนเหยียดตรง ฝ่ามือคว่ำลงยืดอกเต็มที่และหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง ค่อยลดแขนทั้งสองลงช้า ๆ จนแนบลำตัว ครบท่าบริหารเพียงแค่นี้ไม่มีอะไรยาก แต่ต้องกลับไปเริ่มที่ขั้นตอนที่ 1 อีกครั้ง ทำกลับไป-มา 10 เที่ยวพอให้ได้เหงื่อ
      
      

อ.ศุภกิจ บอกว่า ครั้งแรกที่ลองทำกายภาพบำบัดรู้สึกดีมาก เพราะเสมหะที่อัดแน่นอยู่ในหลอดลมหลุดออกมาเรื่อย ๆ ต้องหยุดบ้วนลงกระโถนเป็นระยะ รู้สึกโล่งอกหายใจได้เต็มปอดเป็นครั้งแรก จนถึงวันนี้ไม่มีเสมหะอีกเลยและอาการนอนกรน อาการหอบหืด ก็หายไปโดยไม่ต้องพึ่งยา
      
       แม้ท่าบู๊ตึ๊งจะดูเหมือนง่ายแต่ซินแสเฉินท่านหนึ่งทักว่า เป็นท่าบริหารที่เน้นการเกร็งกำลังมากจึงเหมาะสำหรับคนหนุ่มสาวที่ต้องการแข็งแรงเร็ว แต่อาจไม่เหมาะสำหรับผู้หญิงหรือคนแก่หรือคนที่สุขภาพยังไม่แข็งแรงต้องฟื้นฟูก่อน ท่านจึงแนะท่าบริหารกายอย่างง่ายแบบสำนักเส้าหลิน หรือท่าเสี้ยวลิ้มยี่ ซึ่งมีท่าบริหารดังนี้ คือ 1.ยืนตรงแยกเท้าเล็กน้อย สะบัดมือ 2-3 ที ยืดอกหายใจเข้าลึก ๆ ระบายลมออกทางปาก 3 ครั้ง 2.กางแขนขึ้นช้า ๆ ฝ่ามือคว่ำจนแขนกางตรงระดับไหล่ ยืดอกหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง
      
       3.ค่อย ๆ พลิกฝ่ามือช้า ๆ จนหงายขึ้นเต็มที่ (แขนตรง) แล้วยกแขนทั้งสองหุบขึ้นไปช้า ๆ จนฝ่ามือทั้งสองขนานกันอยู่เหนือศีรษะ แขนเหยียดตรงยืดอกหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง 4.ค่อย ๆ งอข้อศอกให้ปลายมือจรดกันอยู่เกือบแตะศรีษะแบะอกเต็มที่ข้อศอกกางในแนวตรงกับลำตัวหายใจลึก ๆ 3 ครั้ง 5.ค่อย ๆ พลิกเฉพาะฝ่ามือให้หงายขึ้นช้า ๆ จนหงายขึ้นเต็มที่แล้วจึงค่อย ๆ ยกฝ่ามือดันขึ้นฟ้าอย่างช้า ๆ (ถ้าโคนแขน เทอะทะก็เกร็งกล้ามในช่วงนี้ด้วย) จนฝ่ามือชูสูงสุด (คล้ายคนยอมแพ้)
      
       6.ค่อย ๆ กวักฝ่ามือลงมาช้า ๆ แขนตรงตลอดเวลา ครั้นฝ่ามือลงมาถึงระดับไหล่ให้เราค่อย ๆ ก้มตัวลงช้า ๆ ตามจังหวะฝ่ามือที่กวักลงมาถึงระดับไหล่ขาตรงไม่งอเข่า (ปลายมือแตะปลายเท้ายิ่งดี) ฝ่ามือผ่านลำตัวม้วนขึ้นโผล่กลางลำตัว 7.เมื่อก้มสุดเท่าที่เราจะทำได้แล้ว ให้ค่อย ๆ ยืนขึ้นจนตัวตรงหายใจลึก ๆ 3 ครั้งแล้วค่อย ๆ ย่อตัวลง นั่งยอง ๆ เท้าราบ เอื้อมมือโอบเข่า หงายฝ่ามือจรดปลายนิ้วเข้าหากันหายใจเต็มพุง 3 ครั้ง 8. คลายมือออกแล้วค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นยืนโดยหงายฝ่ามือปลายนิ้วเข้าหากันหายใจเต็มพุง 3 ครั้ง
      
       9.คลายมือออกแล้วค่อย ๆ ทรงตัวขึ้นยืนโดยหงายฝ่ามือปลายนิ้วจรดกันค่อยยกฝ่ามือขึ้นตามจังหวะการทรงตัวขึ้นจนตัวตรงและฝ่ามือขึ้นมาถึงระดับอก ค่อยพลิกฝ่ามือคว่ำลงปลายนิ้วจรดกันอยู่ค่อย ๆ ลดลงไปจนฝ่ามือสุดแล้ววกมาแนบข้างลำตัว จบ 1 รอบให้กลับไปเริ่มรอบใหม่ที่จังหวะ 9.2 วนกลับมาถึง 9.8 กลับไปกลับมาอย่างต่ำ 5 รอบ หรือจนกว่าเหงื่อจะออกวันเวลใดก็ได้ที่สะดวก
      
       อ.ศุภกิจ ยังได้โชว์จดหมายขอบคุณจากผู้ที่ได้ลองฝึกพลังลมปราณหลังจากได้รับคำแนะนำจากอ.ศุภกิจไป อาทิ คุณกฤติกา รุจิรวิริญภิญโญ จากแคลิฟอร์เนีย บอกว่าสามีเคยนอนกรนและบางครั้งหยุดหายใจเป็นพัก ๆ ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเวลานอน หลังจากฝึกลมปราณ ไปได้ 2 อาทิตย์อาการดีขึ้น อาการกรนน้อยลงไปเรื่อย ๆ รายที่ 2 คือ คุณสมพร ทัดดอกไม้ บอกว่าพบคำแนะนำจากหนังสือคู่มือฝึกพลังลมปราณพิชิตโรค ได้ลองทำดู อาการไซนัส ภูมิแพ้ หายเป็นปลิดทิ้ง
      
       คุณบรรจง ศรีเจริญ เขียนมาจากสหรัฐอเมริกา บอกว่า เป็นโรคภูมิแพ้แต่หลังจากปฏิบัติอาการดีขึ้นจากนั้นได้แนะนำเพื่อนอีกหลาย ๆ คนให้ทำตาม คุณทัศนีย์ จากลาดพร้าวเป็นโรคหอบหืดเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยมาก ได้ฝึกพลังลมปราณตามคำแนะนำของอ.ศุภกิจ ตอนนี้สบายดีแล้วไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลอีก และบอกว่าดีจนต้องบอกต่อ คุณ อภิชัย ป่วยด้วยโรคไตวายเรื้อรัง หลังฝึกพลังลมปราณแล้วอาการดีเกือบเป็นปกติ ฟอกไตมีของเสียเพียง 400-500 กรัมเท่านั้น คุณระวิวรรณ ชลสิทธิ์ จากพังงา ป่วยเป็นอัมพฤกษ์แขนและขาข้างขวา ฝึกพลังลมปราณ อยู่ 15 วัน ตอนนี้อาการเกือบเป็นปกติแล้วสามารถเดินเหินได้
      
       นี่เป็นเพียงตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ที่อ.ศุภกิจบอกว่า ต้องหลุดพ้นจากโรคร้ายด้วยปรัชญาตะวันออก ที่ใครก็สามารถฝึกได้ และฝากบอกถึงคุณผู้หญิงที่ชอบไปตบนม เสริมเต้า นวดเคล้าคลึงทั้งหลาย แค่เพียงฝึกหายใจให้ถูกต้อง หน้าอกก็จะพองขึ้นมาได้เอง
      
       สำหรับศาสตร์ตะวันออกนี้ ผศ.นพ.วิศาล คันทธารัตนกุล ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล ได้ทำการวิจัยแล้วว่าได้ผลจริง หลังจากฝึกพลังลมปราณทั้งจากสำนักบู๊ตึ๊งและเส้าหลินพบว่า เส้นรอบวงต้นแขนสองด้านกระชับขึ้น ความหนาของชั้นไขมันใต้ผิวหนังที่ท้องแขนลดลง กำลังขาเพิ่มขึ้น ความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อขาเพิ่มขึ้น การเต้นของหัวใจดีขึ้น สมรรถภาพระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น ฯลฯ ซึ่งเป็นเก็บข้อมูลในช่วง 3 เดือน และหลังจากนี้อีก 3 เดือนจะเก็บข้อมูลในผู้ป่วยเบาหวานที่ฝึกพลังลมปราณ

http://www.youtube.com/watch?v=FGcQHbC9fVs#ws (http://www.youtube.com/watch?v=FGcQHbC9fVs#ws)


http://www.youtube.com/watch?v=YvJdePLD8Y0# (http://www.youtube.com/watch?v=YvJdePLD8Y0#)



http://www.youtube.com/watch?v=vU8Y6mdBktU# (http://www.youtube.com/watch?v=vU8Y6mdBktU#)


อ.ศุภกิจ ฝึกลมปราณ ภูมิแพ้ (http://www.youtube.com/watch?v=iR4mz1MxoFY#)



http://www.youtube.com/watch?v=vQX7l4pUWrs# (http://www.youtube.com/watch?v=vQX7l4pUWrs#)

เฟซบุค องค์ความรู้ สู้โรค ท่าน อาจารย์ ขอรับ  * พลังลมปราณ บำบัดโรค Palunglompran https://www.facebook.com/supakitnim (https://www.facebook.com/supakitnim)

https://www.facebook.com/supakitnim/notes (https://www.facebook.com/supakitnim/notes)