หัวข้อ: บริขาร "บาตร" พระพุทธองค์ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 07 มิถุนายน 2564 19:44:06 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/91361418118079_150541568_5709870349038838_754.jpg) ภาพเเกะสลักลักษณะบาตร เท่าที่มีหลักฐานใกล้สมัยพุทธกาลที่สุด เป็นภาพสมัยคันธาระ ขอขอบคุณ เพจเสวยวิมุตติสุขสัปดาห์ที่ ๗ (ที่มาภาพประกอบ) ที่มาของบาตรพระพุทธองค์ บาตร เป็นหนึ่งในอัฐบริขาร ใช้สำหรับใส่อาหารของที่พระภิกษุและสามเณร หนังสือพระปฐมสมโพธิกถากล่าวว่า เมื่อพระพุทธองค์ออกมหาภิเนษกรมณ์ (ออกผนวช) ได้รับการถวายบริขารทั้ง ๘ ซึ่งมีบาตรรวมอยู่ด้วย จากท้าวฆฏิการมหาพรหม บาตรที่ได้รับนี้ทำด้วยดิน ดังความว่า “ในกาลนั้น ท้าวมหาพรหมองค์หนึ่งมีนาม “ฆฏิการมหาพรหม” เป็นสหายกับพระโพธิสัตว์ ครั้งเสวยพระชาติเป็นโชติปาลมาณ ฑกาลเมื่อศาสนาพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น อันมิควรธรรมบมิได้บำราศประมาณถึงพุทธันดรหนึ่ง พึงตักเตือนให้ทราบเหตุว่าสหายแห่งอาตมะออกสู่ภิเนษกรมณ์ในวันนี้ จึงนำเอาบริขารทั้ง ๘ อันเป็นทิพย์ มีไตรจีวร เป็นต้น แต่ไม้กัลป์ปาพฤกษ์พรหมโลก” ต่อมาเมื่อทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ภายใต้ร่มพระศรีมหาโพธิ์แล้ว ทรงประทับเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นโพธิพฤกษ์ ๗ วัน หลังจากนั้นเสด็จไปประทับเสวยวิมุติสุขในสถานที่ต่างๆ อีก ๗ แห่งๆ ละ ๗ วัน ในสัปดาห์ที่ ๗ อันเป็นสัปดาห์สุดท้าย พระพุทธองค์ประทับเสวยวิมุตติสุขที่ภายใต้ร่มไม้เกตุ อันได้นามว่า “ราคายตนะ” นั้น สมัยนั้นมีพาณิช ๒ คนชื่อ ตปุสสะและภัลลิกะ นำสินค้าบรรทุกกองเกวียนเดินทางมาจากอุกกละชนบทผ่านมาทางนั้น ได้เห็นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ภายใต้ต้นไม้เกตุ ประกอบด้วยทวัตติงสมหาปุริสลักษณะ มีพระรัศมีรุ่งเรืองไม่เคยพบเห็นมาก่อน จึงนำข้าวสัตตุก้อนสัตตุผงอันเป็นเสบียงทาง เข้าไปถวายพระผู้มีพระภาค ขณะนั้น พระพุทธองค์ไม่มีบาตรเพราะหายแต่คราวทรงรับข้าวปายาสของนางสุชาดา พระผู้มีพระภาคทรงดำริว่า “บาตรของตถาคตได้หายไปก่อนวันตรัสรู้ ต้องรับข้าวมธุปายาสของนางสุชาดาด้วยพระหัตถ์ หลังจากนั้นมายังมิได้เสวยกระยาหารเลย บัดนี้สองพานิชนำอาหารมาถวาย ตถาคตจะได้บาตรมาแต่ที่ไหน” เมื่อพระพุทธองค์ทรงดำริอย่างนั้น ทันใดนั้น ท้าวจตุมหาราช ๔ องค์ได้นำบาตรศิลาสีเขียวองค์ละใบ มาจากทิศทั้ง ๔ น้อมเข้าไปถวาย พระพุทธเจ้าทรงรับและอธิษฐานประสานบาตรเป็นใบเดียวกัน ทรงรับข้าวสัตตุ ๒ ชนิดของพาณิชด้วยบาตรนั้น บาตรใบที่สาม : พระปฐมสมโพธิกถา ได้กล่าวถึงบาตรใบที่สาม คือบาตรที่ทำจากปุ่มไม้จันทน์แดง ซึ่งเศรษฐีผู้หนึ่งในกรุงราชคฤห์ได้ทำขึ้นและได้แขวนไว้บนไม้ไผ่ต่อๆ กันสูง ๖๐ ศอก เพื่อพิสูจน์ความเป็นพระอรหันต์ว่ามีอยู่ในโลก พระบิณโฑลการทวราชเถร ได้แสดงปาฏิหาริย์เหาะขึ้นไปนำบาตรลงมา ในสมัยพุทธกาล พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ใช้บาตรได้ ๒ ชนิด คือ บาตรที่ทำด้วยดินกับบาตรที่ทำจากเหล็ก ขนาดของบาตรน่าจะมีขนาดลักษณะคล้ายกับกะโหลกน้ำเต้า กะโหลกผี หรือกระทะดิน จากการศึกษาโบราณวัตถุจากภาพถ่ายพระพุทธรูปศิลาในชมพูทวีปตอนเหนือเห็นได้ว่า ขนาดของบาตรที่ภิกษุใช้นั้นมีขนาดเท่าขันน้ำ ขนาดจะไม่ใหญ่เหมือนบาตรในประเทศไทย หนังสือคัมภีร์วิภังค์ ได้กล่าวถึงขนาดของบาตรว่า มี ๓ ขนาด ได้แก่ ขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก โดยกำหนดเอาความจุของข้าวสารเป็นหลัก กล่าวคือ ๑. บาตรขนาดใหญ่ จุข้าวสารสุกแห่งข้าวสารถึงนาฬิหก ๒. บาตรขนาดกลาง จุข้าวสารสุกแห่งข้าวสารนาฬิหนึ่ง ๓. บาตรขนาดเล็ก จุข้าวสารสุกแห่งข้าวสารปัตถะหนึ่ง ข้าวสารหนึ่งนาฬิหุงเป็นข้าวสุกแจกคนกินได้ ๕ คน สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมสมเด็จพระวชิรญาณวโรรส ได้กล่าวว่าบาตรพระมี ๓ ขนาด คือ ๑. ขนาดใหญ่ จุอาหารกินได้ ๑๐ คน ๒. ขนาดกลาง จุอาหารกินได้ ๕ คน ๓. ขนาดเล็ก จุอาหารกินได้ ๑ คน แต่อาหารจะเหลือแต่ก็ไม่พอ ๒ คนกิน บาตรที่พระภิกษุในพระพุทธศาสนาใช้อยู่ในปัจจุบันเป็นบาตรขนาดกลาง รูปทรงของบาตรยังแตกต่างกันด้วย เช่น ทรงลูกจัน เป็นทรงป้อมๆ อย่างผลจัน (จันเป็นผลไม้ไทยชนิดหนึ่ง เป็นไม้ยืนต้น พุ่มใบงาม ลูกกลมแป้น หรือกลมรี เมื่อสุกสีเหลืองหอมกินได้) ทรงลูกอิน คล้ายกับทรงลูกจัน (อินเป็นผลไม้ตระกูลเดียวกับจัน แต่ผลใหญ่กว่า) ทรงมะนาวรูปร่างค่อนข้างกลมอย่างผลมะนาวแต่ตัดส่วนที่เป็นปากออกประมาณหนึ่งในสี่ ทรงตะโก เป็นแบบที่มีรูปร่างอย่างผลตะโกหรือลูกตะโก (ต้นไม้ชนิดหนึ่ง ผลกลมคล้ายมะพลับ คล้ายไข่ไก่แต่กลมมนกว่า) ในการทำบาตรนั้น หากวัสดุที่ทำบาตรเป็นดินเผาก็เป็นเพียงดินเผาที่สุมรมผิวให้ดำเป็นมันเท่านั้น ส่วนบาตรเหล็กมีความเชื่อว่าจะต้องเป็นตะเข็บรอยต่อ ๔ รอย มาจากแนวคิดและความเชื่อ ๒ ข้อ คือ ๑. แนวคิดจากพุทธประวัติ เมื่อครั้งทรงรับถวายบาตรจากท้าวจตุโลกบาลทั้ง ๔ ซึ่งได้นำบาตร ๔ ใบมาถวาย พระพุทธองค์ได้ทรงอธิษฐานประสานบาตรทั้ง ๔ ให้เป็นบาตรใบเดียวกัน ๒. แนวคิดจากธรรมวินัย ว่ารอยต่อทั้ง ๔ นั้นหมายถึง อริยสัจ ๔ ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสรู้ โปรดติดตามตอนต่อไป |