หัวข้อ: พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๕๗ พิลารโกสิยชาดก : เทวดากับเศรษฐีขี้เหนียว เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 กันยายน 2564 20:10:32 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13576513404647__500_320x200_.jpg) พระเจ้า ๕๐๐ ชาติ เรื่องที่ ๕๗ พิลารโกสิยชาดก เทวดากับเศรษฐีขี้เหนียว พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลเศรษฐี ที่มีชื่อเสียงเรื่องการบริจาคทาน ทุกคนในตระกูลนี้ไม่นิยมการกินการใช้อย่างฟุ่มเฟือย เพราะเห็นว่าเศรษฐีนั้นต้องมีน้ำใจอันประเสริฐ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่คนอื่น ไม่ควรเอาเปรียบใคร เมื่อบิดามารดาเสียชีวิตลง พระโพธิสัตว์จึงรับตำแหน่งเศรษฐีสืบต่อมา ในสมัยนั้น ได้มีการสร้างโรงทานและบริจาคมากกว่าสมัยมารดาและบิดา และปฏิบัติเรื่อยมาจนวาระสุดท้ายของชีวิต หลังจากนั้นก็ได้ถึงแก่ชีวิตและไปเกิดเป็นพระอินทร์ มีชื่อว่าท้าวสักกะหรือสักกเทวราช อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และบุตรก็ได้สืบต่อการบริจาคทานเรื่อยมาจนกระทั่งตายไปเกิดเป็นจันทเทพบุตร เมื่อบุตรตาย หลานก็ดำเนินการต่อไม่ขาด จนกระทั่งตายไปเกิดเป็นสุริยาเทพบตร จากนั้นก็เป็นรุ่นเหลน ดำเนินการต่อจนชีวิตหาไม่แล้วไปเกิดเป็นมาตลีเทพบุตร จากเหลนตายไป โหลนก็รับช่วงต่อ บริจาคทรัพย์นับไม่ถ้วนเหมือนกัน จนกระทั่งเกิดเป็นปัญจสิขเทพบุตร และได้มีการเลิกการทำบุญบริจาคทานโดยสิ้นเชิงในผู้ที่สืบเชื้อสายชั้นที่ ๖ วันหนึ่งท้าวสักกะอยากรู้ว่าสกุลวงศ์ของตนยังทำบุญบริจาคทานอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ จึงรู้ว่าผู้สืบเชื้อสายละมานานแล้ว จึงชวนจันทเทพบุตร สุริยเทพบุตร มาตลีเทพบุตร และปัญจสิขเทพบุตร ไปที่บ้านของเศรษฐีผู้เป็นต้นเชื้อสาย จึงปลอมเป็นพราหมณ์ เศรษฐีนั้นมีนามว่า พิลารโลสิยะ ท้าวสักกะเข้าไปในบ้านเศรษฐีเป็นคนแรก ที่เหลือที่ทยอยตามเข้าไป กว่าจะเข้าได้ก็ยากแสนเข็ญ เศรษฐีไม่ยอมให้เข้าบ้าน บอกว่าในบ้านไม่มีอะไรกิน เมื่อฟังเหตุผลของเทวดาแล้วก็ยอมให้เข้าอย่างไม่เต็มใจ ด้วยความตระหนี่ถี่เหนียวของเศรษฐี ได้ส่งคนให้ตวงข้าวเปลือกให้พราหมณ์คนละ ๑ ทะนาน ให้ไปหุงกินเอง พวกพราหมณ์พูดขึ้นว่า “พวกเราไม่ต้องการข้าวเปลือกที่เจ้าให้นี้” “ถ้าไม่ต้องการข้าวเปลือก ถ้าอย่างนั้นเอาข้าวสารไปก็แล้วกัน” เศรษฐีกล่าว พราหมณ์ตอบกลับ “พวกเราไม่รับของดิบ” จึงสั่งให้คดข้าวที่เลี้ยงวัวของเศรษฐี ให้พราหมณ์ไปตักกินเอง พราหมณ์ทั้งหลายแกล้งทำเป็นข้าวติดคอตาย คนใช้ของเศรษฐีเห็นพราหมณ์นึกว่าตายจริงๆ จึงรีบไปบอกท่านเศรษฐีว่าพวกพราหมณ์กินข้าวเลี้ยงวัวแล้วตาย จากนั้นก็ได้สั่งให้คนใช้เทข้าวเลี้ยงวัวทิ้งแล้วเอาข้าวดีๆ ใส่จานไปไว้หน้าพราหมณ์แทน แล้วเรียกคนผ่านไปมาแถวนั้นมาดูว่า พราหมณ์เห็นอาหารดีๆ อร่อยๆ กินอย่างตะกละตะกลามไม่ทันระวังจึงติดคอตาย ชาวบ้านมามุงดูกันจนเต็มบ้าน พราหมณ์เหล่านั้นจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พวกท่านทั้งหลาย เศรษฐีพูดโกหกบอกว่าให้อาหารดีๆ แก่พวกเรา แต่จริงแล้วเอาข้าวเลี้ยงวัวแก่ให้พวกเรากินต่างหาก เราจึงแกล้งตาย ก็เลยให้คนใช้คดข้าวโอชารสมาใส่แทน” ว่าแล้วพรามหณ์ก็คายข้าวที่อมไว้ในปากออกมาให้ชาวบ้านเห็น ชาวบ้านจึงต่อว่าท่านเศรษฐี เศรษฐีอันธพาลสั่งให้คนเผาโรงทาน ขับไล่คนยากจนไม่มีจะกิน หนำซ้ำยังทำให้วงศ์ตระกูลของตนพินาศ ขนาดพราหมณ์ผู้ละเอียดอ่อน ท่านยังเอาข้าววัวมาให้กิน เห็นทีตอนท่านไปปรโลก คงจะเอาสมบัติเรือนชานผูกคอไปด้วยกระมัง จากนั้นท้าวสักกะจึงแสดงตนให้รู้ว่า พราหมณ์ทั้ง ๕ ไม่ใช่ใคร ล้วนเป็นเศรษฐีที่อยู่ในต้นตระกูลนี้มาแล้วทั้งนั้น จึงไล่เลียงว่าเป็นพ่อลูกกันมาอย่างไร ทั้ง ๕ จึงเหาะขึ้นบนท้องฟ้าแล้วประนามพิลารโกสิยะเศรษฐีว่า เป็นเศรษฐีที่ไม่มีศีลและไม่ให้ทาน จะไปเกิดในนรก ที่มานี่เพื่อจะอนุเคราะห์แก่ท่านเศรษฐีว่าอย่าใช้ชีวิตอย่างประมาท จงชักชวนชาวบ้านให้รักษาศีลและให้ทาน แล้วจะเกิดความสวัสดีต่อชีวิตตลอดกาล พิลารโกสิยะเศรษฐีประนมมือและให้ปฏิญญาว่าจะไม่ทำลายวงศ์ตระกูล จะบำเพ็ญทาน ตั้งแต่นี้ต่อไป ถ้าวันใดยังไม่ได้ให้ทานจะไม่ทานอาหาร จากนั้นมาพิลารโกสิยะเศรษฐีก็ได้ให้ทานรักษาศีลมาโดยตลอด จนกระทั่งเสียชีวิตแล้วไปเสวยผลแห่งการทำดีของตนในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นิทานชาดกเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “อย่าทำลายวงศ์ตระกูลของตน” “จงทำดีชีวิตจะมีสุข” พุทธศาสนสุภาษิตประจำเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ทเทยฺย ปุริโส ทานํ อปฺปํ วา ยทิวา พหุ เป็นคนควรให้ทานบ้าง จะน้อยหรือมากก็ตาม (๒๗/๒๑๒) |