หัวข้อ: สุญญตา ~พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช~ เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 15 กันยายน 2554 14:06:15 (http://www.phuketjournal.com/wp-content/uploads/2011/07/dreamstimefree_4399874.jpg) สุญญตา ~พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช~ พวกเราคงเคยได้ยินคำว่า..'สุญญตา' หรือ..'มหาสุญญตา' กันบ่อยๆและอาจเคยพบเพื่อนชาวพุทธบางท่าน โดยเฉพาะปัญญาชนที่สนใจศึกษาเรื่องสุญญตาด้วยการอ่าน การฟัง การคิด และการถกแถลงธรรม ท่านเหล่านี้ได้รับความอิ่มอก อิ่มใจ ว่ามีความรู้ความเข้าใจพระพุทธศาสนาลึกซึ้งเพียงพอ แล้วจนไม่สนใจการเจริญสติ ซึ่งเราคงเข้าไปเกี่ยวข้องอะไรด้วยไม่ได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือเพื่อนผู้สนใจการปฏิบัติบางท่านกลับ พยายามเจริญสติด้วยการใช้สุญญตาเป็นอารมณ์กรรมฐาน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดพลาดมาก เพราะพระพุทธเจ้า ทรงสอนให้ใช้สุญญตาหรือความว่างเป็นอารมณ์แต่อย่างใด บางท่านถึงกลับนำพระไตรปิฎกมาอ้างว่า พระพุทธเจ้าก็ทรง สอนให้ใช้สุญญตาเป็นอารมณ์กรรมฐานเหมือนกัน เนื้อหาของพระไตรปิฎกนี้มีอยู่ว่า... โมฆราชมาณพ พร้อมด้วย เพื่อนร่วมสำนักผู้เป็นศิษย์ของพราหมณ์พาวรีรวม 16 ท่าน ได้ไปเฝ้าทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า ท่านเหล่านี้ภายหลังได้อุปสมบท และบรรลุเป็นพระอรหันต์ชั้นแนวหน้าทั้งสิ้น เฉพาะท่่านโมฆราชนั้น ได้ทูลถามพระพุทธเจ้าถึง 3 ครั้งว่า... "บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงจะไม่เห็น...?" พระอรรถกถาจารย์ท่านอธิบายว่า เหตุที่ท่านโมฆราชต้องถาม ถึง3 ครั้ง ก็เพราะพระพุทธเจ้าทรงรอให้โมฆราชมาณพมีอินทรีย์ แก่กล้าเสียก่อน จึงยังมิได้ทรงตอบเมื่อทูลถามปัญหาสองครั้งแรก ต่อจากท่านอชิตะและท่านติสสเมตเตยยะ เมื่อท่านโมฆราชทูลถามเป็นครั้งที่ 3 โดยได้ถามเป็นบุคคล ลำดับที่ 15 แทนที่จะได้ถามเป็นท่านที่ 2 หรือ 3 จึงทรงตอบว่า.. "ดูกร โมฆราช ท่านจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโลก โดยความเป็นของว่างเปล่าเถิด จงถอนตามความเห็นว่าเป็นตัวตน เสียแล้ว พึงเป็นผู้ข้ามพ้นมัจจุราชได้ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกอยู่อย่างนี้ มัจจุราชจึงจะไม่เห็น" เมื่ออ่านคำตอบตรงนี้แล้ว ท่านที่ชอบเรื่องสุญญตาก็มักจะสรุปเอา เลยว่า พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติด้วยการคิดพิจารณาให้เห็นว่า โลกเป็นของว่างเปล่าหรือเป็นสุญญตา ความจริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้น แต่ท่านระบุชัดเจนว่า... จงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ...แสดงว่าท่านสอนให้เจริญสติ ถ้าถามต่อไปว่า ท่านให้เจริญสติโดยใช้สิ่งใดเป็นอารมณ์กรรมฐาน ก็ตอบได้ว่าพระพุทธเจ้า ทรงสอนให้ใช้..'โลก' เป็นอารมณ์กรรมฐาน และคำว่าโลกก็หมายถึง 'รูปนาม'...นั่นเอง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ใช้สุญญตาหรือความ ว่างเป็นอารมณ์กรรมฐาน เพียงแต่ทรงแนะนำ 'ให้ตามรู้รูปนามในแง่มุมของความว่างเปล่าจากตัวตนหรืออนัตตา' เท่านั้นเอง เพราะท่านโมฆราชผู้มีปัญญามาก จึงเหมาะที่จะบรรลุธรรม ด้วยสุญญตาวิโมกข์ คือ...การเห็นรูปนามเป็นอนัตตา ทั้งนี้ฝ่าย บรรดาคณะศิษย์ของพรามหม์พาวรีทั้ง 16 ท่านนั้น พระไตรปิฎกกล่าวถึง ฉายาต่อท้ายชื่อไว้2 ท่าน คือท่านโมฆราชผู้มีปัญญา กับ ท่านปิงคิยะผู้แสวงหาคุณอันใหญ่ แสดงว่าท่านโมฆราชน่าจะมีจุดเด่น ในด้านมีปัญญามากจริงๆ เพียงแต่ไม่ถึงระดับท่านพระสารีบุตรผู้เป็นอัครสาวกผู้เลิศด้วยปัญญานั้น มีคำอธิบายเพิ่มเติมในพระไตรปิฎก (โมฆราชมาณวกปัญหา นิทเทส พระไตรปิฎกเล่มที่ 30 ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส). ว่า... "บุคคลผู้พิจารณาเห็นโลกโดยความเป็นของสูญด้วยเหตุ 2 ประการคือ (1) ด้วยสามารถความกำหนดว่า..ไม่เป็นไปในอำนาจ... หมายความว่า ใครๆย่อมไม่ได้อำนาจในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ และ (2) ด้วยสามารถการพิจารณา...เห็นสังขารโดยเป็นของว่างเปล่า... หมายความว่า ใครๆย่อมไม่ได้แก่นสารในรูป ในเวทนา ในสัญญา ในสังขาร ในวิญญาณ ที่ไม่มีแก่นสาร ไร้แก่นสารปราศจากแก่นสาร เพราะไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา มีคำที่อาจก่อความสับสนได้อีกคำหนึ่งคำว่า..."พิจารณา" บางท่าน ตีความหมายว่าการพิจารณาคือการคิด แท้จริงคำว่าพิจารณาหมายถึง การเจริญสติตามรู้รูปนามนั่นเอง ไม่ใช่การคิดเรื่องรูปนาม เพราะการคิดเรื่องรูปนามว่าเป็นความว่างนั้น ไม่สามารถจะทำให้เห็นรูปนามเป็นความว่างได้ แต่ถ้าเจริญสติ โดยมีรูปนามเป็นอารมณ์ จึงจะเห็นอนัตตลักษณะของรูปนามได้ สรุปแล้ว...พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงสอนให้ใช้ความว่างเป็นอารมณ์ ของวิปัสสนากรรมฐาน และไม่ได้ให้คิดเรื่องความว่าง แต่ทรงสอนให้มีสติตามรู้รูปนาม จนเห็นรูปนามว่างเปล่าจากความ เป็นตัวตน หรือไร้แก่นสารทั้งปวง... ดังนั้น พวกเราจึงควรลงมือเจริญสติตามรู้รูปนามไปเลย ดีกว่าจะ เที่ยวคิดหรือเที่ยวแสวงหาสุญญตาจนลืมการเจริญสติ แล้ววันหนึ่ง พวกเราจะได้เห็นโลกคือรูปนามอันประกอบขึ้นเป็น สรรพสิ่งทั้งหลายนั้น แม้มีอยู่ แต่ก็ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน และหาแก่นสารใดๆ ไม่ได้เลย...ฯ ~พระปราโมทย์ ปาโมชฺโช~ ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ (http://www.phuketjournal.com/wp-content/themes/newstube/includes/timthumb.php?src=http://www.phuketjournal.com/wp-content/uploads/2011/07/buddha10.jpg&h=100&w=100&zc=1) ขอบพระคุณที่มาจาก :http://www.teenee.com/ :http://agaligohome.com/index.php?topic=4839.new#new Pics by : Google สุขใจดอทคอม * ใต้ร่มธรรมดอทเน็ต อกาลิโกโฮม อนุโมทนาสาธุที่มาทั้งหมดมากมายค่ะ |