หัวข้อ: ไม้กวาดและอานิสงส์ของการกวาด เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 ตุลาคม 2565 19:50:31 (https://us-fbcloud.net/wb/data/930/930751-img.rkdo8u.0.jpg) (https://us-fbcloud.net/wb/data/930/930751-img.rkdo8x.3.jpg) พระราชปัญญาวิสารัท (หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ฝ่ายธรรมยุต) วัดกระดึงทอง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์
ไม้กวาดและอานิสงส์ของการกวาด ไม้กวาด หรือไม้ตาดนั้นตรงกับคำในภาษาบาลีว่า “สมฺมชฺชนี” เป็นการประยุกต์เอาวัสดุธรรมชาติรอบๆ ตัวมาดัดแปลงเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำความสะอาด โดยพระภิกษุตามต่างจังหวัดหรือที่มักเรียกกันว่า พระสายวัดป่านั้นจะเรียนรู้ที่จะทำไม้กวาดไว้ใช้เอง การถักไม้กวาดนั้น คือการนำเอาก้านมะพร้าวบ้างมาเหลาและถักเข้ากับก้านไม้รวก ในบางครั้งหากหาทางมะพร้าวไม่ได้ก็อาจประยุกต์ใช้ก้านไม้ชนิดอื่นแทน เช่น ก้านต้นชกมาเหลาและใช้แทนได้เช่นกัน ดังปรากฏวินัยของพระในเรื่องของการทำความสะอาดอย่างละเอียด เป็นข้อวัตรที่สัทธิวิหาริกพึงปฏิบัติต่ออุปัชฌาย์ หรืออันเตวาสิกพึงปฏิบัติอาจารย์ ทั้งการดูแลที่ฉันภัตตาหารและเสนาสนะที่พักอาศัยว่า “โส เทโส อุกฺลาโป โหติ โส เทโส สมฺมชฺชิตพฺโพ” แปลว่า “ถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย” วินัยในเรื่องของความสะอาดนั้นยังให้รายละเอียดและขั้นตอนของการทำความสะอาดไว้ความละเอียดลออ ดังเช่น ถ้าจะปัดกวาดในที่พักอาศัยให้พึงขนบาตร จีวร ที่หลับที่นอนออกไปก่อน เตียงตั่งหากยกออกให้ยกต่ำๆ อย่าให้กระทบกัน ถ้ามีหยากไย่ให้กวาดแต่เพดานลงมาก่อน กรอบหน้าต่างและมุมห้องพึงเช็ดเสีย ถ้าฝาเขาทำบริกรรมด้วยน้ำมันหรือพื้นเขาทาสีดำขึ้นรา พึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ดเสียถ้าพื้นเขามิได้ทำ พึงเอาน้ำประพรมแล้วเช็ดเสีย ระวังอย่าให้วิหารฟุ้งด้วยธุลี พึงกวาดหยากเยื่อทิ้งเสีย แต่ในขณะเดียวกันหากสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกเกิดอาพาธป่วยไข้ขึ้นมา อุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้นก็ต้องลงมาดูแลปัดกวาดเสนาสนะให้กับลูกศิษย์ของตนเช่นเดียวกัน นับเป็นความงดงามในการดูแลซึ่งกันและกันของหมู่สงฆ์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก นอกจากนี้ บริเวณวัดอื่นๆ ทั้งซุ้มน้ำ โรงฉัน โรงไฟ หรือห้องน้ำหากมีความสกปรกขึ้น ก็มีพระวินัยระบุให้พึงปัดกวาดเสียให้เรียบร้อย ดังที่ครั้งหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงกวาดโรงอุโบสถ พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธานุญาตให้พระเถระสามารถสั่งพระนวกภิกษุได้ หากพระนวกภิกษุรูปใดไม่ยอมกวาด หากภิกษุนั้นมิได้อาพาธ ต้องอาบัติทุกกฏ ดังนั้น จะเห็นได้ว่าข้อวัตรเรื่องการดูแลเสนาสนะทั้งส่วนตนและส่วนรวมที่ของที่พึงเกิดขึ้นในตนเอง จนมักเรียกกันว่าข้อวัตร เป็นสิ่งที่พึงทำตลอดจนเป็นกิจวัตรเป็นนิสัย รู้จักดูแลช่วยเหลือส่วนรวม ซึ่งก็คือหมู่สงฆ์ที่อยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นศีลระดับเบื้องต้นที่พระทุกรูปพึงมี หากแม้พระรูปใดมิได้ช่วยกิจการข้อนี้แก่หมู่สงฆ์เลย ก็คงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องสมาธิภาวนา เพราะย่อมไม่เกิดผลเช่นกัน เพราะในเมื่อศีลในระดับเบื้องต้นยังไม่เกิดขึ้น จะปรากฏอะไรกับภาวนาอันเป็นเหตุเบื้องปลายในอนาคต นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ทรงกล่าวถึงอานิสงส์ของการกวาด ปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก ปริวาร ดังนี้ การกวาดมีอานิสงส์ ๕ คือ ๑.จิตของตนเลื่อมใส ๒. จิตของผู้อื่นเลื่อมใส ๓. เทวดาชื่นชม ๔. สั่งสมกรรมที่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเลื่อมใส ๕. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๑ การกวาดมีอานิสงส์แม้อื่นอีก ๕ คือ ๑. จิตของตนเลื่อมใส ๒. จิตของผู้อื่นเลื่อมใส ๓. เทวดาชื่นชม ๔. เป็นอันทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ๕. ชุมชนมีในภายหลังถือเป็นทิฏฐานุคติ ด้วยพระภิกษุผู้ทำข้อวัตรเหล่านั้น ย่อมขัดเกลาตนเอง ยังให้เห็นความดีในตน เกิดความชื่นชมในตนเอง และผู้พบเห็นก็เกิดความเลื่อมใสชื่นชมด้วยเช่นกัน แม้เทวดาบนฟ้าหรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่พบเห็นก็ชื่นชมด้วยกัน ด้วยเป็นการทำข้อวัตรตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เป็นแบบอย่างแก่พระนวกภิกษุผู้บวชใหม่ต่อไป กุศลกรรมครั้งนี้จึงบันดาลให้เกิดในสุคติภพได้ด้วยเช่นกัน ที่มา : เพจ เล่าเรื่องวัดบวรฯ |