[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 18 ตุลาคม 2565 19:50:31



หัวข้อ: ไม้กวาดและอานิสงส์ของการกวาด
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 18 ตุลาคม 2565 19:50:31
(https://us-fbcloud.net/wb/data/930/930751-img.rkdo8u.0.jpg)

(https://us-fbcloud.net/wb/data/930/930751-img.rkdo8x.3.jpg)

พระราชปัญญาวิสารัท (หลวงปู่เหลือง ฉันทาคโม)
ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดบุรีรัมย์ (ฝ่ายธรรมยุต) วัดกระดึงทอง อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์

หยาดเหงื่อพระผู้เฒ่า พระราชาคณะผู้เป็นแบบอย่างในการดำรงข้อวัตร มิได้ถือตัวตนว่าเป็นท่านเจ้าคุณ
ด้วยอายุย่างเข้า ๘๙ ปี ท่านยังคงทำหน้าที่ของพระสงฆ์เป็นแบบอย่างให้พระลูกพระหลานวัยรุ่นวัยหนุ่ม
ได้สำนึกตน ว่าไม่ควรปล่อยกายปล่อยใจ ให้สุขสบายไปตามกระแสกิเลส มิเช่นนั้นจะกลายเป็นศิษย์ผิด
แนวอาจารย์ พระหนุ่มเณรน้อยภายในวัดก็ปัดกวาดเช่นเดียวกับหลวงปู่ เนื่องด้วยการปัดกวาดเสนาสนะ
เป็นกิจวัตร ๑๐ ประการของพระ หลวงปู่ท่านจึงไม่ยอมบกพร่องในการรักษากิจวัตรขององค์ท่าน
ที่มา : board.postjung.com/

ไม้กวาดและอานิสงส์ของการกวาด


ไม้กวาด หรือไม้ตาดนั้นตรงกับคำในภาษาบาลีว่า “สมฺมชฺชนี” เป็นการประยุกต์เอาวัสดุธรรมชาติรอบๆ ตัวมาดัดแปลงเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำความสะอาด  โดยพระภิกษุตามต่างจังหวัดหรือที่มักเรียกกันว่า พระสายวัดป่านั้นจะเรียนรู้ที่จะทำไม้กวาดไว้ใช้เอง

การถักไม้กวาดนั้น คือการนำเอาก้านมะพร้าวบ้างมาเหลาและถักเข้ากับก้านไม้รวก ในบางครั้งหากหาทางมะพร้าวไม่ได้ก็อาจประยุกต์ใช้ก้านไม้ชนิดอื่นแทน เช่น ก้านต้นชกมาเหลาและใช้แทนได้เช่นกัน ดังปรากฏวินัยของพระในเรื่องของการทำความสะอาดอย่างละเอียด เป็นข้อวัตรที่สัทธิวิหาริกพึงปฏิบัติต่ออุปัชฌาย์ หรืออันเตวาสิกพึงปฏิบัติอาจารย์ ทั้งการดูแลที่ฉันภัตตาหารและเสนาสนะที่พักอาศัยว่า “โส เทโส อุกฺลาโป โหติ โส เทโส สมฺมชฺชิตพฺโพ” แปลว่า “ถ้าที่นั้นรก พึงกวาดที่นั้นเสีย”

วินัยในเรื่องของความสะอาดนั้นยังให้รายละเอียดและขั้นตอนของการทำความสะอาดไว้ความละเอียดลออ ดังเช่น

ถ้าจะปัดกวาดในที่พักอาศัยให้พึงขนบาตร จีวร ที่หลับที่นอนออกไปก่อน เตียงตั่งหากยกออกให้ยกต่ำๆ อย่าให้กระทบกัน ถ้ามีหยากไย่ให้กวาดแต่เพดานลงมาก่อน กรอบหน้าต่างและมุมห้องพึงเช็ดเสีย ถ้าฝาเขาทำบริกรรมด้วยน้ำมันหรือพื้นเขาทาสีดำขึ้นรา พึงเอาผ้าชุบน้ำบิดแล้วเช็ดเสียถ้าพื้นเขามิได้ทำ พึงเอาน้ำประพรมแล้วเช็ดเสีย ระวังอย่าให้วิหารฟุ้งด้วยธุลี พึงกวาดหยากเยื่อทิ้งเสีย

แต่ในขณะเดียวกันหากสัทธิวิหาริกและอันเตวาสิกเกิดอาพาธป่วยไข้ขึ้นมา อุปัชฌาย์อาจารย์เหล่านั้นก็ต้องลงมาดูแลปัดกวาดเสนาสนะให้กับลูกศิษย์ของตนเช่นเดียวกัน  นับเป็นความงดงามในการดูแลซึ่งกันและกันของหมู่สงฆ์ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก

นอกจากนี้ บริเวณวัดอื่นๆ ทั้งซุ้มน้ำ โรงฉัน โรงไฟ หรือห้องน้ำหากมีความสกปรกขึ้น ก็มีพระวินัยระบุให้พึงปัดกวาดเสียให้เรียบร้อย  ดังที่ครั้งหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงกวาดโรงอุโบสถ พระพุทธองค์จึงทรงมีพุทธานุญาตให้พระเถระสามารถสั่งพระนวกภิกษุได้ หากพระนวกภิกษุรูปใดไม่ยอมกวาด หากภิกษุนั้นมิได้อาพาธ ต้องอาบัติทุกกฏ

ดังนั้น จะเห็นได้ว่าข้อวัตรเรื่องการดูแลเสนาสนะทั้งส่วนตนและส่วนรวมที่ของที่พึงเกิดขึ้นในตนเอง จนมักเรียกกันว่าข้อวัตร เป็นสิ่งที่พึงทำตลอดจนเป็นกิจวัตรเป็นนิสัย  รู้จักดูแลช่วยเหลือส่วนรวม ซึ่งก็คือหมู่สงฆ์ที่อยู่ร่วมกัน ซึ่งเป็นศีลระดับเบื้องต้นที่พระทุกรูปพึงมี หากแม้พระรูปใดมิได้ช่วยกิจการข้อนี้แก่หมู่สงฆ์เลย ก็คงไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องสมาธิภาวนา เพราะย่อมไม่เกิดผลเช่นกัน เพราะในเมื่อศีลในระดับเบื้องต้นยังไม่เกิดขึ้น จะปรากฏอะไรกับภาวนาอันเป็นเหตุเบื้องปลายในอนาคต

นอกจากนี้ พระพุทธองค์ยังได้ทรงกล่าวถึงอานิสงส์ของการกวาด ปรากฏอยู่ในพระวินัยปิฎก ปริวาร ดังนี้

การกวาดมีอานิสงส์ ๕ คือ
      ๑.จิตของตนเลื่อมใส
      ๒. จิตของผู้อื่นเลื่อมใส
      ๓. เทวดาชื่นชม
      ๔. สั่งสมกรรมที่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเลื่อมใส
      ๕. เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๑

การกวาดมีอานิสงส์แม้อื่นอีก ๕ คือ
      ๑. จิตของตนเลื่อมใส
      ๒. จิตของผู้อื่นเลื่อมใส
      ๓. เทวดาชื่นชม
      ๔. เป็นอันทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา
      ๕. ชุมชนมีในภายหลังถือเป็นทิฏฐานุคติ

ด้วยพระภิกษุผู้ทำข้อวัตรเหล่านั้น ย่อมขัดเกลาตนเอง ยังให้เห็นความดีในตน เกิดความชื่นชมในตนเอง และผู้พบเห็นก็เกิดความเลื่อมใสชื่นชมด้วยเช่นกัน แม้เทวดาบนฟ้าหรือผู้หลักผู้ใหญ่ที่พบเห็นก็ชื่นชมด้วยกัน ด้วยเป็นการทำข้อวัตรตามคำสั่งสอนของพระบรมศาสดา เป็นแบบอย่างแก่พระนวกภิกษุผู้บวชใหม่ต่อไป กุศลกรรมครั้งนี้จึงบันดาลให้เกิดในสุคติภพได้ด้วยเช่นกัน


ที่มา : เพจ เล่าเรื่องวัดบวรฯ