หัวข้อ: ขนมเบื้อง เกี่ยวเนื่องในพุทธประวัติอย่างไร? เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 ตุลาคม 2565 19:37:05 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/91629818661345_311975351_1497569964092012_416.jpg) นางสร้อยฟ้า นางศรีมาลา ละเลงขนมเบื้อง จิตรกรรมฝาผนังเรื่องราวในวรรณคดี "ขุนช้างขุนแผน" ที่วัดป่าเลไลยก์ ตำบลรั้วใหญ่ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี ขนมเบื้อง เกี่ยวเนื่องในพุทธประวัติอย่างไร? ขนมเบื้องถือเป็นขนมอวดฝีมือของกุลสตรีไทยมาแต่โบราณ เชื่อว่ามีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย แต่เดิมนิยมรับประทานในฤดูที่มีกุ้งแม่น้ำชุกชุม คือฤดูหนาว ขนมเบื้องที่ดีต้องมีฝีมือในการละเลงให้บางและกรอบ หน้าขนมเบื้องมี ๒ แบบ หน้าเค็มและหน้าหวาน แบบหน้าเค็มแต่เดิมใช้เนื้อกุ้งหลวง(กุ้งแม่น้ำ)ผสมมันกุ้ง สับละเอียดให้เข้ากัน ละเลงหน้ากุ้งบนแผ่นแป้ง เมื่อแป้งกรอบแล้วโรยมะพร้าวขูดทับบนกุ้ง ตามด้วยใบผักชี ใบหอมและใบมะกรูดที่ซอยละเอียด พริกไทยป่น ส่วนหน้าหวานทำจากไข่และน้ำตาลทรายขาวที่ตีจนขึ้นดี ละเลงบนแผ่นแป้ง โรยด้วยมะพร้าวขูด พับลงจานยกไปตั้งรับประทาน ในสมัยพุทธกาลน่าจะมีการทำขนมเบื้องแล้ว ในหนังสือ "ธรรมบทเผด็จ" กล่าวถึงเศรษฐีโกสิยะซึ่งเป็นคนตระหนี่อยากกินขนมเบื้อง จึงให้ภรรยาขึ้นไปทำขนมเบื้องบนปราสาทชั้นเจ็ดเพื่อจะได้ไม่ต้องแบ่งให้ใคร ในอรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ปุปผวรรคที่ ๔ (๕. เรื่องโกสิยเศรษฐผู้มีความตระหนี่) พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี ทรงปรารภเศรษฐีชื่อโกสิยะ ผู้มีความตระหนี่ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า "ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ" เป็นต้น เรื่องตั้งขึ้นแล้วในกรุงราชคฤห์. ดังได้สดับมา ในที่ไม่ไกลแห่งกรุงราชคฤห์ ได้มีนิคมชื่อสักกระ, เศรษฐีคนหนึ่งชื่อโกสิยะ มีความตระหนี่ มีสมบัติ ๘๐ โกฏิ ประจำอยู่ในนิคมนั้น เขาไม่ให้แม้หยดน้ำมัน (สักหยดเดียว) ด้วยปลายหญ้าแก่คนเหล่าอื่น ทั้งไม่บริโภคด้วยตนเอง สมบัติของเขานั้นไม่อำนวยประโยชน์แก่ปิยชนทั้งหลาย มีบุตรและภรรยาเป็นต้น ไม่อำนวยประโยชน์แก่สมณะและพราหมณ์ทั้งหลาย คงเป็นของไม่ได้ใช้สอย ตั้งอยู่เหมือนสระโบกขรณี ที่ผีเสื้อน้ำหวงแหน ด้วยประการฉะนี้แล. เวลาจวนสว่าง พระศาสดาเสด็จออกจากสมาบัติอันประกอบด้วยความกรุณาใหญ่ ทรงตรวจดูหมู่สัตว์ผู้เป็นเผ่าพันธุ์ที่พอแนะนำในการตรัสรู้ได้ในสกลโลกธาตุ ได้ทรงเห็นอุปนิสัยโสดาปัตติผลของเศรษฐีพร้อมทั้งภรรยา ซึ่งอยู่ในที่สุดแห่งที่ ๔๕ โยชน์ วันหนึ่งเศรษฐีนั้นไปสู่พระราชมนเทียรเข้าเฝ้าพระเจ้ามคธ ระหว่างเดินทางกลับบ้าน ได้เห็นชาวบ้านกำลังกินขนมกุมมาส (ขนมเบื้อง) จึงเกิดความกระหายในขนมนั้นเป็นอย่างยิ่ง ไปสู่เรือนของตนแล้ว คิดว่า "ถ้าเราบอกว่า ‘เราอยากกินขนมเบื้อง’ ไซร้, คนเป็นอันมากก็จักอยากกินกับเรา, เมื่อเป็นอย่างนั้น จะทำให้สิ้นเปลืองวัตถุในการทำเป็นอันมาก มีงา ข้าวสาร เนยใส น้ำอ้อยเป็นต้น ดังนี้แล้ว จึงตัดสินใจอดกลั้นความหิวไม่บอกแก่ใคร เพราะกลัวเสียทรัพย์ เมื่อเวลาล่วงไปหลายวัน เขาก็ยังอยากกิน จนร่างกายผอมลง มีเส้นเอ็นปรากฏ แต่นั้น ไม่สามารถจะอดกลั้นความอยากไว้ได้ เข้าห้องแล้วนอน ภรรยาเศรษฐีเห็นความเปลี่ยนแปลงของสามีแล้ว จึงเข้าไปถามเพื่อหาสาเหตุ ท้ายที่สุดเศรษฐีจึงบอกภรรยาว่าตนอยากกินขนมเบื้อง และให้ภรรยาทอดขนมเบื้องเพียงพอเฉพาะตนคนเดียวเท่านั้น เพราะไม่ต้องการแบ่งให้ผู้อื่นแม้แต่ภรรยาของตน แล้วให้ภรรยาใช้ข้าวสารหักและเชิงกรานและกระเบื้อง และจัดเตรียมน้ำนม เนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อยหน่อยหนึ่ง แล้วไล่ทาสีไป ให้เรียกเศรษฐีมา เศรษฐีนั้น ปิดประตูใส่ลิ่มและสลักประตูทุกประตูตั้งแต่ประตูแรก เมื่อขึ้นไปยังชั้นที่ ๗ ปิดประตูเพื่อไม่ให้ใครเห็น แล้วนั่ง ณ ชั้นนั้น. ฝ่ายภรรยาของเขาก็ติดไฟที่เชิงกราน ยกกระเบื้องขึ้นตั้ง แล้วเริ่มทอดขนม ครั้งนั้น พระศาสดาตรัสเรียกพระมหาโมคคัลลานเถระมาแต่เช้าตรู่ ตรัสให้พระมหาโมคคัลลานเถระไปกำราบเศรษฐีให้สิ้นพยศ ให้ทั้งสองผัวเมียถือขนมและน้ำนม เนยใส น้ำผึ้งและน้ำอ้อย นำมายังพระเชตวันด้วยกำลังของพระเถระ วันนี้ เรากับภิกษุ ๕๐๐ รูป จักนั่งในวิหาร จักทำภัตกิจด้วยขนมเท่านั้น พระเถระจึงไปยังบ้านเศรษฐีด้วยกำลังฤทธิ์ ยืนที่หน้าต่างของปราสาท เมื่อเศรษฐีเห็น จึงขับไล่ แต่พระเถระก็ยังไม่ไป พระโมคคัลลานะแสดงฤทธิ์ด้วยการเดินจงกรม นั่งคู้บัลลังก์ในอากาศ มายืนที่ขอบหน้าต่าง บังหวนควันขึ้น จนเศรษฐีคิดว่าพระเถระอยากได้ขนมจริงๆ จึงบอกให้ภรรยาทอดขนมชิ้นเล็กๆ ชิ้นหนึ่งให้แก่พระเถระ แต่ขนมชิ้นเล็กเมื่อลงกระทะกลับกลายเป็นชิ้นใหญ่ เศรษฐีไม่พอใจ จึงลงมือทอดเอง แต่ยิ่งทอดขนมก็ยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเกิดความเบื่อหน่าย จึงให้ขนมแก่พระเถระหนึ่งชิ้น แต่เมื่อหยิบขนมหนึ่งชิ้น ขนมทั้งหมดกลับติดกันเป็นชิ้นเดียว ทำเท่าไหร่ก็ไม่สามารถแยกขนมได้ จนเศรษฐีเหนื่อย ความหิวและความต้องการขนมได้หายไป จึงบอกให้ภรรยาถวายขนมทั้งหมดแก่พระเถระ พระเถระแสดงธรรมแก่คนทั้งสอง กล่าวคุณพระรัตนตรัย แสดงผลของการให้ทานว่า ทานที่บุคคลให้แล้ว ย่อมมีผล ยัญที่บุคคลบูชา ย่อมมีผล จนเศรษฐีเกิดความเลื่อมใส พระเถระได้พาเศรษฐีและภรรยาไปเข้าไปเฝ้าพระศาสดา ณ พระเชตวัน ด้วยกำลังฤทธิ์ ทั้งสองได้ถวายทักษิโณทกแก่ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ภรรยาใส่ขนมในบาตรของพระตถาคต ทั้งสองได้บริโภคขนมจนพอแก่ความต้องการ และแม้จะถวายขนมแก่ภิกษุทุกรูปในวิหาร ให้แก่คนอนาถาทั้งหลาย ขนมก็ไม่หมดสิ้นไป พระพุทธองค์จึงให้ทั้งสองทิ้งขนมบริเวณซุ้มประตูพระเชตวัน ซึ่งทุกวันนี้ที่นั้นก็ยังปรากฏชื่อว่า เงื้อมขนมเบื้อง ในกาลจบอนุโมทนา สามีและภรรยาทั้งสองบรรลุโสดาปัตติผล ถวายบังคมพระศาสดา ขึ้นบันไดที่ซุ้มประตูพระเชตวัน แล้วสถิตอยู่ที่ปราสาทของตน ตั้งแต่นั้นมาเศรษฐีได้บริจาคทรัพย์จำนวน ๘๐ โกฏิ ถวายในพระพุทธศาสนา. ในวันรุ่งขึ้นพระศาสดาตรัสสรรเสริญพระโมคคัลลานะแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เป็นภิกษุผู้กำราบ ไม่กระทบกระทั่งศรัทธา ไม่กระทบโภคะ ไม่ให้สกุลชอกช้ำ ไม่เบียดเบียนสกุล เข้าไปหาสกุลแล้ว ควรให้รู้พุทธคุณ แล้วตรัสพระคาถาดังนี้ว่าา ยถาปิ ภมโร ปุปฺผํ วณฺณวนฺตํ อเหฐยํ ปเลติ รสมาทาย เอวํคาเม มุนี จเร. มุนีพึงเที่ยวไปในบ้าน เหมือนแมลงภู่ไม่ยังดอก สี และกลิ่นให้ชอกช้ำ ถือเอาแต่รสแล้วบินไปฉะนั้น ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น พระศาสดา ครั้นตรัสพระธรรมเทศนานี้แล้ว เพื่อจะประกาศคุณของพระเถระ แม้ให้ยิ่ง จึงตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย โมคคัลลานะทรมานเศรษฐีผู้มีความตระหนี่ ในบัดนี้เท่านั้นก็หาไม่, แม้ในกาลก่อน เธอก็ทรมานเขาแล้ว ให้รู้ความเกี่ยวเนื่องกันแห่งกรรมและผลแห่งกรรมเหมือนกัน" เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนี้ ทรงนำอดีตนิทาน (มาสาธก) ตรัสอิลลีสชาดก นี้ว่า "คนทั้งสองเป็นคนกระจอก คนทั้งสองเป็นคนค่อม คนทั้งสองเป็นคนมีตาเหล่ คนทั้งสองมีต่อมบนศีรษะ, เราไม่รู้จักเศรษฐีชื่ออิลลีสะ (ว่า) คนไหน?" ดังนี้แล. |