[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ห้องวิปัสสนา - มหาสติปัฏฐาน 4 => ข้อความที่เริ่มโดย: sometime ที่ 20 พฤษภาคม 2553 15:51:18



หัวข้อ: ข้อคิดจากกำไลมือ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 20 พฤษภาคม 2553 15:51:18
(http://img535.imageshack.us/img535/6334/4444d.jpg)


(http://img695.imageshack.us/img695/4062/61926091.gif)

http://www.fungdham.com/download/song/allhits/17.wma



พระเจ้ากรุงพาราณสีพระองค์หนึ่ง เสด็จเข้าที่บรรทมในกลางวัน
ในคิมหสมัยและในพระราชสำนักของพระองค์นางวรรณทาสีกำลังบดจันทร์เหลืองอยู่ในแขนข้างหนึ่งของนางมีกำไลทองหนึ่งวงในแขนอีกข้าง
หนึ่งมีกำไลทองสองวงกระทบกันกำไลทองหนึ่งวงนอกนี้ไม่กระทบพระราชาทรงเห็นเหตุนั้นแล้วจึงทรงแลดูนางทาสีบ่อย ๆ พลางทรงพระราช -
ดำริว่า ในการอยู่เป็นหมู่ย่อมมีการกระทบกันในการอยู่คนเดียวย่อมไม่มีการกระทบเหมือนอย่างนั้นแล
โดยสมัยนั้นพระเทวีผู้ทรงประดับประดาด้วยเครื่องอลังการพร้อมสรรพ์ ประทับยืนถวายงานพัดอยู่ พระนางทรงดำริว่าพระราชาชะรอยจะมี
พระหทัยปฏิพัทธ์ในนางวรรณทาสี ทรงให้นางทาสีนั้นลุกออกไป ทรงปรารภเพื่อจะทรงบดด้วยพระองค์เองในพระพาหาทั้งสองข้างของพระนางมี
กำไลทองหลายวงกระทบกันเกิดเสียงดังมาก พระราชาทรงเอือมระอายิ่งขึ้น ทั้งที่บรรทมด้วยปรัศว์เบื้องขวา ทรงปรารภวิปัสสนาได้ทำให้แจ้งซึ่ง
พระปัจเจกโพธิญาณพระเทวีทรงถือจันทน์ เสด็จเข้าเฝ้าพระราชาพระองค์นั้นซึ่งบรรทมเป็นสุข ด้วยความสุขอันยอดเยี่ยม ทูลว่ามหาราชหม่อมฉัน
จะไล้ทา พระราชตรัสว่า ออกไป อย่าไล้ทา พระนางทูลว่าอะไร มหาราช ! พระราชาตรัสว่า เราไม่ใช่ราชา อำมาตย์ทั้งหลายฟังการสนทนานั้น
ของพระราชาและพระเทวีนั้น อย่างนั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้า พระราชาผู้อันอำมาตย์เหล่านั้นทูลเรียกด้วยวาทะว่า มหาราช จึงตรัสว่า นายเรา
ไม่ใช่ราชาบทที่เหลือเป็นเช่นกับ คำที่กล่าวแล้ว ในคาถาต้นนั้นแล ส่วนคาถาวัณณนามี ดังนี้ว่า....................................................
บุคคลแลดู กำไลทองสองอันงามผุดผ่องที่บุตรแห่งนายช่างทองให้สำเร็จด้วยดีแล้ว กระทบกันอยู่ในข้อมือ พึงเที่ยวไปผู้เดียว เหมือนนอแรด
ฉะนั้นดังนี้ ในบทเหล่านั้นบทว่า ทิสฺวาได้แก่แลดูแล้ว บทว่า สุวณฺณสฺส ได้แก่ ทองคำบาลีที่เหลือว่า วลฺยานิ เป็นคำที่นำมาเพิ่มเข้า เพราะอรรถ
ของคำที่เหลือมีเนื้อความอย่างนี้เหมือนกันบทว่า ปภสฺสรานิ ได้แก่ อันแพรวพราวเป็นปกติ อธิบายว่า มีแสงรุ่งเรืองบทที่เหลือเป็นบทมีอรรถ
ตื้นทั้งนั้น...........................................
ส่วนโยชนาดังนี้ว่า เราแลดูกำไรทองกระทบกันอยู่ในข้อมือ จึงคิดว่าเมื่อมีการอยู่เป็นหมู่ ย่อมมีการกระทบกันเมื่อมีการอยู่คนเดียว หากระทบ
กันไม่จึงปรารภวิปัสสนาได้บรรลุแล้วบทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล


หัวข้อ: Re: ข้อคิดจากกำไลมือ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 20 พฤษภาคม 2553 16:05:17
(http://img535.imageshack.us/img535/6334/4444d.jpg)

(http://img695.imageshack.us/img695/4062/61926091.gif)




พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 19



ชื่อว่า วินัย มี ๒ อย่าง ใน ๒ อย่างนี้

อย่างหนึ่ง ๆ แบ่งเป็น ๕ อย่าง ใน ๕ อย่างนั้น วินัยนี้ ท่านเรียกว่า วิเนติ ก็ด้วยวิธี๘ อย่างด้วยว่า วินัยนี้มี ๒ อย่าง คือ ....................

สังวรวินัย ๑

อสังวรวินัย ๑

ก็ในวินัย ๒ อย่างนี้ วินัยหนึ่ง ๆ แบ่งเป็น ๕ อย่าง ก็แม้สังวรวินัยนี้ก็มี ๕ อย่าง คือ............



๑.ศีลสังวร

๒.สติสังวร

๓.ญาณสังวร

๔.ขันติสังวร

๕.วิริยสังวร





.........................แม้ปหานวินัย ก็มี ๕ อย่าง คือ.......................




๑.ตทังคปหาน

๒.วิกขัมภนปหาน

๓.สมุจเฉทปหาน

๔.ปฏิปัสสัทธิปหาน

๕.นิสสรณปหาน.

ในสังวรวินัยทั้ง ๕ อย่างนั้นความสำรวมซึ่งมาแล้วในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า ภิกษุเป็นผู้เข้าถึง เป็นผู้เข้าถึงพร้อมแล้วด้วยปาฏิโมกขสังวรนี้ชื่อว่า

ศีลสังวร


หัวข้อ: Re: ข้อคิดจากกำไลมือ
เริ่มหัวข้อโดย: sometime ที่ 20 พฤษภาคม 2553 16:15:34
(http://img535.imageshack.us/img535/6334/4444d.jpg)

(http://img695.imageshack.us/img695/4062/61926091.gif)



พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๕ - หน้าที่ 20



ความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมรักษาจักขุนทรีย์ ย่อมถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์ ชื่อว่า สติสังวร
ความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลายเป็นต้นว่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อน อชิตะ กระแส (กิเลส) เหล่าใดมีอยู่ในโลกสติเป็นเครื่องกั้น
กระแสเหล่านั้น เราเรียกเครื่องกั้นกระแสทั้งหลายว่า สังวร กระแสเหล่านั้น อันบุคคลย่อมกั้นเสียได้ด้วยปัญญาดังนี้............................
ชื่อว่าญาณสังวรความสำรวมซึ่งมาแล้ว ในคำทั้งหลายเป็นต้นว่าภิกษุย่อมอดทนต่อความหนาวต่อความร้อนดังนี้ชื่อว่าขันติสังวรความสำรวมซึ่งมา
แล้วในคำทั้งหลายเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมยับยั้ง คือว่าย่อมละ ย่อมบรรเทากามวิตกที่บังเกิดขึ้นแล้วดังนี้ พึงทราบว่า วิริยสังวรก็ความสำรวมนี้แม้ทั้ง
หมดท่านเรียกว่าสังวรก็เพราะสำรวมระวังกายทุจริต และวจีทุจริต เป็นต้นที่จะพึงสำรวมระวัง เรียกว่า วินัยเพราะกำจัดกายทุจริต และวจีทุจริต
เป็นต้นที่จะพึงกำจัดตามความเป็นจริง.สังวรวินัย พึงทราบว่า แบ่งเป็น ๕ อย่าง อย่างนี้ก่อนอีกอย่างหนึ่ง การสืบต่อสันดานที่ไม่มีประโยชน์อันใด
เป็นไปอยู่
ในองค์แห่งวิปัสสนาทั้งหลาย มีนามรูปปริเฉท (การกำหนดรู้นามรูป) เป็นต้นด้วยอำนาจที่ยังละตนไม่ได้อยู่เพียงใด การละสันดานที่ไม่มี
ประโยชน์นั้น ๆ ด้วยญาณนั้น ๆ ก็ย่อมมีอยู่เพียงนั้น



http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=7star (http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=7star)


หัวข้อ: Re: ข้อคิดจากกำไลมือ
เริ่มหัวข้อโดย: เงาฝัน ที่ 20 พฤษภาคม 2553 17:46:30

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/638/31638/images/main/mok/2688534410.jpg)

 ๑๖๕ อตฺตนาว กตํ ปาปํ   
อตฺตนา สงฺกิลิสฺสติ
อตฺตนา อกตํ ปาปํ     
อตฺตนาว วิสุชฺฌติ
สุทฺธิ อสุทฺธิ ปจฺจตฺตํ   
นาญฺโญ อญฺญํ วิโสธเย ฯ ๑๖๕ ฯ

ตนทำบาปเอง ตนก็เศร้าหมองเอง   
ตนไม่ทำบาปตนก็บริสุทธิ์เอง
ความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์เป็นของเฉพาะตน   
คนอื่นจะให้คนอื่นบริสุทธิ์แทนไม่ได้

By oneself is evil done, 
By oneself does one get defiled.
By oneself is evil left undone, 
By oneself is one purified.
Purity or impurity depends on oneself, 
No one can purify another.  

(http://www.oknation.net/blog/home/blog_data/825/23825/images/flower/mok1.jpg)

อนุโมทนาสาธุธรรมค่ะ น้อง "บางครั้ง"