[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ห้องสมุด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 15:06:47



หัวข้อ: พิธีสตี - เผาตัวตายตามสามี บนเกาะบาหลี
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 21 พฤศจิกายน 2565 15:06:47
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/66815557951728_sti_696x510_Copy_.jpg)
หญิงกำลังกระโจนลงกองเพลิงตายตามสามี
ภาพจาก วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พิธีสตี บนเกาะบาหลี

คำว่า "สตี" เป็นภาษาสันสกฤต แปลว่า “ภรรยาผู้ซื่อสัตย์” การเป็นสตรีผู้ทรงคุณความดีนั้นต้องซื่อสัตย์ต่อสามีอย่างสูง และต้องเมตตากรุณาต่อญาติพี่น้อง

พิธีสตี หมายถึงประเพณีการทำศพของชาวฮินดู เป็นการบูชายัญตนเองของหญิงหม้ายในพิธีศพของสามี บางครั้งเต็มใจ แต่บางครั้งก็ถูกคนอื่นบังคับ เข้าใจว่ามีมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ไม่ต่ำกว่า ๑,๕๐๐ ปี ก่อนคริสต์ศักราช โดยปรากฏอยู่ในคัมภีร์ฤคเวท ตำราทางศาสนาที่เก่าแก่ที่สุดในโลก

ในคัมภีร์ฤคเวทมณฑลที่ ๑๐ บทสวด (สูกตะ) ที่ ๑๘ กล่าวถึงพิธีศพของชาวอารยัน มีข้อความที่ชี้ให้เห็นว่าสตรีที่สามีตายจะนอนเคียงข้างศพสามีบนเชิงตะกอน นอกจากนี้มีข้อความในบทสวดเดียวกันนั้นว่า “ขออย่าให้สตรีเหล่านี้กลายเป็นหญิงม่าย ขอให้ภรรยาที่ดี ผู้ตกแต่งร่างกายด้วยน้ำมัน และถือน้ำมันเนย จงสังเวยตนเองแด่พระอัคนี ขอให้สตรีผู้เป็นอมตะ ผู้ไม่ไร้บุตรและสามี ผู้ประดับกายด้วยรัตนาภรณ์ จงเข้าไปในไฟซึ่งมีน้ำเป็นแหล่งกำเนิด” (ฤคเวท ๑๐.๑๘.๗)

หญิงหม้ายที่ทำพิธีสตรีนี้จะถูกยกย่องให้เป็นราณีสตีเทวี และเรียกพื้นที่ที่ประกอบพิธีว่า สตีสถล (สตีสะถะละ) แล้วสร้างโบสถ์หรือวัดเพื่อให้ประชาชนกราบไหว้บูชาต่อไป


พิธีสตี บนเกาะบาหลี

เรื่องพิธีสตีนี้ โดยมากกล่าวว่าเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย ความจริงเหตุการณ์ของพิธี ”สตี” มีในเมืองบาหลีมาแต่ครั้งโบราณ หลักฐานปรากฏใน "คำให้การจีนกั๊ก เรื่องเมืองบาหลี" หนังสือประชุมพงษาวดารภาคที่ ๗ พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร ปีมเมีย พ.ศ.๒๔๖๑  ซึ่งเป็นหนังสือที่น่าอ่านในทางศึกษาโบราณคดี

บนเกาะบาหลี มีผู้นับถือศาสนาฮินดูเป็นหลักและรับเอาวัฒนธรรมจากอินเดียเป็นอันมากมารวมกับวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น และนำไปปฏิบัติอย่างแพร่หลาย แตกต่างจากบริเวณอื่นของประเทศอินโดนีเซียที่นับถือศาสนาอิสลาม

คำให้การจีนกั๊ก เรื่องเมืองบาหลีนั้น คือ เมื่อปีมะเมีย จุลศักราช ๑๒๐๘ หรือ พ.ศ.๒๓๘๙ ในรัชกาลที่ ๓ พระยาสวัสดิวารี แต่งสำเภาจีน ให้จีนกั๊กเป็นนายเรือไปค้าขายที่เมืองบาหลี อยู่ทางใต้ใกล้กับเกาะชวา เมื่อจีนกั๊กกลับมาถึงกรุงเทพฯ จึงโปรดให้ถามจีนกั๊กเพื่อจะได้ทรงทราบภูมิประเทศ การงานบ้านเมือง ตลอดระยะทางที่ไปมา แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สั่งให้นำคำให้การจีนกั๊กให้กรมพระอาลักษณ์จำลองไว้ที่โรงอาลักษณ์ (หมายถึง จดคำให้การไว้ในราชการ ซึ่งสมัยนั้นยังไม่มีการพิมพ์ ต้องใช้วิธีชุบหมึกเขียนด้วยอาศัยลายมือ)

ในคำให้การของจีนกั๊ก ได้เล่าถึงพิธีศพของชาวบาหลี ว่า ถ้าขุนนางตายใส่โลงเหมือนกับคนไทย ไว้ศพเดือน ๑ บ้าง ๒ เดือนบ้าง ๓ เดือนบ้าง ๔ เดือนบ้าง ๕ เดือนบ้าง ปีหนึ่งบ้าง    แล้วมีคนนุ่งขาวห่มขาวอยู่พวกหนึ่ง ประมาณ ๕๐-๖๐ คน  เป็นคนไม่มีภรรยา  เจ้าเมืองเลี้ยงให้กิน จะเป็นชาวบาหลีบวช หรือเป็นพวกพราหมณ์อย่างไรไม่ทราบ  ถ้าเจ้าเมืองออกว่าราชการงานเมือง คนนุ่งขาวห่มขาวพวกนี้ไปนั่งเป็นที่ปรึกษาและสำหรับเขียนหนังสืออยู่ด้วย เพลาละ ๒ คนบ้าง ๔ คนบ้าง  ถ้าเจ้าเมืองจะไปไหน คนนุ่งขาวห่มขาวพวกนี้นำหน้าไป ๒ คนบ้าง ๔ คนบ้างทุกครั้ง  

เมื่อขุนนางและชาวบ้านตายก็ไปเรียกคนพวกนี้มาสวดเพลาบ่ายวันละ ๓ คนเสมอทุกวัน  แล้วบุตรภรรยาพี่น้องผู้ตายเอากำยานไปเผา เอาดอกไม้ไปวางข้างโลง แล้วเอาข้าวไปเซ่นทุกวันจนกว่าจะเผา  เมื่อกำหนดจะเผานั้นบรรดาพวกญาติพี่น้องเอาไม้ไผ่มาทำเป็นร้านม้าขึ้น ๓ ชั้น  ชั้นล่างเอาผ้าขาวปิด  ชั้น ๒ ชั้น ๓ เอาแผงกรุแล้วเอากระดาษสีปิดทับ เอาสำลีย้อมสีแดง สีเขียว สีเหลือง สีน้ำเงิน สีขาว รวม ๕ สี กับทองอังกฤษมาติดทำเป็นลายดอกไม้หรือลายริ้วต่างๆ   หลังคาเป็นหลังเจียดดาดผ้าขาวมีดอกไม้สดห้อยคล้ายๆ กับเครื่องศพไทย   โลงนั้นเอาผ้าขาวปิด มีปี่พาทย์เหมือนกับเล่นละคร ตีไปบนร้านม้า  ชั้นล่างมีคนหาม  ถ้าร้านใหญ่คนหาม ๕๐-๖๐ คน  ถ้าร้านม้าเล็กคนหาม ๒๐-๓๐ คน  ดอกไม้ทำด้วยทองอังกฤษ คนถือแห่หน้าศพประมาณ ๒๐-๓๐ คน  มีคนนุ่งขาวห่มขาว ๔ คน ถือขันเงินใส่ข้าวตอกดอกไม้ โปรยไปตามทาง  บุตรภรรยาญาติพี่น้องตามไปข้างหลัง  

แต่ภรรยาที่จะตายตามผัวนั้น นุ่งขาวหุ่มขาว ไปถึงที่เผาเป็นที่ว่างเปล่า แล้วพูนดินขึ้นสูงศอกเศษ รื้อเอาเครื่องศพทำพื้น แล้วขุดหลุมเผาเคียงที่เผาศพสามี ยาว ๔ ศอก กว้าง ๔ ศอก ลึก ๓ ศอก ๔ เหลี่ยม  เอาไม้ไผ่พันผ้าชุบน้ำมันมะพร้าวใส่ไว้ให้เต็มหลุม แล้วผู้ที่จะตายตามนั้นมีหนังสือไปบอกเจ้าเมืองใหญ่ว่าจะขอตายตามผัว  เจ้าเมืองมีหนังสือห้ามมาว่าเขาตายแล้วก็แล้วไปเถิดอย่าตายตามเขาเลย ครั้งหนึ่ง สองครั้ง หญิงผู้ที่จะตายนั้นไม่ฟัง จึงมีหนังสือไปบอกอีกครั้ง เป็นสามครั้ง เจ้าเมืองจึงมีหนังสือมาว่า ห้ามไม่ฟังแล้ว มีน้ำใจรักใคร่ผัว จะตายกับผัวได้ก็ตายเถิด   คนนุ่งขาวห่มขาวเหมือนพราหมณ์ ๔ คนจึงเอาไฟจุดเผาศพผู้ตายก่อน แล้วจึงจุดไฟในหลุมด้วย  ญาติพี่น้องจึงเอาผ้าพันไม้บ้าง ด้ายพันไม้บ้าง ชุบน้ำมันมะพร้าว จุดไฟเผาติดพร้อมแล้ว หญิงภรรยาที่จะตายนั้น อำลาบิดามารดาญาติพี่น้องแล้วก็โจนลงในหลุมตายไปด้วยกัน  ดอกไม้ทองอังกฤษที่แห่ศพไปนั้น ก็ทิ้งเข้าไปในไฟเผาเสียด้วย

รุ่งเช้าญาติพี่น้องชวนกันไปเก็บกระดูกใส่ขันเงินคนละขันทั้งสองคน เอามาไว้ที่เรือน เซ่นข้าว ๓ เพลา ทั้งเช้า กลางวัน เย็น ครบหนึ่งเดือนแล้ว จึงไปหาคนนุ่งขาวหุ่มขาว ๔ คนมาแห่เอากระดูกไปทิ้งที่ทะเล

หญิงที่จะตายตามผัวได้นั้น ที่เป็นภรรยาเจ้าเมือง ปลัดเมือง ถ้าผัวตายแล้วจะมีผัวอีกไม่ได้ ถ้ามีผัวอีกญาติที่น้องข้างผัวที่ตายไปร้องฟ้องแก่เจ้าเมือง  เจ้าเมืองทำโทษ บางทีฆ่าเสียบ้าง ขายเสียบ้าง  ภรรยาที่ไม่มีบุตรนั้นจะมีผัวอีกก็ไม่ได้เหมือนกัน จึงต้องไปตายเสียกับผัว  บางทีมีหนังสือไปบอกเจ้าเมืองว่าจะตายตามผัว เจ้าเมืองมีหนังสือห้ามครั้งหนึ่งบ้าง สองครั้งบ้าง ฟังคำเจ้าเมืองที่ไม่ตายตามผัวก็มี  หญิงภรรยาไพร่บ้านพลเมืองนั้นไม่ต้องตายตามผัว ผัวตายแล้วจะผัวอีกก็ได้ ไม่มีโทษ.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/28961254946059_315647467_1518481125334229_897.jpg)