หัวข้อ: วัดราชโอรสฯ ที่รัชกาลที่ 3 ทรงผูกพันถึงกับรับสั่งว่า “ตายแล้ว” จะมาอยู่ที่นี้ เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 22 พฤศจิกายน 2565 20:21:52 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/74692949818240__696x439_Copy_.jpg) ต้นพิกุล วัดราชโอรสฯ ที่เรื่องเล่าวว่า รัชกาลที่ 3 เคยรับสั่งว่า “ตายแล้ว” จะมาอยู่ที่นี้ (ภาพจาก www.matichonacademy.com) วัดราชโอรสฯ ที่รัชกาลที่ 3 ทรงผูกพันถึงกับรับสั่งว่า “ตายแล้ว” จะมาอยู่ที่นี้ ผู้เขียน - คนไกล วงนอก เผยแพร่ - ศิลปวัฒนธรรม วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ.2565 รัชกาลที่ 3 ทรงมีความผูกพันกับวัดราชโอรสฯ หรือวัดจอมทอง ตั้งแต่ครั้งดำรงพระอิสริยยศเป็น กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ จนมีเรื่องเล่ากันว่า พระองค์เคยมีรับสั่งว่า “ถ้าข้าตายแล้ว ข้าจะมาอยู่ที่ต้นพิกุล [ที่วัดแห่ง] นี้” วัดราชโอรสฯ เป็นวัดเก่าของชุมชนดั้งเดิมที่มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา ในพระราชพงศาวดารระบุว่า “เป็นวัดข้าหลวงเดิมได้ทรงกระทำมาแต่ยังเป็นกรมอยู่” หมายความว่า รัชกาลที่ 3 ทรงปฏิสังขรณ์วัดเก่านี้ตั้งแต่ พ.ศ.2360 เมื่อยังดำรงพระยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ครั้งสร้างวัดเสร็จแล้วโปรดให้มีงานฉลองเมื่อ พ.ศ.2374 การบูรณะปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ ในแต่งกลอนเพลงยาวสรรเสริญพระเกียรติฯ ที่เสมียนมีแต่งทูลเกล้าฯถวายรัชกาลที่ 3 ตอนหนึ่งกล่าวถึงการสร้างวัดราขโอรสฯไว้ว่า วัดไหนไหนก็ไม่ลือระบือยศ เหมือนวัดราชโอรสอันสดใส เป็นวัดเดิมเริ่มสร้างไม่อย่างใคร ล้วนอย่างใหม่ทรงคิดประดิษฐ์ทำ ทรงสร้างด้วยมหาวิริยาธึก โอฬารึกพร้อมพริ้งทุกสิ่งขำ ล้วนเกลี้ยงเกลาเพราเพริศดูเลิศล้ำ ฟังข่าวคำลือสุดอยุธยา จะรำพันสรรเสริญก็เกินสมุด ขอยกหยุดพองามตามเลขา กำหนดสร้างพระอาวาสโดยมาตรา ประมาณช้านับได้สิบสี่ปี [สั่งเน้นคำโดยผู้เขียน] สาระสําคัญในกลอนเพลงยาวๆ นี่กล่าวถึง “วัดราชโอรสฯ” เป็น “วัดเดิมเริ่มสร้าง” ที่ใช้เวลาในการก่อสร้างทั้งหมด “สิบสี่ปี” ที่ว่า “เป็นวัดเดิมเริ่มสร้างไม่อย่างใคร” นั้น การทรงสร้างวัดราชโอรสฯ ชั้นเดิมมิได้เกี่ยวข้องแก่ราชการ จึงทรงพระราชดําริเปลี่ยนแปลงแบบอย่างสร้างตามพอพระราชหฤทัย มักเอากระบวนแบบอย่างจีนมาใช้มาก แต่สร้างโดยฝีมืออันประณีต พ.ศ.2363 การก่อสร้างวัดราชโอรสฯ ยังไม่แล้วเสร็จ รัชกาลที่ 2 โปรดให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ยกกองทัพไปขัดตาทัพรอพม่าที่เมืองกาญจนบุรี เมื่อพม่าไม่ยกทัพเข้ามา จึงเสด็จยกทัพกลับเมื่อ พ.ศ.2364 พ.ศ.2365 จอห์น ครอว์เฟิร์ด ได้เห็นการก่อสร้างวัดราชโอรสฯ แล้วมีบันทึกลงวันที่ 22 เมษายน พ.ศ.2365 ว่า “ตามบรรดาวัดที่เราได้เห็นมาแล้วในกรุงเทพฯ ไม่มีวัดไหน จะทําด้วยฝีมือประณีตงดงามเท่าวัดนี้ ขณะที่เราไปนั้นวัดกําลังก่อสร้างอยู่ เราได้มีโอกาสเห็นลําดับแห่งการก่อสร้าง เช่น องค์พระประธานก็เห็นหล่อขึ้นแล้ว แต่บางส่วนวางเรียงรายอยู่ในโรงงานแห่งหนึ่ง รอไว้ประกอบเมื่อภายหลัง ได้ทราบว่าโลหะที่ใช้ในการนี้ คือ ดีบุก สังกะสี ทองแดง เจือด้วยธาตุอื่นๆ อีกบ้างโดยไม่มีส่วนที่แน่นอนเพราะจักเป็นการยากอยู่บ้างที่จะกําหนดส่วน เมื่อใครๆ ก็มาทําบุญหยอดโน่นหยอดนี่ลงไปตามแต่จะศรัทธาไม่มีการห้ามหวง องค์พระที่หล่อขึ้นเป็นตอนๆ นี้ข้างในกลวง เนื้อหนาประมาณ 2 นิ้ว (ฟุต) เวลาเอาออกจากพิมพ์ดูขรุขระ แต่ข้อนี้ไม่สําคัญ เพราะถึงอย่างไรก็จะต้องลงรักปิดทองอีกชั้นหนึ่ง พระพุทธรูปองค์นี้จะทําเป็นพระนั่ง หน้าตัก 10 ฟิต ซึ่งถ้าจะทําเป็นพระยืนก็จะสูงถึง 22 ฟิต แผนผังวัดก็คล้ายๆ กับวัดอื่น ๆ คือเป็นรูปสี่เหลี่ยม ตึกกลาง (คือโบสถ์) ซึ่งจะไว้พระประธานเป็นห้องเดียวแต่ใหญ่งาม เห็นมีแท่นรองที่จะประดิษฐานพระประธานอยู่แล้ว ทําด้วยหินอ่อนจีนสลักภาพต้นไม้และสัตว์ หลังคาโบสถ์ดูแปลกแต่ใช่ว่าไม่งาม ใช้กระเบื้องซึ่งเคลือบน้ำยาเขียว บริเวณรอบๆ โบสถ์เป็นสวน ปลูกต้นไม้ประดับและต้นไม้ผล กุฎิพระเป็นแบบใหม่ เพราะแทนที่จะเป็นเครื่องไม้ กุฏิในวัดนี้ก่อเป็นตึกหมด ใช้อิฐฉาบปูน ทําให้รู้สึกว่าเหมือนบ้านเรือนน้อยๆ ในประเทศอังกฤษ กุฏิเหล่านี้ อยู่รวมกันในด้านหนึ่งแห่งพื้นที่บริเวณวัด มีอยู่ 50 หลังด้วยกัน เรียงเป็นแถว ที่ปลายแถวเป็นกุฏิเจ้าคณะ ใหญ่กว่ากุฏิอื่นๆ” [จัดย่อหน้าใหม่และสั่งเน้นคำโดยผู้เขียน] จากบันทึกของครอว์เฟิร์ด จะเห็นว่าเมื่อ พ.ศ. 2365 งานก่อสร้างดําเนินต่อเนื่องไปมากแล้ว และกําลังคืบหน้าไปเรื่อยๆ การก่อสร้างที่ต้องใช้ถึง 14 ปี ส่วนหนึ่งจึงเป็นไปเพื่อสร้างสรรค์ศิลปสถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่ไม่เคยมีการทํามาก่อน ดังกลอนเพลงยาวของเสมียนมีที่ว่า “เป็นวัดเดิมเริ่มสร้างไม่อย่างใคร” ส่วนรายละเอียดความงามนั้น กลอนเพลงยาวยอพระเกียรติรัชกาลที่ 3 ที่พระยาไชยวิชิต (เผือก) แต่งทูลเกล้าฯ ให้รายละเอียดไว้ ตามที่ได้ยกมาตอนหนึ่งดังนี้ อันวัดวาอาวาสประหลาดสร้าง ยักย้ายหลายอย่างโบสถ์วิหาร ช่อฟ้าหางหงส์ทรงบุราณ ไม่ทนทานว่ามักจะหักพัง พระอารามนามราชโอรส หน้าบันชั้นลดลายฝรั่ง …………. ……….. แท่นศิลาน่านั่งบริกรรม บําเพ็ญธรรมกรรมฐานที่ศูนย์ พระศรัทธาเป็นเดิมเพิ่มพูน ยกหนุนศาสนาสารพัด เหลือมนุษย์สุดสร้างได้อย่างนี้ เป็นยอดทานบารมีโพธิสัตว์ พวกผู้ดีได้อย่างไปสร้างวัด เป็นทรงนอกออกอัดทุกวันมา [สั่งเน้นคำโดยผู้เขียน] แสดงว่าในมุมของงานศิลปสถาปัตยกรรม ไม่ว่าจะป็นความแปลกใหม่ ความงามของวัดราชโอรสฯ คงเป็นที่ยอมรับในจึงเป็นเหตุให้ “พวกผู้ดีได้อย่างไปสร้างวัด เป็นทรงนอกออกอัดทุกวันมา” นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ความผูกพัน” ของรัชกาลที่ 3 กับวัดราชโอรสฯ ว่าในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่นั้น มักเสด็จมาที่วัดราชโอรสฯ เป็นประจํา ทั้งนี้ คงเป็นเพราะทรงมีความเคารพเลื่อมใส และคุ้นเคยกับพระสุธรรมเทพเถร (ทอง) ผู้เป็นเจ้าอาวาสเป็นพิเศษ อีกทั้งทรงมีความผูกพันกับวัดที่พระองค์ทรงสถาปนาขึ้นใหม่ บางครั้งเสด็จมาในเวลาค่ำๆ ให้มหาดเล็กพายเรือเลียบไปตามแนวลําคลองและคูของวัดซึ่งมีกุฏิเรียงราย หากทอดพระเนตรแสงไฟและทรงสดับเสียงท่องบ่นสาธยาย ก็จะทรงให้หยุดเรือพระที่นั่ง และทรงให้เคาะหน้าต่าง เมื่อพระภิกษุโผล่ออกมาก็จะทรงเอาน้ำมันมะพร้าวถวาย หากผ่านไปกุฏิใดไม่มีแสงไฟและเสียงท่องหนังสือก็จะเสด็จผ่านไป เหตุการณ์เช่นนี้มีอยู่เสมอ ทั้งยามว่างจากราชกิจก็มักจะพาผู้ใกล้ชิดมาพักผ่อน นมัสการสนทนากับเจ้าอาวาส พายเรือเล่นรอบๆ วัด รอบๆ เกาะเป็นที่สนุกสนาน (หนังสือวัดราชโอรสฯ : 2525 : หน้า 137) นอกจากนี้ยังมีคำบอกเล่าเกี่ยวกับพระแท่นที่ประทับโคนต้นพิกุลในบริเวณโบสถ์วัดราชโอรสฯ อีกเรื่องหนึ่งดังนี้ (หนังสือวัดราชโอรสฯ : 2525: หน้า 51-52) ในบริเวณกําแพงแก้วที่ลานมุมซ้ายด้านหน้าโบสถ์มีต้นพิกุลใหญ่ต้นหนึ่งเล่ากันมาว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะดํารงพระอิสริยยศเป็นกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ เมื่อเสด็จมาคุมงานก่อสร้าง หรือตรวจงานก่อสร้างหรือเสด็จประพาสวัดนี้ จะเสด็จประทับบนพระแท่นหินที่วางอยู่โคนต้นพิกุลนี้เป็นประจํา และเคยมีรับสั่งว่า “ถ้าข้าตายแล้ว ข้าจะมาอยู่ที่ต้นพิกุลนี้” |