[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ตลาดสด => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 24 มกราคม 2566 19:41:31



หัวข้อ: ค้าช้างส่งไปอินเดีย
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 มกราคม 2566 19:41:31
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/41350151929590_1_Copy_.jpg)
มิสเตอร์ริดซันมาซื้อช้าง
ภาพ : ครูเหม เวชกร


ค้าช้างส่งไปอินเดีย

ในสยามประเทศมีช้างชุมตั้งแต่เหนือจดใต้มาตั้งแต่สมัยโบราณ ดั้งเดิมทีเดียวช้างเป็นสัตว์ป่าอย่างเดียวกับเสือ แต่ว่ามีประโยชน์กว่าเสือที่เอามาหัดใช้งานได้ ช้างจึงถือเหมือนของหลวง คือ หลวงจับมาใช้ในราชการ เช่น เข้ากองทัพ ส่วนราษฎรจะจับต้องขออนุญาต ผิดกับเสือ ซึ่งใครอยากจับก็จับได้ไม่ต้องขออนุญาต เมื่อราษฎรได้รับอนุญาตแล้ว ก็จับช้างมาใช้งานหรือขายเป็นสินค้าก็ได้ ในสมัยสุโขทัยมีปรากฏในศิลาจารึกว่า "ใครใคร่ค้าช้างค้า" แสดงว่าจับช้างขายได้ แต่จะต้องขออนุญาตหรือไม่ ไม่บอก

ในสมัยอยุธยาตอนต้น จะค้าช้างกันอย่างไร ขายส่งไปที่ไหนไม่ปรากฏ มารู้แน่ชัดเอาในสมัยแผ่นดินพระนารายณ์ ว่าส่งช้างไปขายที่อินเดียมาก วิธีส่ง ส่งออกทางเมืองมะริด คือ มีกำปั่นซึ่งว่าเป็นของพระนารายณ์บรรทุกช้างไป อังกฤษคนหนึ่งชื่อ ยอร์ชไวท์ ที่พาคอนสแตนติน ฟอลคอน มาจนได้เป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ เป็นนายกำปั่น บรรทุกไปคราวละประมาณ ๑๔ ถึง ๒๖ เชือก นายคนนี้มีความสามารถในเรื่องบรรทุกช้างมาก เพราะช้างมักจะอาละวาด คอยแทงข้างเรือกำปั่นจนทะลุก็มี อินเดียต้องการช้างไปเข้ากองทัพเสมอ และซื้อช้างไทยมากที่สุด

ต่อจากสมัยพระนารายณ์ถึงแผ่นดินขุนหลวงท้ายสระ ก็โปรดฯ ให้ต่อกำปั่นใหญ่ในกรุง แล้วส่งไปเมืองมะริด ไปบรรทุกช้างที่นั่น ๓๐ ตัว ส่งไปขายที่อินเดีย ต่อมาก็คงจะส่งไปเรื่อยๆ เพราะลงทุนถึงกับต่อกำปั่นใหญ่อย่างนั้นแล้ว จะส่งไปคราวเดียวก็ดูจะไม่คุ้มกัน การค้าช้างน่าจะทำมาจนสิ้นสมัยอยุธยา

ขึ้นสมัยรัตนโกสินทร์ก็ค้าช้างอีก คราวนี้ปรากฏว่าส่งออกทางเมืองตรัง ไปขายที่อินเดียเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๒ ความจริงอินเดียก็มีช้างมาก แต่คงจะไม่ได้จับกัน หรือว่าซื้อจากเมืองไทยถูกกว่าก็ไม่ทราบ จะซื้อช้างไทยไปใช้เสมอ

ถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ปี พ.ศ.๒๓๘๑ มิสเตอร์ริดซัน (ไทยเรียก ฤทธิ์สชอน) ถืออักษรสาส์น หลอดแอมเฮอร์สต์ สำเร็จราชการเมืองบังกล่า มาขอทำสัญญาซื้อช้าง นายริดซันเดินทางบกมา เจ้าเมืองเมาะตำเลิม (คือ เมาะลำเลิง หรือ มะละแหม่ง) ให้เจ้าเมืองตระกราน คุมมอญพม่าเป็นพาหนะเข้ามาด้วย ๑๐๐ คน เข้ามาทางเมืองกาญจนบุรี มาหาพระยาราชบุรี แล้วมาเมืองนครไชยศรี จะข้ามแม่น้ำนครไชยศรีเข้ามากรุงเทพฯ เจ้าเมืองนครไชยศรีบอกว่าทางช้างเดินไม่ได้ เพราะเป็นพลุเป็นหลุมร่องสวน นายริดซันว่า พวกมอญบอกว่าไปได้ เจ้าเมืองนครไชยศรีว่า ไปได้แต่คนเดินเท้า ถ้าจะเอาช้างไปก็ต้องเดินอ้อมขึ้นทางกรุงเก่า ขืนไปทางนครไชยศรีช้างติดหล่มไม่รู้ด้วย ถ้าไปเรือจะจัดส่งให้นายริดซันเลยลงเรือมา

นายริดซันมาพักกับนายห้างหันแตร ที่ตึกหน้าวัดประยูรวงศ์ ได้พบกับเจ้าพระยาพระคลัง แจ้งเรื่องที่เข้ามา เจ้าพระยาพระคลังตอบว่าแผ่นดินสยาม ช้าง ม้า โค กระบือ เป็นกำลังราชการแผ่นดิน และศึกสงครามมีมาได้อาศัย จะปล่อยให้ลูกค้าซื้อออกไปแล้วบ้านเมืองก็จะร่วงโรยเสียถอยกำลังไป ก็เป็นอันว่าไม่ได้ทำสัญญากัน และการส่งช้างออกอย่างที่เคยทำมาก็คงจะเลิกมาตั้งแต่ครั้งนั้น

ส่วนการรับรองนายริดซันจัดทำอย่างรับทูต ซึ่งเป็นการให้เกียรติยศอย่างสูง นายริดซันได้เข้าเฝ้าออกใหญ่ ณ พระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัย ถวายเครื่องราชบรรณาการ มีถ้ำมองทำด้วยกระดาษเขียนเป็นแผนที่เมืองลอนดอน หีบเพลง ขวดปักดอกไม้ ขวดกระเบื้อง ขวดแก้วเจียระไนต่างๆ พรมวิลาศต่างๆ กับมีของถวายเจ้านายและให้ขุนนางผู้ใหญ่ ของหลวงพระราชทานตอบแทน มีช้างพลายสูง ๕ ศอก เครื่องพร้อมสัปคับถักลวดเขียนลายรดน้ำ ของ้าว ฯลฯ กรมหลวงรักษ์รณเรศ เจ้าพระยาบดินทร์ เจ้าพระยาพระคลัง ตอบแทนช้างพลายสูง ๔ ศอกเศษ ท่านละ ๑ ตัวเหมือนกัน รวมเป็นช้างพลาย ๔ ตัว

นายริดซันกับบริวารพม่ามอญ เดินตัดไปทางเมืองสุพรรณบุรี ไปออกด่านอุทัยธานี


-------------------------------------------
หมายเหตุ...ได้คงคำสะกดไว้ตามคำบรรยายของขุนวิจิตรมาต

มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)