หัวข้อ: แหม่มมะตูนตั้งโรงเรียนสอนเด็กไทยในบ้าน เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 31 มกราคม 2566 13:04:03 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/38032999717526_2_Copy_.jpg) แหม่มมะตูนตั้งโรงเรียนสอนเด็กไทยในบ้าน ภาพ : ครูเหม เวชกร แหม่มมะตูนตั้งโรงเรียนสอนเด็กไทยในบ้าน พวกมิชชันนารีอเมริกันที่เข้ามาเมืองไทย ในสมัยรัชกาลที่ ๓ นั้น นอกจากมาสอนศาสนาคริสต์โดยตรง กับมาช่วยรักษาภัยไข้เจ็บและเผยแพร่วิชาความรู้ใหม่ๆ ต่างๆ แล้ว ยังดำเนินงานในทางศึกษาอีกอย่างหนึ่ง คือสอนหนังสือแก่เด็ก งานสอนหนังสือนี้ สตรีในคณะมิชชันนารีเป็นผู้เริ่มก่อน สตรีในคณะมิชชันนารีโดยมากเป็นภรรยาของมิชชันนารีชาย เข้ามากับสามี แต่บางคนเป็นนางสาวก็มี การที่สตรีเริ่มสอนหนังสือขึ้นก่อน ก็คงจะเป็นเพราะงานนี้เหมาะสำหรับสตรี เมื่อเข้ามาเมืองไทยได้อยู่กับบ้านเป็นประจำ ผิดกับมิชชันนารีชายที่ต้องออกเที่ยวไปในที่ต่างๆ ก็เป็นโอกาสที่จะสอนหนังสือแก่เด็กๆ ได้เหมาะดี มิชชันนารีหญิงคนแรกที่เข้ามาเมืองไทย คือ แหม่มนีเวลล์ (คงจะเป็นนางละเวงในพระอภัยมณีของสุนทรภู่) เป็นภรรยาของหมอกิศลับ (ชารลส์ กุตสลัฟฟ์) ซึ่งออกไปแต่งงานที่สิงคโปร์ แล้วพาเข้ามาเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๓ แหม่มนีเวลล์เรียนรู้ภาษาไทยดี ช่วยสามีแปลพระคัมภีร์ไบเบิลเป็นไทย แต่นางคลอดบุตรถึงแก่กรรม คนที่สองคือ แหม่มโยนส์ ภรรยาหมอยอน เข้ามาเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๕ คนที่ ๓ คือ แหม่มปลัดเล ภรรยาหมอปลัดเล (บรัดเลย์) เข้ามาเมื่อ พ.ศ.๒๓๗๘ (ตาย พ.ศ.๒๓๘๘) คนที่สี่ คือ แหม่มดาเวนปอร์ต เข้ามากับหมอโรเบิตดาเวนปอร์ต สามี เมื่อ ๒๓๗๙ แหม่มดาวเวนปอร์ตเป็นคนแรก ที่เริ่มตั้งโรงเรียนในบ้านสอนภาษาไทยและอังกฤษในบ้าน คนต่อมาคือนางสาวเอ็ม.อี.เพียรส์ เข้ามาเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๓ ได้แต่งโรงเรียนแบบโรงเรียนกินนอนขึ้นเป็นครั้งแรก แต่สมัยนั้นไทยยังไม่นิยมการเรียนหนังสือนัก เด็กชายส่วนมากถ้าเรียนหนังสือก็เรียนกับพระสงฆ์ที่วัด เมื่อรู้มากพอสมควรก็มาทำงานเลี้ยงชีพตามสกุลของตนที่มีอาชีพอย่างนั้นๆ เด็กหญิงมักเรียนเย็บปักถักร้อย หรืองานฝีมือตามสกุล ถ้าเรียนหนังสือก็เรียนพออ่านออกเขียนได้ อย่างที่โบราณว่า "เรียนพออ่านฉลากยา" ได้ คือ ใช้ห่อกระดาษขนาดซองเล็กๆ จ่าหน้าห่อบอกชื่อยาไว้ เมื่อจะกินก็เอามาบดกับหินบดยา ลูกสาวย่อมจะต้องอยู่ใกล้ชิดบิดามารดาหรือญาติผู้ใหญ่เสมอ ก็ให้เรียนไว้พออาศัยให้อ่านสลากยาได้ เล่ากันว่าลางทีอ่านผิดก็มี เช่นหมอเขียนหน้าห่อยาว่า "กินกได ทากได" หนังสือแบบโบราณอ่านว่า "กินก็ได้ ทาก็ได้" แต่อ่านเป็น "กินกะได ทากะได" ไป (กะได คือ บันไดบ้านเรือน) สมัยก่อนไม่นิยมการเรียนหนังสือ โรงเรียนของแหม่มทั้งสองจึงไม่ได้ผล พอดีนางสาวเพียร์สตายเมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ และแหม่มดาเวนปอร์ตก็ย้ายจากเมืองไทยไปกับสามีในปี พ.ศ.๒๓๘๘ โรงเรียนก็หยุดชะงักไปจนถึงปลาย พ.ศ.๒๓๘๙ หมอมะตูน (Stephen Mattoon) เข้ามาเมืองไทยกับภรรยา แหม่มมะตูนจึงได้ตั้งโรงเรียนสอนเด็กขึ้นใหม่ในบ้านเมื่อ พ.ศ.๒๓๙๑ โรงเรียนของแหม่มมะตูนนี้เป็นโรงเรียนแรกที่ตั้งติด คืออยู่ได้สืบมาจนถึงรัชกาลที่ ๔ พ.ศ.๒๓๙๕ ก็มาตั้งเป็นรูป "โรงเรียน" ขึ้นต่างหากจริงๆ (ไม่ใช่สอนในบ้าน) โรงเรียนของแหม่มมะตูนจึงเป็นต้นรากของโรงเรียนมิชชันนารี สอนเด็กชายหญิงที่มีต่อมาในสมัยหลังๆ มิชชันนารีที่เข้ามารุ่นแรกได้แต่งตำราเรียนเบื้องต้นง่ายๆ ไว้ ๒ วิชา คือ หมอชาลส์โรบินสัน ที่เข้ามาใน พ.ศ. ๒๓๗๗ ได้แต่งตำราวิชาเลขขึ้นเล่มหนึ่ง เริ่มแต่ตัวเลข ๑ ถึง ๐ บวกลบเลข มีวิธีเอาเม็ดมะขามมาทำให้ดู (เม็ดมะขามคือเม็ดที่แกะออกจากฝักที่เรียกมะขามเปียก) เป็นเม็ดดำกลมแบนขนาดเล็บมือ สมัยโบราณมีทุกบ้าน) คือให้เห็นของจริง แล้วเขียนตัวเลข ต่อไปมีคูณ หาร ใช้เครื่องหมาย + - × ÷ แล้วมีเลขเศษส่วนตลอดจนเลขมาตราต่างๆ ที่แต่งตำราเลข คงจะเห็นว่าวิชาคำนวณเป็นวิชาสำคัญจำเป็นสำหรับประกอบอาชีพ เช่น ค้าขาย หรือ ช่าง เช่นช่างไม้ แต่แต่งเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งนี้คงจะมุ่งให้เป็นคู่มือสำหรับครูแหม่มที่จะใช้สอนเด็ก แหม่มดาเวนปอร์ตและนางสาวเพียร์ส ตลอดจนแหม่มมะตูนคงจะใช้ตำราเลขของหมอโรบินสันนี้สอน หมอโรบินสันกลับเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๘ ส่วนอีกวิชาหนึ่งเป็นตำราเรียนภาษาอังกฤษ หมอกัศแวน (แคสเวลล์) ที่เข้ามาเมื่อ พ.ศ. ๒๓๘๒ และได้เป็นครูพระจอมเกล้าฯ เป็นผู้แต่ง ได้พิมพ์ขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๓๘๕ ให้ชื่อว่า "ELEMENTARY LESSONS" Designed to Assist Siamese in the Acquisition of the English Language (1842) ขึ้นต้นด้วย เอ. บี. ทั้งใหญ่และเล็ก และอ่านประสมตัวต่างๆ แล้วขึ้น Spelling and Reading Lessons มีคำอังกฤษแปลไทยเป็นคำๆ บทที่หนึ่ง เริ่มต้นด้วยตัว B ดังนี้ back หลัง babe ลูกอ่อน bad ไม่ดี bake ปิ้ง bag ถุง bale ห่อผ้า bat ค้างคาว base ชั่ว See the babe. That is a base man. This is a bad dog. A bat can fly. Can you bake? เป็นอย่างนี้ทั้งเล่มรวม ๕๕ บท บทท้ายๆ เป็นประโยคยาวๆ ครูแหม่มทั้งสามคงจะใช้ตำราของหมอกัศแวนนี้สอนเหมือนกัน ...................................... ที่มา - (ประวัติ เเละวรรณคดีไทย) ชัยพฤกษ์ ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๑๗ ออก ๑ กันยายน ๒๕๐๖ ต้นฉบับของครูวิน เลขะธรรม เรื่อง - ขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) มูลนิธิเหม เวชกร (เรื่อง/ภาพ) |