หัวข้อ: อสนีบาตตกพระที่นั่ง ไฟไหม้พระมหาปราสาท ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 19 กันยายน 2566 16:02:30 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/14569172180361__Copy_.jpg) “ไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท ในพุทธศักราช ๒๓๓๒” จิตรกรรมจากโคลงพระราชพงศาวดาร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมกวีและจิตรกร แต่งโคลงและวาดภาพพระราชพงศาวดาร จากเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน อสนีบาตตกที่พระที่นั่งอินทราภิเษก
โคลง “พระบรมมหาราชวัง” พระนิพนธ์ พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ทรงนิพนธ์ไว้เป็นความนำในหนังสือ พระมหาปราสาทและพระราชมณเฑียรสถานในพระบรมมหาราชวัง ได้พรรณนาให้เห็นถึงภูมิสถานของพระนครและความงดงามของพระบรมมหาราชวังเมื่อแรกสร้าง เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์และเสด็จขึ้นครองราชย์ โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายพระนครจากฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยามาสู่ฝั่งตะวันออก มีการสร้างพระราชวังขึ้น ๓ แห่งพร้อมกับการสร้างกรุงเทพมหานคร ได้แก่ พระบรมมหาราชวัง พระราชวังบวรสถานมงคล และพระราชวังบวรสถานพิมุข ซึ่งเรียกกันโดยลำลองว่า วังหลวง วังหน้า และวังหลัง และโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามเป็นวัดประจำพระบรมมหาราชวัง เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ทั้งนี้ พระบรมมหาราชวังและพระราชมณเฑียรเมื่อแรกสร้างนั้น สร้างด้วยเครื่องไม้และสร้างเสาระเนียดรายรอบพระราชวังต่างกำแพงวังเพื่อประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกโดยสังเขป ต่อมา พ.ศ.๒๓๒๖ โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชมณเฑียร พระมหาปราสาทให้งดงามสถาวร ก่อกำแพงอิฐแทนเครื่องไม้และเสาระเนียด สร้างประตูรายรอบพระบรมมหาราชวัง มีพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาท เป็นพระมหาปราสาทองค์แรกในพระบรมมหาราชวัง สร้างด้วยเครื่องไม้ทั้งองค์ โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถ่ายแบบพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทที่กรุงศรีอยุธยา เริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๓๒๖ สร้างสำเร็จและทำพิธียกยอดพระมหาปราสาท วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๒๗ เมื่อสร้างพระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาทแล้วเสร็จ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณขัตติยราชประเพณี เมื่อ พ.ศ.๒๓๒๘ โดยใช้พระที่นั่งนั้นเป็นพระราชพิธีมณฑล พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาทงามสง่าเป็นศรีแก่พระนครอยู่ได้ ๗ ปี เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๗ เวลาบ่าย ๓ โมง ๓๖ นาที ปีระกา จ.ศ.๑๑๕๑ ตรงกับวันที่ ๒๔ พฤษภาคม พ.ศ.๒๓๓๒ ได้เกิดเหตุฟ้าผ่าลงหน้าบันมุขเด็จพระที่นั่งแล้วเกิดเพลิงลุกลามไหม้องค์พระที่นั่ง แม้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ยังทรงเข้าร่วมดับอัคคีภัยด้วยพระองค์เอง ทั้งยังระดมพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ ตลอดจนพระสงฆ์ตั้งแต่ชั้นราชาคณะลงไปจากพระอารามหลวงมาช่วยดับไฟ แต่ไฟยังคงเผาผลาญทำลายพระมหาปราสาท เครื่องบน หลังคา และพระปรัศว์ซ้ายลงจนหมดสิ้น พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสให้ข้าราชการช่วยกันสาดน้ำบ้าง ช่วยกันขนถุงเงินพระราชทรัพย์ลงทิ้งในสระในพระอุทยานบ้างจนเพลิงสงบ ดังความปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ซึ่งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) ได้อุตสาหะเรียบเรียงขึ้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๑๒ หลังจากเหตุการณ์ล่วงแล้ว ๒ แผ่นดิน โดยรวบรวมข้อมูลจากเอกสารบ้านเมืองที่เก็บรักษาไว้ตามที่ต่างๆ หลายแห่ง และจากข้าราชการที่ดำรงตำแหน่งสูงในแผ่นดิน ความว่า “๕๕. ไฟไหม้พระมหาปราสาท เมื่อ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๗ ขึ้น ๑ ค่ำ เวลาบ่าย ๓ โมง ๖ บาท ฝนตกอสนีบาตลงต้องหน้าบันมุขเก็จ พระที่นั่งอมรินทราภิเษกมหาปราสาทติดเป็นเพลิงโพลงขึ้น ไหม้เครื่องบนพระมหาปราสาทกับทั้งหลังคามุขทั้ง ๔ ทำลายลงสิ้น แล้วเพลิงลามไปติดไหม้พระปรัศว์ซ้ายด้วยอีกหลังหนึ่ง และขณะเมื่อเพลิงฟ้าแรก ติดพระมหาปราสาทนั้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระราชวงศานุวงศ์ทั้งปวง กับข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย และพระสงฆ์ราชาคณะฐานานุกรมทุกๆ พระอารามหลวงก็เข้ามาช่วยดับเพลิงพร้อมกันสิ้น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวดำรัสให้ข้าราชการช่วยกันยกพระที่นั่งราชบัลลังก์ประดับมุกซึ่งกั้นเศวตฉัตรอยู่บนพระมหาปราสาทนั้นลงมาพ้น เพลิงหาทันไหม้ไม่ ฝ่ายพระสงฆ์คฤหัสถ์ข้าราชการทั้งปวงที่เข้าสาดน้ำดับเพลิงบ้าง ที่เข้าขนถุงเงินพระราชทรัพย์ในพระคลังลงทิ้งในสระในพระอุทยานภายในพระราชวังบ้าง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระแสงง้าว เร่งให้ข้าราชการดับเพลิงจนเพลิงดับสงบ” การที่อสนีบาตตกจนเกิดเพลิงไหม้พระมหาปราสาทนั้นเป็นเหตุใหญ่กระทบขวัญและกำลังใจชาวพระนคร เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมกวีและจิตรกรแต่งโคลงและวาดภาพพระราชพงศาวดารจากเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ของแผ่นดิน เหตุการณ์นี้จึงได้รับเลือกแต่งขึ้นเป็นโคลงลำดับที่ ๘๒ ประกอบภาพพระราชพงศาวดารโคลงซึ่งพระเจ้าพระบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ (พระเจ้าลูกยาเธอ พระองค์เจ้าเกษมศรีศุภโยค เป็นพระราชโอรสลำดับที่ ๓๐ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) ทรงพระนิพนธ์ไว้ ดังนี้
ในพงศาวดารยังกล่าวต่อไปว่า แม้เพลิงสงบลงแล้ว แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชยังทรงปริวิตกว่าการนี้จะเป็นลางบอกเหตุอัปมงคลแก่แผ่นดิน สมเด็จพระสังฆราช พระราชาคณะและสงฆ์ทั้งหลายต่างพากันกราบทูลให้สิ้นพระวิตก และข้าราชการต่างพากันเข้าชื่อกราบบังคมทูลในเนื้อความเดียวกันว่า ตามคติที่เชื่อถือกันมาแต่โบราณ เชื่อกันว่าอสนีบาตหรือฟ้าผ่าลงยังที่ใดถือเป็นมงคลนิมิต แม้จะมีเหตุต้องเสียทรัพย์ ก็จะเสียแต่ที่ฟ้าผ่าเท่านั้น ในคัมภีร์พิมพาภิกขุนีนิพพาน ซึ่งมีมาแต่สมัยอยุธยา ก็กล่าวไว้ว่าหากอสนีตกต้องกำแพงเมืองใด เมืองนั้นแม้มีข้าศึกยกทัพมาตีก็จะต้องพ่ายแพ้กลับไป ในคัมภีร์โลกศาสตร์ กล่าวถึงผู้มีศักดิ์นั่งคานหามต้องอสนีบาตแล้วจะได้ดีภายหน้า ช้างศึกต้องฟ้าผ่า เมื่อออกรบจะได้ชัยชนะ ความในพระราชพงศาวดาร ฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) มีดังนี้ “และที่มีเหตุเพลิงอสนีบาตตกลงไหม้พระมหาปราสาทครั้งนั้น ทรงพระปริวิตกว่าจะเป็นอวมงคลนิมิตแก่บ้านเมืองจึงพระสงฆ์ทั้งหลายมีสมเด็จพระสังฆราช และพระราชาคณะเป็นประธาน พร้อมกันถวายพระพรว่า ได้ตรวจค้นดูในพระบาลีและคัมภีร์พุทธศาสตร์และโลกศาสตร์ ได้ความตามโบราณคติถือสืบต่อกันมาว่า อสนีบาตตกลงที่ใดย่อมถือว่าเป็นมงคลนิมิตแม้จะเสื่อมเสียทรัพย์สมบัติ ก็เสียแต่เท่าที่ต้องอสนีภัย จะเสียยิ่งไปกว่านั้นหาไม่ ความตามคัมภีร์พิมพานิพพานมีปรากฏว่า ถ้าอสนีบาตตกต้องกำแพงเมืองใด แม้ข้าศึกมาย่ำยีเมืองนั้นก็มีแต่จะปราชัยพ่ายแพ้ไปถ่ายเดียว ว่าโดยโลกศาสตร์ตามนิทานและเรื่องราวที่ปรากฏมาแต่ปางก่อน บางทีอสนีตกต้องศีรษะคนซึ่งผู้หามอยู่เหนือบ่า ผู้นั้นต่อไปได้ดีก็มีบ้าง บางทียกทัพไปอสนีตกต้องช้าง ไปทำศึกได้บ้านเมืองก็มีบ้าง ที่ว่าเป็นนิมิตอวมงคลมิได้พบในแห่งใด พระสงฆ์ทั้งหลายจึงมิได้เห็นว่าเหตุที่อสนีบาตตกต้องพระมหาปราสาทจะเป็นอวมงคลนิมิต ส่วนข้าทูลละอองธุลีพระบาททั้งปวง ก็เข้าชื่อกันกราบบังคมทูลพระกรุณาถวายไชยมงคล โดยใจความอย่างเดียวกัน แล้วดำรัสสั่งสมุหนายกให้จัดการรื้อปราสาทเก่าเสีย ให้ฐาปนาปราสาทขึ้นใหม่ย่อมกว่าองค์ก่อน และปราสาทองค์ก่อนนั้นสูงใหญ่เท่าพระที่นั่งสรรเพ็ชญปราสาทกรุงเก่า มุขหน้า มุขหลังนั้นยาวกว่ามุขข้าง และมุขเบื้องหลังนั้นอยู่ที่ข้างในยาวไปจดถึงพระปรัศว์ซ้ายปรัศว์ขวา พระมหาปราสาทองค์ใหม่นี้ยกออกมาตั้ง ณ ที่ข้างหน้าทั้งสิ้น มุขทั้ง ๔ นั้นก็เสมอกันทั้ง ๔ ทิศ ใหญ่สูงเท่าพระที่นั่งสุริยามรินทร์กรุงเก่า ยกปะราลีเสียมิได้มีเหมือนองค์ก่อน แต่มุขเด็จยอดทั้ง ๔ มุมนั้น ยกทวยเสียใช้รูปครุฑเข้าแทนแล้ว ให้ฐาปนาพระที่นั่งขึ้นใหม่ที่ข้างในต่อมุขหลังเข้าไปอีกหลัง ๑ พอเสมอท้ายมุขปราสาทองค์เก่าพระราชทานนามว่าพระที่นั่งพิมานรัถยา แล้วทำพระปรัศว์ซ้ายขึ้นใหม่คงตามเดิมและหลังคาปราสาทและมุขกับทั้งพระที่นั่งพิมานรัถยาพระปรัศว์ดาดด้วยดีบุกเหมือนอย่างเก่าทั้งสิ้น ครั้นการพระมหาปราสาทลงรักปิดทองเสร็จแล้ว จึงพระราชทานนามปราสาทองค์ใหม่ว่า พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท” จะเห็นได้ว่าความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุครั้งนั้น เมื่อเป็นพระราชปริวิตกของพระเจ้าแผ่นดิน เหล่าพระบรมวงศานุวงศ์และอาณาประชาราษฎร์ต่างทุกข์ร้อนใจร่วมถวายการบรรเทาพระปริวิตกนั้น ในกาลนั้น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ทรงพระราชนิพนธ์เพลงยาว “ถวายทำนายอสุนีบาต” เรื่อง คำทำนายอสุนีบาต อสนีบาตตกที่พระที่นั่งอินทราภิเษก ความยาว ๑๖ บท เนื้อหากล่าวถึงอสนีบาตตกครั้งนั้น มีความละเอียดว่าในเอกสารอื่นๆ คือระบุว่า ในวันเดียวกันนั้นมีฟ้าผ่าถึงสองครั้ง ที่พระที่นั่งอินทราภิเษกครั้งหนึ่ง และที่ซุ้มประตูวังครั้งหนึ่ง จากนั้นได้ขอพระราชทานถวายคำทำนายว่า การทั้งนี้เป็นศุภนิมิตว่าจะเกิดสวัสดิมงคล มีชัยชนะแก่ข้าศึก พระบรมราชานุภาพปรากฏไปทั้งสิบทิศ มีนานาประเทศมาสามิภักดิ์ อาณาประชาราษฎร์จะร่มเย็นเป็นสุข นับแต่นี้จะปราศจากอุปสรรคขัดข้องทั้งปวง ประเทศชาติจะมั่นคงด้วยพระบารมี และพระองค์จะได้พบบรรลุพระโพธิญาณ ได้เสวยสมบัติอมรินทร์ ความว่า]
ที่มา : - คำทำนายอสุนีบาต อสนีบาตตกพระที่นั่งอินทราภิเษก นิตยสารศิลปากร ปีที่ ๖๖ ฉบับที่ ๓ พฤษภาคม - มิถุนายน ๒๕๖๖ - พระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ ๑ ฉบับ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ (ขำ บุนนาค) |