[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => พุทธประวัติ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 09 ตุลาคม 2566 15:12:55



หัวข้อ: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 ตุลาคม 2566 15:12:55
.



ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/79698336372772_368377397_687627980075839_9047.jpg)
          ภาพที่ ๑


ภาพและข้อความเรื่อง พระราชประวัติแห่งพระมหาบุรุษนี้ ได้จัดทำตามต้นฉบับแบบภาษาไทย
ของเจ้าศักดิ์ประเสริฐ นครจำปาศักดิ์ ซึ่งแปลจากเรื่องฉบับภาษาฝรั่งเศส ต้นเดิมของเรื่องนี้เป็นภาษาอังกฤษ
ชื่อ The Light of Asia ซึ่งเซอร์ เอดวิน อาโนลด์ เป็นผู้แต่ง เป็นเรื่องราวของพระมหาบุรุษ
ผู้มาบังเกิดเพื่อประทานแสงสว่างให้แก่โลก ณ ดินแดนทิศใต้ของขุนเขาหิมพานต์ คือ กรุงกบิลพัสดุ์



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/61693172280987_1_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๒

ในคืนหนึ่ง บังเกิดสิ่งมหัศจรรย์ แสงจันทร์มีรัศมีแจ่มจ้าสว่างไปครึ่งหนึ่งของพิภพ ขุนเขาทั้งหลายเสมือนจะเขยื้อนตัวหวั่นไหว
น้ำทะเลสงบ บันดาลดอกไม้ทั้งหลายเบ่งบานสะพรั่งในเวลาอันไม่ใช่ฤดู    ในราตรีนั้น พระนางสิริมหามายา บรรทมหลับสนิท
อยู่เคียงข้างพระสวามี คือ พระเจ้าสุทโธทนะ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/60378743542565_2_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๓


พระนางได้ทรงพระสุบินไปว่า มีดาวดวงหนึ่งสุกปลั่งยิ่งดาวทั้งหลาย  ดาวนั้นเปล่งรัศมีสีต่างๆ เป็นหกแฉก และปรากฏ
ร่างกุญชรในดวงดาวนั้น กุญชรนั้นมีงาหกงา งานั้นสีขาวดุจนมของโควิเศษ กุญชรนั้นเคลื่อนลงจากเวหามายังห้องบรรทม  
ในที่สุดได้ทำกิริยาเข้าสู่พระครรภ์เบื้องขวาแห่งพระนาง



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/26812111834684_3_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๔


เมื่อพระนางบรรทมตื่น ก็รู้สึกอิ่มเอมพระทัยเป็นล้นพ้น พระนางได้เล่าความฝันให้พระราชสวามีฟังโดยถี่ถ้วน  พระเจ้า
สุทโธทนะทรงอัศจรรย์พระทัยยิ่งนัก จึงโปรดให้ชุมนุมพระโหรา ผู้ทรงคุณวุฒิในศาสตร์ตรวจดูฤกษ์ยาม และลักษณะ
ที่พระนางทรงพระสุบินโดยทุกประการ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/23747041614519_5_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๕

โหราจารย์เหล่านั้นทูลทำนายไว้เป็นสองสถาน ว่าพระนางทรงพระสุบินดังนี้ จะได้พระราชกุมารที่ล้ำเลิศมนุษย์ จะเป็น
ผู้ทรงญาณ ทรงธรรมเมตตาแก่มนุษย์ทั่วไป จะเป็นพระศาสดาสอนมนุษย์ให้พ้นกองทุกข์ อีกสถานหนึ่งจะเป็นกษัตริย์
แห่งกษัตริย์ เป็นจักรพรรดิครอบครองโลกทั้งมวล หากพระองค์ทรงพระประสงค์ดังนั้น



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/22342943772673_6_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๖

ต่อมาพระนางสิริมหามายาก็ตั้งพระครรภ์ ครั้นจวนพระประสูติ ได้ขอประทานอนุญาตต่อพระเจ้าสุทโธทนะ ไปประสูติที่
กรุงเทวทหะ อันเป็นนครที่กำเนิดแห่งพระนาง ดังนี้เป็นจารีตแห่งกษัตริย์ในอินเดีย พระเจ้าสุทโธทนะก็ทรงอนุญาตให้
เป็นไปตามประเพณี



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/30569270253181_1_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๗

ทางที่จะไปยังเทวทหนครนั้น ผ่านไปทางสวนแกมป่าแห่งหนึ่ง มีชื่อว่า “ลุมพินี” สวนนี้เป็นย่านกลางระหว่างนครกบิลพัสดุ์
กับเทวทหะ ในการเสด็จของพระนางสิริมหามายาคราวนี้ บังเกิดสิ่งอัศจรรย์ กล่าวคือบรรดาพฤกษชาติในป่าลุมพินี ได้ผลิ-
ดอกออกสะพรั่งอันใช่ฤดู เสมือนวิญญาณชื่นชมยินดี ด้วยรู้ว่าพระมหาบุรุษจะมาประสูติ ณ ที่นั้น



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/35901789449983_2_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๘

เมื่อขบวนแห่แหนของพระนางสิริมหามายาผ่านมาถึง พระนางรู้สึกว่าสวนลุมพินีช่างร่มเย็น งดงามไปด้วยดอกดวงพฤกษชาติ
จึงได้ให้หยุดขบวนพัก  ณ ที่นั้น พระนางเสด็จประทับพักผ่อนที่ใต้ต้นสาละ และบัดนั้น พระนางก็รู้สึกประชวรพระครรภ์ เหล่า
บรรดานางข้าหลวงได้เข้าช่วยประคับประคอง



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/89179911795589_3_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๙

พระนางก็ได้ประสูติพระมหาบุรุษ ณ ควงต้นสาละนั้น และเวลานั้น ดินฟ้าอากาศดูประหนึ่งว่า ปวงเทพเจ้าได้มาประชุมอยู่  
แต่มนุษย์ก็หาแลเห็นไม่  สิ่งมหัศจรรย์อันนี้ปรากฏในพระพุทธประวัติ เราผู้มีชีวิตภายหลังนับจำนวน ๒,๕๐๐ ปีเศษ ก็ควร
จะนึกว่า สิ่งมหัศจรรย์ในโลกย่อมปรากฏได้ เมื่อเกิดอัจฉริยบุคคลขึ้นในโลก



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/66061742976307_4_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๐

เมื่อข่าวนี้ทราบไปถึงพระเจ้าสุทโธทนะ ก็โปรดให้จัดขบวนมารับพระนางและพระราชกุมารกลับคืนสู่พระมหาราชวัง
ในกาลครั้งนั้นก็บังเกิดสิ่งอัศจรรย์อีก คือดูเสมือนจะมีพลแห่แหนมากมาย พรั่งพร้อมด้วยเทพดาทั่วทิศานุทิศมาแวดล้อม
มาส่งพระกุมารถึงพระนคร



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/55558707358108_11_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๑

บรรดาโหราจารย์ผู้ใหญ่ได้พร้อมกันทำนายอีกว่า พระกุมารองค์นี้มีบุญญาธิการยิ่งนัก จะได้เป็นใหญ่ในโลก จะถึงสมบัติ
จักรพรรดิ   พระเจ้าสุทโธทนะก็ดีพระทัยยิ่งนัก ทรงมุ่งหวังให้พระราชโอรสได้เป็นจักรพรรดิครอบครองโลก ได้โปรดให้
จัดการสมโภชเป็นมหกรรมมโหฬาร



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/11319684733947_13_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๒

นครกบิลพัสดุ์ครึกครื้นด้วยเสียงแตรสังข์ดุริยางค์ ถนนหนทางติดธงทิว ประชาราษฎร์ต่างร้องรำทำเพลงด้วยความชื่นชมยินดี
ทั่วหน้า มีการสาดพรมกันด้วยน้ำอบเชื้อดอกไม้กลิ่นหอม นักร้องนักรำก็ขับร้องร่ายรำ สนุกสนานกันทั่วพระนคร ยิ่งกว่าครั้งใด
ที่เคยมีมา



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/69150933581921_14_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๓

ในการสมโภชพระกุมารครั้งนี้ ดูราวกับว่านักแสดงทั่วทิศานุทิศได้มาประชันกันในกรุงกบิลพัสดุ์  นักหกคะเมนตีลังกาเอย
ไม้สูงเอย ห้อยโหนโยนตัวเอย แล้วก็ไต่ลวดเลี้ยงตัว มีนานาสารพัดอย่าง ใครชอบอะไรก็เลือกดูได้ตามใจชอบ พระนคร
สนุกคึกคัก ประชาราษฎรร่าเริงกันทั่วหน้า



](http://www.sookjaipic.com/images_upload/44626995921134_14_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๔

แล้วก็ยังมีพวกแสดงกับสัตว์  พวกเล่นงู  พวกเล่นสิงโต  ก็พาสัตว์เหล่านั้นมาแสดงให้ดูอย่างน่าหวาดเสียว    ยังมีพวก
นักมวยปล้ำรูปร่างราวกับยักษ์ ต่อสู้กันอย่างไม่คิดชีวิตชีวา นับเป็นที่เพลิดเพลินนัยน์ตา อะไรที่คนยังไม่เคยชม ก็ได้ชม
ในการสมโภชครั้งนี้ นับว่าเป็นบุญญาธิการประการหนึ่งของพระราชกุมาร



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/97978985599345_15_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๕

บรรดาพ่อค้าวาณิชทั้งใกล้และไกล ก็นำเอาพัสดุสินค้าอย่างดีในท้องถิ่นของตนมา มีแพรพรรณ ขนแกะ พรมเจียม
เครื่องทองรูปพรรณ เพชรนิลจินดา ของอันมีค่าเหล่านี้เขานำมาถวายเป็นของขวัญแด่พระราชกุมาร ไม่เคยมีของขวัญ
ครั้งใดจะมากมายเสมอคราวนี้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload/11960160318348_16_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๖

ครั้งนั้น มีดาบสรูปหนึ่ง ชื่อ "อสิตะ" ท่านบำเพ็ญพรตอยู่ในป่าอันสงัดห่างไกลผู้คน เพื่อทำใจให้แน่วแน่จนมีญานแก่กล้า
ท่านได้ทราบโดยญานว่า บัดนี้มีพระราชกุมารอุบัติ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ท่านเล็งเห็นว่า พระกุมารนี้จะเป็นอัจฉริยะบุคคลวิเศษ
สุดของโลก จึงได้ละอาศรมเข้ามายังพระราชฐานแห่งพระเจ้าสุทโธทนะ



ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 13 ตุลาคม 2566 12:42:20
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/60624001837438_1_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๗


พระเจ้าสุทโธทนะทรงรู้จักพระดาบสรูปนี้ดี  จึงทรงน้อมพระองค์แสดงคารวะ พระดาบสรับพระราชปฏิสันถารแล้ว
ก็ตรงไปที่พระกุมาร ซึ่งนอนอยู่ในพระอู่ เธอได้น้อมเศียรลงถวายบังคมพระกุมารถึง ๘ ครั้ง ด้วยอาการอันนอบน้อม
สูงสุด ยังให้ผู้ที่อยู่ ณ ที่นั้นมีความอัศจรรย์ใจยิ่งนัก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/16540815432866_2_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๘

พระดาบสอสิตะได้กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า "โอ พระกุมาร ข้าพเจ้าขอบูชาและเคารพพระองค์ เพราะประจักษ์แล้ว
โดยรัศมีและพระลักษณะ ๓๒ ประการ อีกทั้งองค์ประกอบอีก ๘o ประการว่า พระองค์จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
ข้าพเจ้าเสียดายนักที่ต้องตายเสียก่อน ไม่อาจมีชีวิตยืนอยู่ได้สดับรสพระธรรม

ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700
33.50 - 14.85


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 28 ตุลาคม 2566 17:59:46
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/91250556417637_18_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๙

ครั้นแล้วพระดาบสได้หันมาทูลพระเจ้าสุทโธทนะว่า "พระองค์ช่างมีบุญนักหนา จึงได้ให้กำเนิดแก่พระกุมารพระองค์นี้ พระกุมารจะเป็นพระมหาบุรุษ อันหาผู้ใดเปรียบมิได้ในโลกนี้ แต่น่าเสียดาย ที่ความปิติของพระองค์จะต้องทำลายลง ด้วยภายใน ๗ วันนี้ พระมารดาของพระกุมารจะสูญสิ้นพระชนม์"


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/86228751060035_20_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๒๐

จริงตามคำทำนายของอสิตดาบส พอครบกำหนด ๗ วัน พระนางสิริมหามายาก็สิ้นพระชนม์ ทั้ง ๆ ที่แพทย์หลวงได้ช่วยกันเยียวยาจนสุดความสามารถ ดังด้วยเป็นกำหนดแห่งเทพเจ้าว่า พระนางจะไม่ต้องทรงครรภ์และถวายน้ำนมแก่ราชกุมาร ราชกุมารี ร่วมกับพระพุทธองค์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/47846313193440_21_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๒๑

เวลาผ่านไป จนพระราชกุมารมีอายุได้ ๘ ปี มีพระนามว่า เจ้าชายสิทธัตถะ พระเจ้าสุทโธทนะระแวงอยู่ตลอดเวลาว่า พระราชโอรสจะมีนิสัยโน้มน้อมไปในทางจะแสวงหาโพธิญาณ จึงหารือกับอำมาตย์ที่จะให้ราชโอรสได้ศึกษาวิชาที่จะให้พระราชโอรสได้ห่างพ้นไปจากการจะเป็นพระพุทธเจ้า ดังที่โหรทำนายไว้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/44749936378664_22_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๒๒

ที่ประชุมตกลงว่า ครูของพระราชกุมารต้องเป็นพระวิศวามิตร เพราะเป็นผู้ยอดเยี่ยมในอักษรศาสตร์และวิทยาศาสตร์ทั้งปวง มีทางจูงให้พระราชกุมารละแนวชีวิตที่จะบำเพ็ญตนเป็นพระพุทธเจ้าได้ และทั้งให้การเรียนหนักไปทางด้านยุทธการหรือการปกครองเยี่ยงกษัตริย์จะพึงเรียนพึงรู้



ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 16 พฤศจิกายน 2566 18:31:44
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/36597416922449_398338953_732672878904682_4312.jpg)
          ภาพที่ ๒๓
เจ้าชายสิทธัตถะได้เข้าศึกษาวิชาอักษรศาสตร์กับพระวิศวามิตร เมื่อพระชนมายุ ๘ ปี และพอเรียนได้มินานอาจารย์ก็เห็นว่า เจ้าชายสิทธัตถะนี้เฉลียวฉลาดเกินมนุษย์ สามารถเขียนอักขระได้ทุกภาษาทุกแคว้นโดยพระองค์เอง แม้แต่อักขระของชนชาวที่บูชานาคใต้บาดาล ซึ่งอาจารย์เองก็หาสันทัดไม่


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/36597416922449_398338953_732672878904682_4312.jpg)
          ภาพที่ ๒๔
ในที่สุด อาจารย์วิศวามิตรก็หมดหนทางจะหาวิชาใดมาสอนได้ พระองค์รอบรู้จนวิชาคำนวณเลขและดวงดาวทั้งหลายในจักรภพ ทั้งนับย้อนหลังและก้าวหน้าเจนจบ อาจารย์จึงกล่าวว่า "พระองค์นี้เป็นครูของพระองค์เอง และทั้งเป็นครูของข้าพเจ้าอีกซ้ำไป พระองค์ทราบสิ้นทุกอย่าง โดยข้าพเจ้ามิได้สอนพระองค์เลย ทั้งไม่สามารถจะสอนได้ด้วย"


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/92936928818623_400747725_736613271843976_3300.jpg)
          ภาพที่ ๒๕
เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะมีพระชนมายุได้ ๑๔,๑๕ ปื พระองค์ชอบกีฬาแข่งรถม้า และก็เชี่ยวชาญหาสารถีใดคู่เคียงมิได้ แต่พระองค์มีจิตใจสุภาพเหมือนมนุษย์อื่นๆ เช่นการแข่งรถครั้งใดพระองค์ได้ชัยชนะ พระองค์เห็นหน้าตาของพระญาติพระวงศ์ที่แพ้นั้นซีดเซียวเสียพระทัย พระองค์จึงยอมแพ้เสียเองในคราวต่อไป ในเมื่อเห็นทีพระองค์จะชนะแล้วก็ลดฝีเท้าม้าลงเสีย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/53000697576337_400725272_736613301843973_2210.jpg)
          ภาพที่ ๒๖
การกีฬาล่าเนื้อทรายก็เช่นกัน ตอนแรกๆ ก็รู้สึกเพลินในกีฬานี้ดีอยู่ แต่ครั้นถึงตอนล้อมจับเนื้อทรายได้ พระองค์เห็นเนื้อทรายนั้นมีความกลัวจนขาสั่น และดวงตาเหลือกโปน พระองค์จึงพบความปรานีขึ้น คราวหลังๆ เมื่อควบม้าทันเนื้อทราย แล้วก็ปล่อยตัวไป ซึ่งความจริงกีฬาประเกทนี้ จะหาใครเทียบเทียมพระองค์ก็มิได้


ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 พฤศจิกายน 2566 12:48:23
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/67588383042150_1_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๒๗
ยิ่งพระชนม์นานปีทวีขึ้น ความเมตตาปราณี และความสุภาพแห่งพระทัยก็เจริญขึ้น ประดุจพฤกษาที่งอกงาม พระองค์ทรงกีฬาฟันดาบ ครั้นชนะคู่ต่อสู้แล้วก็พบความน้อยอกน้อยใจจากผู้แพ้ พระองค์จึงสละเสียด้วยการชนะ กลับออมมือออมกำลังให้เป็นเพียงเสมอกัน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/49236904871132_2_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๒๘
กีฬาประเภทมวยปล้ำและยิงธนูก็เช่นกัน พระองค์มิได้หย่อนกว่าใคร มีระดับสูงและเหนือกว่าทั้งสองประเภท แต่พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะชนะใครในเวลาแข่งขัน นึกสลดพระทัยที่สร้างความผิดหวังให้แก่ผู้อื่น จึงเป็นฝ่ายออมมือออมกำลังอยู่เป็นนิจ เอาเพียงรู้แก่พระทัยเท่านั้นว่า พระองค์ชนะแล้ว


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/81880740945537_3_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๒๙
เย็นวันหนึ่ง ได้มีเหตุการณ์หนึ่งขึ้น คือมีหงส์ฝูงหนึ่งบินผ่านพระราชอุทยานจะไปสู่รัง ณ แดนหิมพานต์ และส่งเสียงร้องเรียกพวกมัน พระเทวทัต พระญาติของพระสิทธัตถะ ยกธนูยิงไฟถูกหงส์ตัวหนึ่งที่ปีก และได้ถลาร่อนตกลงในเขตอุทยานของพระสิทธัตถะ เมื่อพระองค์เห็นดังนั้น จึงวิ่งเข้าไปประคองหงส์ตัวนั้นด้วยความสงสาร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/12421080801221_4_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๐
เจ้าชายสิทธัตถะได้ประคองหงส์นั้นด้วยความเบาและนิ่มนวล เป็นการปลุกปลอบมิให้หวาดกลัว เมื่อลูบขนและดัดปีกให้เข้าดีแล้ว จึงค่อยถอนธนูที่ยังฝังปีกหงส์ออก แต่บังเอิญขณะถอนลูกธนูนั้น ปลายธนูได้ถูกพระหัตถ์พระองค์เข้านิดหน่อย รู้สึกเจ็บปวด นึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของหงส์ที่ถูกยิงเข้าเต็มที่เช่นนั้นจะมีสักปานไหน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/58955997890896_5_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๑
เจ้าชายสิทธัตถะได้ประคองหงส์นั้นด้วยความเบาและนิ่มนวล เป็นการปลุกปลอบมิให้หวาดกลัว เมื่อลูบขนและดัดปีกให้เข้าดีแล้ว จึงค่อยถอนธนูที่ยังฝังปีกหงส์ออก แต่บังเอิญขณะถอนลูกธนูนั้น ปลายธนูได้ถูกพระหัตถ์พระองค์เข้านิดหน่อย รู้สึกเจ็บปวด นึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวของหงส์ที่ถูกยิงเข้าเต็มที่เช่นนั้นจะมีสักปานไหน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/73738891672756_6_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๒
ในขณะนั้นเอง มหาดเล็กของพระเทวทัตได้เข้ามาหาพระองค์ และแจ้งว่า พระเทวทัตประสงค์จะได้หงส์ตัวนั้น ด้วยว่าเป็นฝีมือของพระเทวทัตยิง แม้ว่าหงส์นั้นจะได้ตกลงในเขตอุทยานของพระสิทธัตถะก็ตาม แต่การยิงนั้นได้ยิงในอากาศ ซึ่งมิได้เป็นเขตของผู้ใด จึงต้องขอหงส์นี้ไป พระสิทธัตถะจึงว่า หงสันี้ยังไม่ตาย และเราช่วยหงส์นี้ไว้ หงส์จึงยังไม่เป็นสิทธิของพระเทวทัตญาติแห่งเรา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/43989759186903_7_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๓
เรื่องการแย่งหงส์ระหว่างเจ้าชายสิทธัตถะกับเทวทัตไม่ตกลงกันได้ จึงต้องนำคดีขึ้นสู้สภาอัครมหามนตรี ให้ผู้รู้หลักความยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน ในวันรุ่งขึ้นเจ้าชายสิทธัตถะและเทวทัตก็มาพร้อมกัน ณ สภาสูง ผู้ที่ใคร่จะรู้กฎแห่งความยุติธรรมอันแท้จริง ต่างก็มาฟังกันทั้งฤๅษีชีพราหมณ์คับคั่ง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/54011378561456_8_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๔
ในข้อคิดต่าง ๆ ของขุนนางผู้ใหญ่ ต่างแยกกันไปคนละทาง ไม่ลงเอยกันได้ หาเหตุผลที่เที่ยงแท้และยุติธรรมจริง ๆ นั้นยังมิได้ จึงมีฤๅษีตนหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครรู้จัก ได้ขึ้นแถลงว่า "หากชีวิตทั่ว ๆ ไปเป็นของมีค่า ผู้ช่วยชีวิตย่อมมีสิทธิในชีวิตที่ช่วยไว้เป็นแน่แท้ ส่วนผู้พิฆาตนั้นคือผู้ล้างผลาญ จะมีสิทธิที่ตัวสัตว์ที่ยังไม่ตายนั้นไม่ได้"


ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 01 ธันวาคม 2566 14:29:18
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/64207816289530_35_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๕
เมื่อสภาอัครมหามนตรีได้ยึดถือเอาข้อยุติธรรมจากฤๅษีตนนั้นแล้วเจ้าชายสิทธัตถะจึงชนะในสิทธิครอบครองหส์นั้น ครั้นเมื่อหงส์นั้นได้รับการรักษาพยาบาลแผลหายเป็นปรกติดีแล้ว เจ้าชายสิทธัตถะจึงคิดว่า พวกพ้องหงส์คงจะคอยหา เศร้าโศกกันไม่น้อย พระองค์จึงปล่อยหงส์ไปเป็นอิสระ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/62423479722605_36_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๖
ต่อมาอีกหลายวัน จะมีการมงคลแรกนาขวัญ พระราชบิดาจึงบอกแก่พระราชกุมารว่า "จงไปร่วมพิธีด้วยกันเถิดลูกรัก ไปชมความสมบูรณ์แห่งชาวนา ไปชมอาณาจักรของพระบิดา ซึ่งวันหนึ่งจะเป็นของลูก ชมสิ่งมั่งคั่งในพืชผลทั้งหลาย ชมประชาราษฎรของเรา และชมสมบัติอันมหาศาลที่จะเป็นของลูก"


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/83636490214202_37_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๗
ในวันแรกนาขวัญนั้น พระเจ้าสุทโธทนะได้ชวนเจ้าชายสิทธัตถะนั่งราชรถไปด้วยกัน โดยให้สารถีขับอ้อมพระนคร ชมทิวทัศน์อันงดงามตระการตา ชมธารน้ำอันใสสะอาด ชมไร่พืชผลต่าง ๆ ซึ่งล้วนแต่สดสวยน่าตรึงตาตรึงใจ อีกทั้งหมู่ต้นเทียนดอกกำลังบานส่งกลิ่นหอมขจรขจาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/92029987523953_38_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๘
ราชรถได้วกเข้าเขตท้องนา ก็เห็นชาวนากำลังบังคับโคให้ลากคันไถไปตามทุ่ง ชาวนาผู้คุมโคส่งเสียงร้องเพลงเคล้าลุกปลุกใจดูร่าเริง ไกลออกไปที่หมู่หนึ่งนั้นกำลังหว่านข้าวลงในพื้นนาที่ดินชุ่ม และไกลไปอีก ก็มีทิวต้นตาลเป็นหลั่น ซึ่งทุกอย่างที่เห็นนั้น แสดงถึงความสมบูรณ์พูนสุขอันน่าจะปิติ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/33396226250462_39_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๓๙
ครั้นชมท้องนาแล้ว ก็ชมทิวทัศน์อื่น ๆ ต่อไปอีก ด้วยเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสุทโธทนะจะให้ราชบุตรผู้เป็นทายาท ยินดีปรีดาในสมบัติทั้งหลายที่จะตกทอดไปถึง และก็ราชสมบัติอันมหาศาลเท่านั้นจะเหมาะแก่กษัตริย์ผู้เป็นเจ้าเหนือหัวกษัตริย์อื่นในโลก ตำแหน่งนี้ต้องเป็นของเจ้าชายสิทธัตถะตามที่โหรทำนายไว้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/89227058572901_40_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๐
แต่ใครเล่าจะรู้ลึกไปถึงดวงหทัยของเจ้าชายสิทธัตถะ ถ้าดูแต่ภายนอกก็เห็นว่า พระราชกุมารหนุ่มน้อยนี้เพลินในสิ่งที่พบเห็น และปรีดาในราชสมบัติตามที่มนุษย์ทั่วไปจะพึงอยากพึงโลภ แท้จริงแล้วพระรัชทายาทองค์นี้ได้เก็บสิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็นเข้าไตร่ตรองในดวงหทัยอย่างลึกและละเอียดแจ่มแจ้งดี


ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 15 ธันวาคม 2566 17:47:47
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/79727383578817_41_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๑
พระราชกุมารได้เก็บเอาภาพของชาวนาที่บังคับให้โคไถนานั้นมาแจง แบ่งแยกถึงแก่นความจริงของเรื่องว่า ชาวนาใดจะประสงค์การตากแดดจนผิวเกรียมกระนั้นหรือ ก็เปล่าทั้งสิ้น หากเกิดความกังวลใจที่รับจ้างเขามาทำงาน หากไม่ทำ นายจ้างก็มิจ่ายค่าแรง แล้วไฉนตนจะได้เงินค่าแรงนั้นไปเลี้ยงตัวและครอบครัวซึ่งเป็นความกังวลที่สุดในชีวิต


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/22235478916101_42_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๒
เมื่อคิดถึงโคที่ลากคันไถนั้นเล่า จะเป็นไปได้อย่างไรที่โคจะสมัครใจทำเอง เท่าที่ทำไปก็โดยถูกบังคับจากชาวนา ถ้าคราใดไม่ทำงาน ก็ครานั้นเองจะถูกตีถูกโบยเจ็บไปทั้งตัว จึงต้องทำไปโดยกังวลใจว่า ถ้าหยุดหรือเกเรจะต้องเจ็บตัว ด้วยประการฉะนี้ พระองค์จึงเห็นชัดว่า ความกังวลเป็นต้นเหตุ ทำให้นายบังคับลูกจ้างและลูกจ้างก็บังคับโคต่อไป


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/64693034936984_43_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๓
ที่ขอบหนองขอบบึง เหล่านกยางเหยาะย่างอยู่ชายน้ำ และเกาะอยู่บนหลังกระบือ เสือปลาจดจ้องบังกอไม้อยู่ชายบึง ที่ในน้ำปลาผุดกระเพื่อมเป็นระลอก น่าชมน่าเพลินอะไรจะเท่า แต่แท้จริงแล้ว ความกังวลใจของแต่ละสัตว์บังคับให้เป็นไปในรูปนั้น เพราะกังวลว่าตนจะไม่มีอาหารเต็มท้องเป็นส่วนใหญ่


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/73130919949875_44_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๔
บนอากาศนั้นเล่า มีผีเสื้อบินสลับสีงดงาม นกเล็กๆ ถือโอกาสเข้าไล่จิกกิน แต่ก็มึนกใหญ่ไล่นกเล็กจับกินเป็นอาหารอีกทอดหนึ่ง สุดแต่ใครจะมีกำลังกว่า ฉลาดกว่า ก็ทำร้ายแก่ผู้มีกำลังน้อย ถ้าดูด้วยตาแล้วไม่คิดภาพเหล่านั้นก็น่าชมน่าเพลินนัก แต่หลังจากนั้นซิ มีแต่หนามแหลมจะทิ่มแทงอยู่ทุกขณะ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/59996503053439_45_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๕
ครั้นรถมาถึงแห่งหนึ่ง เจ้าชายสิทธัตถะจึงขออนุญาตต่อพระราชบิดาว่า พระองค์จะขอดูสิ่งต่างๆ ที่น่าดู น่าชม โดยพระองค์เองแต่เฉพาะ พระเจ้าสุทโธทนะก็ทรงอนุญาต เจ้าชายจึงเลือกเอาร่มไม้แห่งหนึ่งนั่งทำสมาธิ ใช้จิตวิเคราะห์ในสิ่งต่างๆ ชีวิตต่างๆ พระองค์ก็ได้เกิดพระเมตตาแก่สัตว์ทั่วๆ ไปด้วยดวงหทัยหมดมลทิน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/18082431993550_46_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๖
กิริยาและอาการเคลื่อนไหวของเจ้าชายสิทธัตถะทั้งหมด พระเจ้าสุทโธทนะได้นำมาหารือกับอำมาตย์ใกล้ชิดด้วยความหนักพระทัย เพราะกิริยาเหล่านั้น เป็นกิริยาของผู้จะบำเพ็ญฌาน มีที่ท่าจะทิ้งทางโลกไปสู่ทางธรรม ในที่ประชุมต่างก็มีใจตรงกันว่า จะต้องหาทางตัดไฟเสียต้นลม พยายามให้หมุนมาทางกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ครองโลก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/99195017582840_47_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๗
ขั้นต้นเริ่มด้วยสร้างปราสาทใหม่สามปราสาท เป็นที่ประทับเป็นฤดูๆ ไป ปราสาทหนึ่งนั้นบุและมุงด้วยไม้หอมทั้งหลัง ปราสาทสองสร้างด้วยหินอ่อนล้วน ปราสาทสามสร้างด้วยดินเผาทั้งหลัง ทุกๆ ปราสาทเขียนแบบก่อสร้างไว้อย่างงดงามมโหฬารสมพระเกียรติ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/52035471176107_48_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๘
ด้วยเวลาไม่นานนัก ปราสาทนั้นๆ ก็สำเร็จขึ้น แต่ละปราสาทมีความงามต่างกัน มีอุทยานประจำทุกปราสาท และก็มีลักษณะศิลปะไปคนละอย่าง บ้างมีเนินสูง มีไม้พันธุ์ดอกดารดาษ มีธารน้ำลดเลี้ยว มีกระโจมงามๆ อยู่กลางเกาะหลายต่อหลาย คราใดเสด็จประทับอุทยาน ห้อมล้อมด้วยสนมกำนัล ช่างงดงามตาอย่างยิ่ง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/42641870925823_49_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๔๙
พิธีการอันแสนฉลาดของอำมาตย์ผู้ใหญ่ได้เริ่มขึ้นอีก คือ โดยเพ่งเล็งว่า ชายที่เพิ่งเริ่มหนุ่มนั้น ถ้าจะคิดแปรทางเดิน ให้แยกจากนิสัยนักพรตแล้ว ก็ต้องอาศัยเรื่องของตัณหาเป็นกำลังใหญ่ ซึ่งจะทำให้เมามัวในลาภยศ จึงจัดให้นางบริวารทั้งหลาย ล้วนแต่งามๆ และมีท่วงทีหนักในทางยียวนกวนให้ระเริง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/54513333075576_50_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๐
อีกทั้งระบำดนตรีชั้นเยี่ยม จะพึงขับกล่อมให้ถึงพระทัยของพระราชกุมารหนุ่ม นางบริวารหน้าหวานตาคม ที่มีกลิ่นกายหอมระรื่นด้วยเครื่องอบพรม นั่งอยู่ใกล้ๆ ซ้ายขวา บรรจงรินน้ำจัณฑ์อย่างวิเศษ ถวายดื่มเพื่อกระตุ้นเตือนพระทัย ให้นิยมในการร่ายรำของนางที่นุ่งห่มด้วยอาภรณ์บาง เกิดความศักดิ์สิทธิ์ขึ้น


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/45161791311369_51_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๑
เป็นความจริงยิ่งนัก ที่เสียงดนตรีและขับร้อง ประกอบด้วยท่าอันอรชร ซึ่งมีกลิ่นหอมฟุ้งจรุงใจ ได้มีอำนาจแปรพระทัยที่เคยบ่มแต่เศร้า ช่างคิดช่างวิเคราะห์ ให้หันมาละเมอเพ้อฝันไปในทางกามคุณได้ชั่วขณะ เจ้าชายสิทธัตถะมีพระทัยแจ่มใส และระเริงอยู่ในความเร่าร้อนแห่งรูปรสกลิ่นเสียงตลอดเวลา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload/22276487739549_52_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๒
แต่ความระเริงทั้งหลายจะอยู่กับพระมหาบุรุษนานสักเท่าใดเล่า ในครู่ต่อมา พระทัยอันรู้ผิดชอบได้กลับมาอีก เกิดเบื่อหน่ายขึ้นอย่างเงียบๆ รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นมายาอันประดิษฐ์ขึ้น เพื่อประสงค์ในทางใดทางหนึ่งเท่านั้น ซึ่งมิใช่ความจริงที่เป็นอยู่โดยปรกติ พระองค์จึงก้มพระพักตร์เสีย ให้ภาพและเสียงทั้งหมดผ่านพ้นไป



ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 06 มกราคม 2567 11:37:05
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/81289070927434_53_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๓
งานหนักได้เกิดขึ้นกับพระเจ้าสุทโธทนะและเหล่าอำมาตย์อีกอย่างยิ่ง ที่พิธีการชักจูงพระทัยพระราชกุมาร ให้แปรเปลี่ยนจากเดิม มาระเริงในลาภยศและอำนาจไม่เกิดผล จึงคิดการกันใหม่ คือจะมีการฉลองปราสาท ให้มีนางงามทั้งหลายมาประกวดกัน และให้เจ้าชายเป็นผู้แจกรางวัลเอง แล้วขุนนางก็แยกย้ายแจ้งข่าวนี้แก่สตรีทั่วไป


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/11453686820136_54_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๔
ในครั้งนี้ถือเป็นงานใหม่ และแปลกสำหรับกรุงกบิลพัสดุ์ พวกสตรีสาวสวยและไม่สวย ทั้งในวังและนอกวังพากันตื่นเต้นยิ่งนัก เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่จะได้อวดโฉมต่อหน้าพระราชกุมารหนุ่มผู้ยิ่งใหญ่แห่งกรุงนี้ ซึ่งรู้กันอยู่ว่า เจ้าชายนี้มีพระสิริร่างงดงามน่าพิศวาสนัก ต่างนางจึงต่างปรับปรุงร่างกายเป็นการใหญ่ สุดแต่จะมีทางใดทำให้เพิ่มความงามขึ้นได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/25859221609102_55_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๕
ครั้นถึงวันกำหนดงาน บรรดานางงามทั้งหลายได้เดินผ่านหน้าที่ประทับเจ้าชาย ซึ่งใจของแต่ละนางแต่เดิมนั้น คิดไว้ว่าจะเดินให้สวย ทิ้งตาให้คมและหวานตรงกับพระเนตรเจ้าชายยิ่งนัก แต่ครั้นจริงจังเข้า ทุกนางก็เกิดประหม่า ในพระลักษณะอันงามและสงบนิ่งของเจ้าชาย เลยต่างอายต่างก้มหน้าไปทั้งสิ้น


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40414388560586_56_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๖
ความคาดหวังของเหล่าอำมาตย์จึงเกือบจะหมดสิ้นอีก เมื่อเห็นเจ้าชายมิได้ตะลึงตะไลในนารีใดเลย ทรงมีพระอิริยาบถเฉย ๆ สงบ กระทำให้ฝ่ายหญิงเสียอีกเป็นฝ่ายอายและเกรงขาม พระองค์ทรงแจกรางวัลให้แก่ทุกนางด้วยดวงพระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ และกล่าวขอบใจ ส่วนหญิงนั้นซิ ทุกคนสะทกสะเทิ้นขาสั่น ไม่มีถ้อยคำใดจะถวายพระพรเลย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/59912800830271_57_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๗
เมื่อหมดตัวนางงามแล้ว พระเจ้าสุทโธทนะและอำมาตย์แทบหมดหวัง จะหานางใดมีอำนาจบังคับจิตเจ้าชายให้ประสงค์ในนารีเพื่อทำการเสกสมรส ณ บัดนั้นก็เกิดความประหลาดตื่นเต้นขึ้น ทุกคนได้เห็นพระกิริยาเจ้าชายผิดแผกไปจากเดิม ในเมื่อมีหญิงอีกคนหนึ่งเป็นคนสุดท้าย ที่ค่อยนวยนาดมา นางนั้นช่างงามราวกับเทพนารี แสนจะตรึงตาตรึงใจเมื่อยามเยื้องกรายแต่ละก้าว


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/91600874066352_58_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๘
นางคนสุดท้ายนี้ คือเจ้าหญิงศรียโสธรานั่นเอง นางย่างกรายมาด้วยความสง่า ความงามนั้นสุดจะพรรณนาได้ เป็นนางเดียวเท่านั้นที่ตั้งคอตรงและทอดดวงเนตรสบกับพระเนตรเจ้าชายได้ตรง ทันทีทุกคนก็เห็นว่า เจ้าชายนั้นมีการหวั่นไหวจนเห็นถนัด ทรงตะลึงพรึงเพริดในความงาม และใคร่จะได้ใกล้ชิดนางเป็นที่สุด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18707036268379_59_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๕๙
เจ้าหญิงศรียโสธราสบพระเนตรแล้วทูลถามว่า "พระองค์ยังมีรางวัลจะประทานแก่หม่อมฉันไหม?" เจ้าชายสิทธัตถะตอบว่า "รางวัลนั้นหมดไปแล้ว แต่สำหรับน้องหญิง โปรดได้รับสิ่งนี้จากเราเป็นพิเศษ" ตรัสแล้วพระองก็จึงปลดสร้อยพระศอประจำวงศ์แห่งพระองค์ สวมให้แก่เจ้าหญิง "ขอน้องหญิงจงรับไว้เป็นไมตรีจากเราด้วยเถิด"


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88574925975667_60_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๖๐
พระราชอิริยาบถของเจ้าชายและเจ้าหญิงนั้น จะได้รอดพ้นจากความสังเกตของพระราชบิดาและอำมาตย์ ผู้ช่ำชองในเชิงรักก็หาไม่ พ้นพิธีแล้ว ณ ที่ลับตา เหล่าอำมาตย์ต่างกอดกันด้วยปรีดา และก็กอดขาพระเจ้าสุทโธทนะด้วยความปราโมทย์ ในกิจที่ก่อขึ้นเกิดผลสมบูรณ์อย่างยอดเยี่ยมเกินคาด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/63025743886828_61_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๖๑
อลัดตัดความถึงตอนสำคัญ เมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้เกิดรักเจ้าหญิงศรียโสธราแล้วโดยแน่นอน ย่อมสบพระทัยตามแผนการของพระราชบิดา จึงพร้อมด้วยอำมาตย์รีบดำเนินการสานต่อที่ก่อไว้ คือรีบส่งทูตเจรจาสู่ขอเจ้าหญิงต่อพระบิดาของเธอ แต่ตามประเพณีสืบเนื่องมาแต่โบราณกาลนั้น เจ้าชายใดจะขอหมั้นเจ้าหญิงใด จะต้องมีการแข่งขันประลองยุทธศิลป์กับเจ้าชายอื่น ๆ ใครชนะเลิศก็ทำการหมั้นได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67283538646168_62_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๖๒
เมื่อทางพระบิดาเจ้าหญิงตอบว่ามิขัดข้อง หากแต่ขอให้ดำเนินพิธีเยี่ยงกษัตริย์เก่าที่ทำมาจงเรียบร้อย จึงเป็นที่อึดอัดพระทัยของพระเจ้าสุทโธทนะยิ่งนัก หากว่าจะยึดพิธีเก่าแล้วไซร้ ไฉนเจ้าชายสิทธัตถะจะมีหวังได้หมั้นเจ้าหญิง เพราะพระราชกุมารนั้นมีทีท่าอ่อนแอจะเป็นนักพรตมากกว่าจะเป็นนักรบ ด้วยชายอื่น ๆ นั้นช่ำชองน่าเกรงขามอยู่


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/68412309885024_63_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๖๓
เจ้าชายสิทธัตถะเห็นพระราชบิดาเป็นทุกข์ในการแข่งขันยุทธศิลป์ จึงทรงพระสรวลแล้วทูลว่า ขอพระราชบิดาได้ทรงมั่นพระทัยในวิชายุทธศิลป์แห่งลูกเถิด เพราะลูกได้ฝึกฝนไว้เป็นอย่างดีมิได้ยิ่งหย่อนเลย วิชาทั้งหมดในเชิงยุทธิ์ลูกฝึกฝนไว้ลับ ๆ ซึ่งพระบิดามิทรงทราบ เมื่อพระเจ้าสุทโทธนะได้รับการยืนยันแล้ว จึงประกาศแข่งขันทันที


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/90067492880754_64_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๖๔
ครั้นครบกำหนดเจ็ดวัน เหล่าเจ้านายทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระญาติพระวงศ์แต่ละฝ่ายก็มาชุมนุมกันที่สนามหลวงแห่งกรุงกบิลพัสดุ์ พร้อมด้วยประชาชน เจ้าชายสิทธัตถะเป็นตัวยืนให้เจ้าชายทั้งหลายเข้าชิง เจ้าชายทุกพระองค์ก็มุ่งในจุดเดียวกัน คือเจ้าหญิงศรียโสธรายอดดวงใจ ใครชนะก็ทรงทำการหมั้นได้ทันที


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/57182897213432_65_Copy_.jpg)
        ภาพที่ ๖๕
ณ บัดนั้น ในที่ชุมนุมท้องสนามหลวงได้เกิดความตื่นเต้นขึ้นทั้งไพร่ผู้ดีและเข็ญใจ คือมีเสียงดนตรีแห่แหนกันมาทางด้านหนึ่ง ผู้คนที่ยัดเยียดต่างแยกแหวกทางเป็นช่อง ดนตรีที่นำขบวนนั้นเป็นหญิงทั้งสิ้นบรรเลงนำ เจ้าหญิงศรียโสธรา ซึ่งประทับอยู่บนเสลี่ยง เสด็จผ่านฝูงชนมาด้วยสิริโฉมที่งดงามและมีศักดิ์ศรี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/42252068966627_66_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๖๖
ในอีกครู่หนึ่งก็มีการแตกตื่นกันอีก ด้วยเจ้าชายสิทธัตถะผู้เป็นตัวยืนในการชิงชัยครั้งนี้ เสด็จมาโดยทรงม้าขาวแหวกฝูงชนมาช้า ๆ ท่ามกลางการโห่ร้อง ด้วยสีพระพักตร์เป็นปรกติ ไม่ตื่นเต้นลิงโลดแม้แต่น้อย ด้วยว่าพระองค์กำลังครุ่นคิดถึงชีวิตของคนยากจนและคนมั่งมีที่แตกต่างกัน เท่าที่เห็นในชุมนุมนี้ จึงมีพระทัยสลด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/25452684569689_67_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๖๗
ครั้นพระองค์หันพระพักตร์ไปพบเจ้าหญิงศรียโสธราเข้า สีพระพักตร์จึงกลับสดใสขึ้น และพระทัยคึกคะนองในเรื่องรัก อันความมุ่งหมายทางชิงชัยได้ระอุขึ้นเยี่ยงคนวัยหนุ่มทั้งหลาย ชิงชัยเพื่อความรักชิงชัยเพื่อเจ้าหญิงศรียโสธราอันเป็นยอดปรารถนา พระองค์จะต้องชิงชัยโดยเหี้ยมหาญ ไม่อ่อนข้อลดข้อให้ใครอีก ณ บัดนี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67332774110966_68_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๖๘
าเริง เยี่ยงหนุ่มคะนองทั้งหลายที่ระเริงในรูปในยศในความเก่งกล้าของตน ทุกลมหายใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความเห็นเข้าข้างตัว ยิ่งกว่าจะเห็นใจผู้ใด ต้องการมีสิทธิแต่ผู้เดียวในเรื่องรัก มิใยใครจะมีใจตรงกับพระองค์ แล้วพระองค์ประกาศจะชิงชัยทุกประเภท     





ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 09 มีนาคม 2567 14:24:32
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46924852497047_69_Copy_.jpg)
        ภาพที่ ๖๙
ครั้นแล้ว ยุทธศิลป์ชิงนางก็ได้เริ่มขึ้น โดยเจ้าชายนันทะท้าประลองยิงธนูสู่เป้าหมายในระยะทาง ๖ โคว (๑๓๐๐ ฟุต) โดยประมาณกำลังของผู้ยิง จะต้องยิงได้ไกลและแม่นยำต่อเป้าหมายด้วย เจ้าชายอรชุนก็ประกาศระยะทาง ๖ โคว เช่นกัน แต่เจ้าชายเทวทัตนั้นเชื่อพระองค์ว่าเหนือผู้ใด จึงประกาศระยะทางถึง ๘ โคว


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74853644313083_70_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๐
ครั้นถึงเจ้าชายสิทธัตถะเล่า บัดนั้น พระองค์มิใช่หนุ่มที่เงื่องหงอย ที่คอยคิดจะสละสุขอย่างเคย พระองค์ต้องการเด่น ต้องการความชนะ พระองค์เชื่อในตัวเอง จึงประกาศระยะทางถึง ๑๐ โคว ไกลจนเห็นเป้าหมายเท่าเบี้ยเล็กๆ ประชาชนถึงกับอื้ออึงสนเท่ห์ใจ ว่าผู้ใดในโลกจะมีกำลังยิงถึงและแม่นยำตรงเป้าได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88524237482084_71_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๑
การยิงธนูได้เริ่มขึ้นโดยนันทะเป็นผู้ยิงก่อน และท้าวเธอก็น้าวสายยิงไปตามระยะกำหนด ถูกเป้าหมายมิได้พลาด มาถึงอรชุนก็ถูกเป้าหมายตามระยะกำหนดเช่นกัน เทวทัตมีระยะทางไกลกว่า จึงน้าวสายด้วยกำลังข้อที่แข็งแกร่งของพระองค์ แล้วปล่อยลูกธนูทะลุเป้าดังสนั่น ประชาชนได้โห่ร้องขึ้นอึงคะนึง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/87508420770366_72_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๒
ถึงคราวองค์สิทธัตถะ ได้รับคันธนูจากคู่แข่งขันมาพิจารณา สงสัยว่าจะไม่มีกำลังแรงพอที่จะส่งถูกไปถึงระยะ ๑๐ โคว ได้ พระองค์จึงทรงโก่งคันธนูอย่างเต็มเหนี่ยว คันธนูนั้นได้หักสะบั้น ทั้งนี้เป็นลางนิมิตของผู้ยิ่งใหญ่ทั่วๆ ไปในโลก จะพึงสำแดงเป็นอภินิหารให้เห็น จึงทำให้ประชาชนตะลึงงัน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/95626369822356_73_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๓
ได้มีผู้เสนอคันธนูอีกอันหนึ่ง ซึ่งเป็นของสิงหนุเก็บรักษาไว้ในวิหาร เพราะไม่มีผู้ใดในกบิลพัสดุ์จะสามารถโก่งคันธนูนั้นได้ ตลอดจนเจ้าชายทั้งหลายก็ได้ทดลองมาแล้วทั้งนั้น เจ้าชายสิทธัตถะรับคันธนูนั้นมาลองโก่งดู และก็โก่งได้สบาย ซึ่งเป็นเพราะบุญญาบารมีของพระองค์นั่นเอง จึงทำอะไรได้เหนือมนุษย์อื่น


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/64267452930410_74_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๔
เมื่อการโก่งธนูได้สำเร็จแล้ว พระองค์ก็หยิบลูกธนูขึ้นพาดสาย แล้วยิงไปยังเป้าที่ไกลแสนไกล ด้วยอภินิหารของมหาบุรุษ พอธนูออกจากแหล่งวิ่งแหวกอากาศไป ก็เกิดเสียงกัมปนาทขึ้น ซึ่งเกิดจากเสียงสายธนูหนึ่ง และการแหวกอากาศของลูกธนหนึ่ง จึงสะท้านสะเทือนเป็นที่อัศจรรย์ใจแก่คนทั่วไปยิ่งนัก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/17594608333375_75_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๕
ครั้นปรากฏว่าลูกธนูของเจ้าชายถูกต้องและทะลุเลยไป ประชาชนได้โห่ร้องกึกก้องหวั่นไหว และได้ถือเป็นมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับกรุงกบิลพัสดุ์ ถ้าจะสังเกตกริยาของผู้ดูการแข่งขันในคราวนี้ ก็จะเห็นพระอิริยาบถของเจ้าหญิงศรียโสธรานั่นเอง ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เมื่อขณะสิทธัตถะยิงธนู เจ้าหญิงพระพักตร์จืดเพราะกลัวผิดเป้า พอยิ่งถูกแล้ว ท้าวเธอก็แจ่มใสยิ่งนัก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/21279260723127_76_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๖
ครั้นปรากฏว่าลูกธนูของเจ้าชายถูกต้องและทะลุเลยไป ประชาชนได้โห่ร้องกึกก้องหวั่นไหว และได้ถือเป็นมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่สำหรับกรุงกบิลพัสดุ์ ถ้าจะสังเกตกริยาของผู้ดูการแข่งขันในคราวนี้ ก็จะเห็นพระอิริยาบถของเจ้าหญิงศรียโสธรานั่นเอง ที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เมื่อขณะสิทธัตถะยิงธนู เจ้าหญิงพระพักตร์จืดเพราะกลัวผิดเป้า พอยิ่งถูกแล้ว ท้าวเธอก็แจ่มใสยิ่งนัก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/73151732029186_77_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๗
การแข่งขันตัดไม้ได้ผ่านไปแล้วโดยเจ้าชายสิทธัตถะชนะอย่างขาวสะอาด จึงมีการแข่งขันขี่ม้าพยศขึ้นอีก และต้องเลือกให้สมเกียรติแก่ผู้แข่งขัน คือต้องเป็นม้าร้ายที่สุด มีอยู่ตัวหนึ่งดำดังสีหมึก แม้แต่ยังอยู่ในเครื่องพันธนาการ ยังพยศเอาการ เจ้าชายหลายพระองค์ได้ถูกสะบัดตกหมด เป็นที่อับอายขายหน้า ยังคงเหลือแต่อรชุนกับพระสิทธัตถะเท่านั้น


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13048549865682_78_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๘
อรชุนเก่งกาจเอาการอยู่ในเรื่องม้าพยศ พระองค์ทรงขึ้นหลังได้โดยไม่ถูกสะบัดตก แต่ครั้นแก้โซ่ออกแล้วก็พยศหนัก แว้งกัดขาอรชุนตกจากหลังลงนอนกับพื้น ซ้ำร้ายกว่านั้นยังจะตรงเข้าพิฆาตฆ่าเสียอีก ด้วยฤทธิ์บ้าประดุจผีร้ายสิง พนักงานกองไม้ได้เฮกันเข้าช่วยยึดมาไว้ แล้วรีบพยุงเอาอรชุนขึ้นจากพื้นพาพ้นที่นั้นไป


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51445437098542_79_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๗๙
ถึงคราวพระสิทธัตถะ คนทั้งหมดในที่นั้นต่างขอร้องอื้ออึง มิให้ปล่อยพระราชกุมารไปเกลือกกลั้วกับม้าผีร้ายนั้นให้ทำร้ายพระองค์ แต่เจ้าชายยืนสงบนิ่งด้วยพระทัยอันแน่วแน่ ซึ่งเป็นอิริยาบถของผู้แรงกล้าด้วยเมตตาจิต พระองค์ร้องให้ปล่อยม้า แล้วย่างเข้าหาม้าอย่างช้า ๆ อย่างผู้มีบารมีคุ้มกัน ม้ายืนตะลึง พระองค์ลูบหน้าตามันอย่างปราณี


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88550010075171_80_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๐
ม้าร้ายได้หมดพยศเสียแล้ว มันได้พบแล้วกับผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาจิตที่ส่งกระแสออกมาทางพระเนตรของพระองค์ มันยืนตัวสั่นด้วยปีติใจ แล้วพระองค์จึงโดดขึ้นขี่หลัง บังคับด้วยพระชานุและพระหัตถ์ของพระองค์ ให้มันเดินไปรอบๆ ให้ประชาชนชมให้ทั่วถึงกัน



ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 29 พฤษภาคม 2567 17:18:12
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/20461434705389_81_Copy_.jpg)
        ภาพที่ ๘๑
การแข่งขันในเชิงยุทธศิลป์ได้จบลงแล้ว โดยยอมรับนับถืออันแน่นอนจากเจ้าชายทั้งหลายและประชาชน พระบิดาของเจ้าหญิงได้เข้ากอดพระสิทธัตถะ พร้อมกับกล่าวว่า ความจริงนั้นท้าวเธอพอพระทัยในเจ้าชายอยู่แล้ว เมื่อมาได้ชัยชนะอันยิ่งใหญ่สุดที่ใครจะเสมอเหมือนดังนี้ จึงปลื้มพระทัยนัก จึงจะขอมอบของขวัญอันสูงค่าให้ในครานี้ แล้วท้าวเธอก็ผายพระหัตถ์ไปทางเจ้าหญิงศรียโสธรา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/79070774507191_82_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๒
ขณะนั้น เจ้าหญิงได้เตรียมประคองพวงมาลัยดอกมะลิที่หอมฟุ้ง พลางสยายผ้าสไบให้พ้นพระเศียร เปิดเผยโฉมพระพักตร์อย่างเต็มที่ต่อหน้าประชาชน แล้วทรงดำเนินผ่านเจ้าชายทั้งหลายไปด้วยพระสิริร่างอันงามเฉิดฉาย ตรงไปสู่พระสิทธัตถะ เพื่อประกาศการมอบพระองค์แด่เจ้าชายผู้ชนะเลิศในการแข่งขันยุทธศิลป์ในครั้งนี้ ต่อหน้าคนทั่วไปไว้เป็นพยาน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/92414691133631_83_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๓
ท้าวเธอได้ย่อพระกายคารวะแด่พระสิทธัตถะอย่างน้อม แล้วประคองพวงมาลัยขึ้น พลางมองสบพระเนตรพระเจ้าชายอย่างตรง ประหนึ่งจะฉายกระแสพระเนตรแห่งนางให้เป็นคำพูดว่า "โปรดรับมาลัยนี้กับรับมอบตัวข้าพระองค์ทั้งกายและใจซึ่งเป็นสิทธิของพระองค์แล้ว" พระสิทธัตถะได้ก้มพระเศียรลงต่ำให้ท้าวนางเธอได้สวมมาลัยด้วยพระหัตถ์อย่างถนัด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18434530537989_84_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๔
พระสิทธัตถะสุดจะปลื้มพระทัย เป็นครั้งแรกในชีวิตซึ่งมีแต่หนักไปทางนักพรต บัดนี้ พระองค์มีดวงหทัยเช่นเดียวกับหนุ่มทั่วไปที่สมปองในรัก พระองค์ดำรัสอะไรไม่ออก นอกจากใช้พระเนตรเป็นสื่อสารแทนคำพูด และโอษฐ์ที่ยิ้มแฉ่งนั้นเป็นคำรับคำตอบอย่างลึก แล้วพระองค์จึงอ้าพระกรออกกอดประทับ เมื่อเจ้าหญิงได้ซบพระพักตร์ลงที่พระอุระของพระองค์ ประชาชนก็โห่ร้องกึกก้อง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/84632234068380_85_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๕
ขอผ่านการกล่าวพิธีวิวาห์อันมโหฬารเสีย ลัดเข้าถึงสองพระองค์เสร็จพิธีแล้ว ได้เสวยสุขยังปราสาทที่ใหม่ที่สุด เยี่ยมที่สุด มีอยู่หลายชั้นสูงต่ำลดหลั่นกันมาตามเชิงเขา มีอุทยานที่สวยสดด้วยนานาพฤกษาดอกหอมและดอกสี มีพื้นที่ติดกับภูเขาหิมาลัย มีสายธารไหลผ่าน ซึ่งเชื่อมมาแต่สายธารแห่งเทพเจ้าเบื้องบน และสัตว์เลี้ยงอีกนานาชนิดเป็นอาภรณ์ของอุทยาน ดังหนึ่งสองพระองค์เสวยสุขอยู่แดนสวรรค์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/39244509860873_86_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๖
ระเบียงด้านหนึ่งนั้น เสาที่เรียงรายเป็นภาพแกะสลัก ตั้งแต่ต้นจนถึงขื่อเพดาน ด้วยเรื่องพระกฤษณะเจ้าแห่งความรัก ตอนพื้นล่างไปมีสระบัวที่บานสะพรั่งมีกำแพงเตี้ย ๆ กั้นไว้เป็นชั้น ๆ ชั้นกลางนั้นมีซุ้มประตู สร้างรูปพระคเณศวรผู้เป็นเจ้าแห่งฤกษ์ ข้างเฉลียงมีตู้ปลาสร้างด้วยแก้วเจียระไน มีปลาพันธุ์งาม ๆ ว่ายวนเวียน ดูแล้วสุดจะเพลิดเพลินลืมทุกข์ทั้งมวล


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/72557460185554_87_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๗
ภายในปราสาททุกมุม จะมีนางล้วนแต่ร่างสะคราญ เป็นเจ้าหน้าที่คอยรับใช้ทั่วไป พร้อมดนตรีขับกล่อมอยู่ทุกโมงยามตลอดสรงเสวย สุดแต่ตื่นบรรทมเมื่อใด ดนตรีจะบรรเลงเยือกเย็นและเพราะพริ้งด้วยเสียงนางขับร้องล้วนแต่เนื้อเพลงที่เจริญหู มิยอมจะให้เกิดทุกข์ขึ้นได้ในโมงใดนาทีใด ประกาศห้ามคนทั้งหมดกล่าวคำ เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย ในที่นั้น


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/26735903446872_88_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๘
ปราสาทอันสวยงามและอุทยานอันน่ารื่นรมย์นี้ เพียงมองด้วยตาเท่านั้นจะรู้สึกว่าสูงไม่แพ้เมืองแมนแห่งเทพเจ้า แต่ถ้ารู้ความจริงหลังฉากแล้วไซร้ สถานนี้คือที่คุมขังอันวิจิตรนั้นเอง กว่าจะเข้าออกได้ต้องผ่านกำแพงถึงสามชั้น และแต่ละชั้นมียามรักษาอย่างเอาชีวิตเป็นประกัน แม้แต่พระสิทธัตถะกว่าจะเข้าออก จะออกก็มิได้ เรื่องนี้เจ้าชายสิทธัตถะหาได้ทรงทราบไม่ นั่นคือคำสั่งของพระราชบิดานั่นเอง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/98424279855357_89_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๘๙
พระสิทธัตถะเสวยสุขอยู่ในพระราชฐานอย่างลืมทุกข์ ลืมแก่ ลืมเจ็บ ลืมตาย ทุกโมงยามจะระเริงอยู่กับความรักในองค์ศรียโสธรา ไม่เคยได้สติเลยว่า พระองค์จะเป็นอย่างไรต่อไปภายหน้า ไม่เคยรู้เลยว่ามนุษย์ทุกคนเกิดแล้วต้องตาย พระองค์หมดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นตัวของพระองค์เอง ลืมตาจากบรรทมก็พบแต่สุขแสนสุข เสียงดนตรีเล่า เจ้าหญิงเล่า สนมงาม ๆ เล่า จะคอยบำรุงบำเรอตลอดเวลามิเคลื่อนคลาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/71966777286595_90_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๐
ก่อนจะหลับ พระองค์เอาเศียรหนุนพระอุระของเจ้าหญิงผู้เป็นนางแก้วของพระองค์ และทั้งได้รับการลูบไล้จากพระหัตถ์น้อย ๆ ที่นุ่มนิ่มของเธอจนหลับไป ต่อบางเวลาพระองค์จะมีสติคืนตัว เมื่อเวลาทรงสุบินเห็นโลกมนุษย์นี้อลเวงนัก พระองค์จะผวาเพ้อออกมาในสิ่งที่ฝันเห็น และในทันที ดนตรีจะรีบขับกล่อมด้วยเพลงที่แสนระเริงกลมกล่อมขึ้นเสียทันกัน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74388196195165_91_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๑
พระองค์ทรงโปรดพิณอยู่คันหนึ่ง ซึ่งมีสายเป็นเงินเนื้อดี พิณนั้นถ้าวางที่ช่องทางลม จะเกิดกังวานประสานเสียงด้วยสายลมที่เสียดสี เกิดเป็นเพลงขึ้นได้ โดยหัวใจผู้ฟังประพันธ์ไปเอง กลับมีรสนิยมผิดไปกว่าคนบรรเลงด้วยมือ พระองค์มักโปรดให้วางพิณนั้นที่ทางลมเสมอ และน่าประหลาดที่คล้ายเทพเจ้าสิงมากับกระแสลม แล้วเสียดสีสายพิณให้เป็นเพลงที่เจ้าชายจะฟังได้เข้าใจเรื่องทั้งหมด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/71206446695658_92_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๒
เพลงจากสายพิณที่เกิดโดยลมนั้น ดูจงใจจะให้ฟังประกอบรูปเรื่องได้ก็แต่เฉพาะหัวใจของพระมหาบุรุษเท่านั้น รู้เรื่องด้วยหัวใจสัมผัส เป็นเรื่องอลเวงของโลก ความทุกข์ยากแห่งปวงสัตว์ ชาวโลกละเมออยู่กับกามารมณ์ ละเมออยู่กับลาภและสิ่งเย้ายวน บางตอนคล้าย ๆ กับชาวโลกทั้งผองจะเรียกร้องให้พระองค์เป็นผู้เห็นใจเห็นทุกข์ เป็นศาสดาสอนชาวโลกให้สงบและพันทางวิบัติ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/33337347664766_93_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๓
พระสิทธัตถะทรงคำนึงเนื้อเพลงในสายลมอยู่เงียบ ๆ วันหนึ่ง นักร้องประจำราชสำนักได้จดจำเนื้อเพลงหนึ่งมาร้องถวาย เนื้อเพลงนั้นกล่าวถึงโลกอันไพศาล กล่าวถึงแคว้นต่าง ๆ ไกลๆ ซึ่งมีอะไรต่ออะไรที่น่าดู พระองค์จึงครุ่นคิดอยากเห็นสิ่งนั้น ๆ ด้วยพระเนตร และยังสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ ที่นางขับร้องมานั้นยังจะเหมือนกับที่พระองค์ทรงรอบรู้ในเพลงตามสายพิณนั้นหรือไม่ และโลกที่พ้นจากพระราชฐานนี้จะกว้างใหญ่สักปานใด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/22793287576900_94_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๔
พระสิทธัตถะได้สั่งให้คนไปทูลกับพระราชบิดา อยากจะออกเที่ยวชมพระนคร ซึ่งครั้งหนึ่งเมื่อยังเด็กเคยไปเที่ยวในวันแรกนาขวัญ พระเจ้าสุทโธทนะรับสั่งอนุญาต แต่รีบสั่งอำมาตย์ให้เร่งป่าวร้องชาวเมืองจงทำความสะอาดบ้านเมืองบ้านช่อง ตกแต่งให้งดงามจงทุกแห่ง ขอทานไม่มี คนแก่ไม่มี คนเจ็บไม่มี คนตายไม่มี นครกบิลพัสดุ์จะต้องผาสุกมิรู้จักดับมิรู้จักโทรม มีแต่เจริญรุ่งโรจน์ค้ำโลกอยู่กระนั้นนั่นเทียว


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/63929168962769_95_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๕
ครั้นถึงกำหนดชมพระนคร นายฉันนะได้จัดรถทรงงามหรู เทียมโคคู่ขาวผ่อง ซึ่งแต่งทั้งรถทั้งโคเพราเพริศตามแบบกษัตริย์ และทุกถนนก็เต็มไปด้วยความสดชื่นรื่นรมย์ โดยมารยาแต่งทำที่ราษฎรถูกผู้ควบคุมท้องถิ่นบังคับให้ทำ เจ้าชายสิทธัตถะจึงพบแต่ความหรรษาของปวงชน ถึงกับทรงรำพึงออกมาว่า ราษฎรเราช่างสุขสบายถึงปานนี้เชียวหนอ น่าปลื้มพระทัยนัก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/62170666414830_96_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๖
อีกแดนหนึ่งห่างออกมา ก็คงมีแต่ความหรรษาเช่นแดนอื่น ๆ ที่ผ่านมาแล้ว ไม่มีความทุกข์อยู่ในมนุษย์เลยจนคนเดียว แต่บัดใจนั้นเองก็เกิดโกลาหลขึ้น คือ มีคนชราผอมแห้งกะโผลกกะเผลกออกจากที่ซึ่งถูกบังคับให้ซ่อนตัว ตะแกหลุดออกมาได้ก็ร้องตะโกนด้วยเสียงแหบแห้งว่า หิวโหยเป็นกำลัง สุดจะทนซ่อนมิให้ออกภิกขาจารนั้นมิได้แล้ว ฝูงชนก็เข้ากีดขวางกันแกไว้ พระสิทธัตถะสงสัยพระทัยจึงสั่งหยุดราชรถ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/90554847568273_97_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๗
พระสิทธัตถะได้สั่งให้คนทั้งหมด ปลดปล่อยชายชรานั้นไป แล้วสั่งนายฉันนะให้นำรถกลับพระราชวังที่แสนบรมสุข พระองค์เคร่งขรึมผิดไปจากเดิม ทั้งมีพระประสงค์จะอยู่โดยลำพังในราชอุทยาน ทรงครุ่นคิดแต่ในความรู้ใหม่ที่ได้พบมา ซึ่งนายฉันนะช่วยบรรยายถวายมาในระหว่างทางว่า คนเราทุกคน เมื่อพ้นจากเด็กก็โตเป็นหนุ่มสาว และนานปีเข้าก็แก่ชรา สังขารเหี่ยวย่นร่วงโรยดังที่เห็นนั้นทุกเพศ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/59297338790363_98_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๘
พระองค์เริ่มเกิดทุกข์ในพระทัยเป็นครั้งแรก เป็นความทุกข์ซึ่งมาจากการห่วงใยและเสียดายร่างกายของพระองค์ว่าจะต้องเป็นไปดังชายชรานั้น จึงมิไยดีจะระเริงสุขดั่งเคย ไม่เสวยผลไม้นมเนย และเบื่อหน่ายดนตรี เฝ้าแต่ครุ่นคิดเสียดายร่างกายที่งดงามจะกลับกลาย ปราสาทที่งดงาม ทั้งอุทยานที่สวยสดทั้งหลาย ในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า เจ้าของผู้ครองก็จะมีร่างกายที่น่าเกลียดเดินปะปนอยู่กับของสวยงามเหล่านี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/45386734190914_99_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๙๙
เหล่าชาวที่นักดนตรีคงบรรเลงอยู่ตามหน้าที่ นักระบำร่างสะคราญยังนวยนาดวาดวงก้านไปตามจังหวะทั้งช้าและเร็วเร่าร้อนด้วยชั้นเชิงยั่วราคะ พระองค์ทุกข์ระทมพระทัย จึงมิโปรดปรานอย่างเคย ทั้งยังทอดพระเนตรนางนั้นด้วยการเปรียบเทียบว่า ร่างอันสะคราญนั้นอีกหลายปีข้างหน้าก็จะแปรผันไป เมื่อนางนั้นยังคงยึดวิชาร่ายรำอยู่ จะน่าเกลียดสักปานใดเมื่อร่างกายนางนั้นได้แปรรูปไปเสียแล้ว


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/67788113156954_100_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๐
สงสารอยู่แต่ยอดดวงหทัยของพระองค์ ที่เฝ้าทูลถามพระองค์ด้วยพระสุรเสียงละห้อยละเหี่ย ว่าพระองค์ไม่มีความสุขในข้าพระองค์นี้เสียแล้วหรือ คำนี้ก็เป็นครั้งแรกอีกที่พระองค์ได้ยิน และพระองค์ก็ไม่ทรงประสงค์จะได้ยินดังนี้ เพราะเป็นเสียงที่ทุกข์ระทมน้อยพระทัยของเจ้าหญิงด้วยเกรงจะหมดรักเธอ เหตุใดเล่าพระองค์จึงเป็นผู้ก่อให้แก่พระนางได้รับดังนี้ เกิดทุกข์เพิ่มขึ้นอีก เมื่อรู้ว่าเทพีผู้ยอดสวาทมีทุกข์



ขอขอบคุณ มูลนิธิ เหม เวชกร (ที่มาเรื่อง/ภาพ)
700
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 กรกฎาคม 2567 19:50:58
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18122293344802_101_Copy_.jpg)
        ภาพที่ ๑๐๑
พระสิทธัตถะกอดประทับเจ้าหญิงศรียโสธราด้วยสุดสงสาร โอ ! เทพียอดสุดสวาท บัดนี้ดวงใจฉันได้เกิดทุกข์ทรมานห่วงใยและเสียดายในความสุขสำราญที่เคยรับ ด้วยนึกเห็นอยู่ว่าในภายหน้า เราทั้งสองจะต้องพบกับความชราภาพ โสธราเอ๋ย ในที่สุดก็หมดความสดสวย กลับกลายเป็นน่าเกลียด อ่อนแอและหลังโกงคู้ค่อม ดวงหน้างามที่สดใสจะเหี่ยวย่นจนน่าเกลียดน่ากลัว


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/35195227050118_102_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๒
ทรงรับสั่งต่อไปว่า จริงอยู่แม้เราทั้งสองจะแนบแอบชิดกันอยู่มิคลาย แต่ความชรานั้นจะทำให้เราทั้งสองหมดร่าเริง มีแต่อ่อนแอ ความรักอย่างคะนองจะไม่มี ความปรานีที่เธอให้ฉันอย่างอ่อนช้อยก็หมดไป เราจะพบกับความมืดมัวดังราตรีกาล ความรู้ใหม่นี้ฉันเพิ่งได้พบและคิดเห็น จะเกิดเป็นทุกข์ขึ้นทั้งกลางวันและกลางคืน จะบรรทมก็มิหลับ จะเสวยก็มิได้ ดั่งที่เธอเห็นอยู่ขณะนี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/91042394191026_103_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๓
จะกล่าวฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะ ในคืนหนึ่งนั้นบรรทมหลับ ทรงสุบินหลายอย่างหลายประการ เช่นว่าเห็นรัศมีของพระอินทร์ เห็นธงศักดิ์สิทธิ์ถูกลมพัดขาด เห็นเทพยดามาเก็บธงนั้นไป เห็นช้างสิบเชือกเดินแผ่นดินสะเทือน และอะไรต่ออะไรอีกมากมาย จนเห็นพระสิทธัตถะตีกลองดังสนั่นดังฟ้าผ่า พระองค์บรรทมตื่นกลางดึก ชักวุ่นวายพระทัย คิดไปแต่ข้างจะเกิดโชคร้ายอยู่ถ่ายเดียว


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/43701350109444_104_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๔
รุ่งเช้าพระเจ้าสุทโธทนะได้ประชุมโหราจารย์ทำนายข้อสุบิน แต่ก็หามีผู้ใดจะทำนายได้ จนต่อมาอีกหลายวัน จึงมีพระฤๅษีตนหนึ่งมาขอเข้าเฝ้า และจะขอทำนายพระสุบินให้ได้ทุกข้อ ฤๅษีตนนี้แม้จะไม่มีใครรู้จักเลยก็ตาม แต่เมื่อฤๅษีเข้าวังก็ถือเป็นมงคลอยู่ อีกทั้งอาสาจะช่วยทำนายพระสุบินที่ข้องพระทัย พระเจ้าสุทโธทนะจึงทรงต้อนรับด้วยความนอบน้อม


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16540439095761_105_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๕
พระฤๅษีได้ฟังคำบอกเล่าของพระเจ้าสุทโธทนะในความฝันทุก ๆ ข้อ แล้วพระฤาษีได้ทำนายอย่างแจ่มแจ้งเต่ละข้อ ซึ่งในพระสุบินนั้นมิได้มีข้อร้ายเลย กลับมีแต่ความรุ่งโรจน์ทุกข้อไปอย่างมหาศาล ที่กษัตริย์วงศ์นี้จะได้รับ และทั้งเป็นศรีแก่นครกบิลพัสดุ์ยิ่งนัก แต่ในเนื้อหานั้นกระเดียดไปทางว่า พระสิทธัตถะจะเสียสละราชสมบัติออกบวช


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/61019834420747_106_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๖
เมื่อพระฤๅษีลากลับไปแล้วพระเจ้าสุทโธทนะเกิดความกังวลและทุกข์พระทัยขึ้นอีก ด้วยเกรงว่าพระราชบุตรจะหนีออกนอกพระราชฐานไปบวช จึงเรียกอำมาตย์มาสั่งสำทับให้เพิ่มการรักษาประตูพระราชฐานให้หนาแน่นขึ้นอีกเท่าตัว และกวดขันการเข้าออกของบุคคลทั่วไป ตลอดจนพระสิทธัตถะก็ต้องกวดขันเช่นกัน โดยคำสั่งที่เด็ดขาด ถ้าผู้ใดละเมิด ผู้นั้นตาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/27577714208099_107_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๗
เป็นเรื่องประหลาดนักที่พระสิทธัตถะอยากออกชมพระนครอีกก็ออกไปได้ โดยพระราชบิดานั่นเอง ทรงอนุญาตให้ คงเนื่องจากความรักในพระราชบุตรหนึ่ง เหตุผลต่าง ๆ ที่พระสิทธัตถะอ้างถึงหนึ่ง พระราชบิดาก็จนด้วยวาจาจะคัดค้าน การออกจากพระราชฐานของพระสิทธัตถะในครานี้ มิได้เสด็จโดยราชรถ เปลี่ยนเป็นการไปอย่างสามัญชน และสองคนกับนายฉันนะ แต่งกายเป็นนายพานิชออกสู่พระนคร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/58110100651780_108_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๘
นายกับบ่าวสองคนเดินปะปนไปกับราษฎรทั้งหลาย จึงพบแต่ความจริงอันควรจะพบ ซึ่งเป็นความจริงประจำของชาวเมือง พ่อค้าแบกับดินกล่นเกลื่อน ถนนที่สกปรก ฝุ่นฟุ้งกลั้วกลบสินค้าต่างๆ ผู้คนเอะอะซื้อขาย ทุ่มเถียงกัน พวกวัวนอนเล่นเดินเล่นปะปนกับคน การสัญจรกล่นเกลื่อนไม่มีระเบียบ รวมแล้วไม่มีอะไรจะน่ายกย่อง หรือเกิดความหรรษา พวกขอทานน่าทุเรศมากมาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/54945610960324_109_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๐๙
ตลอดทางที่เดินมาอย่างชาวเมือง พระองค์กับนายสารถีได้ผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มีเกวียนที่ล้อทำด้วยหิน วัวต้องลากอย่างหนัก พวกแบกหามเอะอะสกปรก ที่ใครบางคนมีทีท่าจะมั่งมี มีคนใช้นำหน้าตามหลัง และคนนำหน้าจะตะโกนให้คนอื่น ๆ หลีกทางให้นายตัวเดินอย่างสบาย ส่วนพวกที่ยากจนจะเกรงบุญบารมี ต่างหลีกทางให้ เป็นการเหลื่อมล้ำต่ำสูงหมดความเสรีอันจะพึงมีสำหรับตน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/49636503722932_110_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๐
ร้านอาหารต่าง ๆ ที่ข้างทางวางแบรับฝุ่น คนขายแต่งตัวไม่สะอาด คนซื้อก็ยืนกินกันตามใจตัว คนขอทานเนื้อตัวน่าเกลียดยืนขออาหารปะปน ที่ขอได้ก็ได้บริโภคแก้หิว ที่ขอเขาไม่ให้ก็ยืนหน้าเหี่ยว พวกสุนัขเที่ยววุ่นซอกแซกเข้าโน่นออกนี่หาอาหารเลี้ยงท้องที่หิว พระสิทธัตถะทอดพระเนตรแล้วถอนพระทัย เป็นสิ่งแปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่เคยเห็นซึ่งผิดกับความเป็นอยู่ของพระองค์ราวฟ้ากับดิน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/69316294251216_111_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๑
ขอลัดตัดกล่าวถึง เมื่อพระสิทธัตถะได้ช่วยคนเจ็บคนหนึ่งที่ครวญครางอยู่ข้างทางให้พ้นการทรมาน โดยจ่ายเงินให้คนนำไปหาแพทย์แล้ว ทั้งสองได้มายืนอยู่บนสะพานข้ามสายน้ำแคบ ๆ พระองค์สนพระทัยในเรื่องคนเจ็บว่า อาการอย่างนั้นจะมีในทุกคนหรือเปล่า นายฉันนะทูลว่า การเจ็บป่วยย่อมมีประจำทุกตัวคน ซึ่งมันเป็นพิษที่มาโดยจร และทุกคนหารู้ไม่ว่าจะประสบเมื่อใด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/17965350465641_112_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๒
นปัญหาเรื่องการเจ็บไข้ยังมิทันจะหมดไป อีกซีกสะพานหนึ่งมีคนหลายคนหามศพเดินมา มีผู้ติดตามหญิงชาย ร้องไห้เศร้าโศก พระสิทธัตถะตะลึงมอง นายฉันนะทูลว่า นั่นคือการตายของมนุษย์ พระองค์ได้ถามถึงอาการตายอย่างละเอียด และย้อนว่า ทุกคนต้องตายทั้งนั้นหรือ นายฉันนะจึงทูลว่า การตายนั้นคนทุกคนต้องตาย บางคนแก่ชราหมดแรงตาย บางคนเจ็บตาย ทั้ง ๆ หนุ่มสาวหรือยังเด็กอยู่ก็ตายได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/55768303490347_113_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๓
เรื่องของความตายที่เห็นอยู่ ณ บัดนั้น พระสิทธัตถะสนพระทัยอย่างหนัก ถึงทรงตะลึง นับเป็นความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นจาก การแก่ การเจ็บ และความตายที่เห็นอยู่นั้น เป็นสุดทางของมนุษย์ พระองค์เร่งให้นายฉันนะเคลื่อนไปดูพิธีการตายนั้นอีก ซึ่งญาติของผู้ตายได้นำร่างกายที่ไม่มีความรู้สึกในสิ่งทั้งปวง วางลงบนกองฟืนที่ชายน้ำ พระองค์ได้เห็นลักษณะของคนตายเป็นครั้งแรก ซึ่งน่าเกลียดน่ากลัวนัก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/69723899993631_114_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๔
เจ้าชายกระซิบถามนายฉันนะว่า นอกจากคนแล้วสัตว์อื่นก็เป็นดังนี้หรือ นายสารถีตอบว่า ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นสิ่งใดคงทนได้เลย จะต้องเป็นดังนี้ทั้งสิ้น ในขณะนั้นพวกญาติของผู้ตายได้พากันแหงนหน้าขึ้นสู่เบื้องบน แล้วร้องขานชื่อ พระรามา ! เทพเจ้าผู้เป็นที่ยืดเหนี่ยว ถึงสามครั้ง ให้ช่วยนำวิญญาณผู้ตายอันเป็นที่รักไปสู่สวรรค์ ด้วยเสียงอันเครือไม่แจ่มใส


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16416481095883_115_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๕
ขณะนั้นเจ้าหน้าที่เผาศพได้จุดไฟขึ้นสี่ด้าน เปลวไฟลุกแลบเลียร่างอันมิรู้สึกต่อร้อนหนาว พระสิทธัตถะทรงนิ่งมองภาพนั้นอย่างพินิจ พลางเอ่ยพระโอษฐ์เชิงปรารภว่า ไฉนพระรามาจึงไม่ช่วยการตายของมนุษย์ นายฉันนะก้มหน้าตอบว่า ไม่เคยช่วยใครได้ ถ้าผู้นั้นถึงเวลาตาย และใคร ๆ ก็ช่วยไม่ได้ นอกจากจะร้องไห้อาลัยรัก และเสียดายที่เคยเห็นกันเคยอยู่ด้วยกันเท่านั้นเอง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/44509319133228_116_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๖
นายฉันนะ ผู้มีอายุผ่านโลกมานาน ได้ทูลต่อไป การตายนี้ทุกคนประสบได้ง่าย ๆ ไม่ผิดอะไรกับการเจ็บไข้ ดังที่ข้าพระองค์ได้ทูลไว้แล้ว ความตายนั้นอยู่รอบด้านของคน เริ่มด้วย เจ็บตาย แก่ตาย งูกัดตาย สัตว์ร้ายทำร้ายถึงตาย ตกจากที่สูงตาย ตกน้ำตาย และอีกนานาประการที่จะเป็นทางตาย แม้แต่จะระวังรักษาให้หลุดพ้นการตายชนิดถูกทารุณกรรม ก็ต้องตายโดยความชรา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/98576064035296_117_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๗
เมื่อกลับถึงพระราชฐานแล้ว พระสิทธัตถะได้หาโอกาสอยู่ที่เงียบโดยลำพัง เพื่อค้นคิดความจริงซึ่งทุกคนไม่ค่อยจะนึกถึง พระองค์ประทับใต้ร่มไม้ทอดพระเนตรดูพื้นดินและสายธาร และท้องฟ้า ด้วยพระทัยอันลึก ยากแก่ใครจะรู้ถึง หมู่เมฆที่ลอยผ่านไป สายน้ำที่ไหลสู่ที่ต่ำ ทั้งใบไม้ร่วงพรูซึ่งเกิดจากแก่งอม เป็นอันว่ารอบ ๆ พระองค์นั้นล้วนแต่สิ่งไม่แน่นอนยั่งยืนคงทน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/73173803173833_118_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๘
นราตรีกาลนั้น พระองค์ได้ตื่นบรรทมเมื่อยามดึก ออกจากแท่นบรรทมสู่ม่านชั้นนอก คงพบนางกำนัลทั้งหลายนอนหลับประดับพระเกียรติ แต่ละนางงดงามดั่งเทพธิดา นอนหลับด้วยความเผลอ มีท่าต่าง ๆ ยิ่งดูยิ่งเพลินตา น่าโอบกอด บางนางเปิดเผยส่วนสำคัญที่สงวนออกมาบ้าง ดูเร้าอารมณ์นัก ช่างเป็นภาพประดับให้เพลินตาเพลินใจอย่างเยี่ยมยอด


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/36302678452597_119_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๑๙
จะอย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำอางตานั้นก็หาได้ลบล้างภาพของการตายที่เห็นมานั้นมิได้ พระองค์ได้แปรร่างอันเฉิดฉินนั้นให้กลายเป็นคนชรา และแปรไปเป็นภาพเจ็บไข้ ลงท้ายเป็นภาพของการตาย สวมร่างสะคราญอันน่าจุมพิตน่ากกกอดนั้นให้เกิดน่ากลัว พระทัยของพระองค์ก็เต็มไปด้วยความสงสารและเมตตา และทางใดเล่าพระองค์จะช่วยคนเหล่านี้ได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/25286204119523_120_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๐
พระองค์ได้ตรงมายังพระแท่นบรรทมของพระนางศรียโสธรา ประทับเพ่งพินิจร่างอันงามสุดจะพรรณนา เมื่อแปรความตายให้แล้ว พระองค์ก็ระโหยโรยแรง ทรงเสียดายในสุดที่รักของพระองค์ สงสารยอดดวงหทัยของพระองค์ ทำอย่างไรเล่า ยโสธราเอ๋ย ฉันจะพบทางที่จะช่วยเธอผู้เป็นยอดความหวานของฉันได้ ฉันสงสารเธอเป็นที่สุดแล้ว



650
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 สิงหาคม 2567 15:30:27
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/93540101788110_121_Copy_.jpg)
          ภาพที่ ๑๒๑
พระสิทธัตถะตกอยู่ในกองทุกข์ และครุ่นคิดแต่จะหาทางช่วยคนทั้งโลก ทั้งช่วยพระองค์เองด้วย ช่วยมิให้แก่ มิให้เจ็บ มิให้ตาย แต่ความคิดนั้นก็ยังมิถึงจุดกระจ่างแจ้ง ยังคงเป็นความฝันเลือนราง ทั้งลึกลับสับสน ทรงคิดแล้วคิดเล่าจนเหนื่อยพระทัย แล้วพระองค์ก็ได้บรรทมหลับอยู่ข้าง ๆ พระนางยโสธรา ผู้เป็นยอดสงสารของพระองค์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/91724146074718_122_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๒
จำเนียรกาลต่อมา พระสิทธัตถะได้ทรงพบการเกิดของมนุษย์โดยใกล้ชิด ผู้เกิดนั้นคือพระราชโอรสของพระองค์นั่นเอง ทรงตั้งพระนามว่า พระราหุล พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นการเจริญวัยของพระราชโอรส นับแต่พ้นครรภ์พระมารดา จนคืบคลานอ้อแอ้ ยิ่งวันก็ยิ่งรักในพระราชโอรสนัก แต่ยิ่งรักก็ยิ่งเกิดห่วงถึงความแก่เจ็บตาย สำหรับพระราชโอรสเกินกว่า


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/54130311600036_123_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๓
ในราตรีหนึ่ง อันเป็นราตรีที่ใกล้กาลเวลาของพระสิทธัตถะจะออกแสวงหาความรู้เพื่อช่วยชาวโลก ในกลางดึกนั้น พระนางศรียโสธราได้ทรงพระสุบินอย่างแปลกประหลาดขึ้น และในสุบินนั้นเป็นที่ครั่นคร้ามแก่พระนางนัก สงสัยหนักไปในทางพระองค์เองจะสิ้นพระชนม์หรือไม่ก็พระราชสวามีสุดที่รักจะจากพระนางไปไกลแสนไกล ท้าวเธอสะดุ้งตื่นจากบรรทมและตกพระทัย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/55768530484702_124_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๔
พระนางลุกจากแท่นบรรทมของพระนางตรงมายังพระแท่นที่บรรทมของพระสิทธัตถะ แม้แต่จะเกรงพระทัยพระราชสวามีปานใด ก็สุดจะระงับได้ พระนางได้โผพระกายลงซบที่พระอุระพระสวามี ร้องทูลด้วยเสียงสะอื้น ทรงตื่นเถิดเพคะ พระทูลกระหม่อม พระสิทธัตถะสะดุ้งตื่น ท้าวเธอฉงนพระทัยนัก ไฉนยอดดวงหทัยของพระองค์จึงมากอดพระองค์ด้วยอาการสะอึกสะอื้นดังนี้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/50784812950425_125_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๕
เมื่อพระสิทธัตถะตื่นบรรทมแล้ว พระนางได้ละล่ำละลักเล่าพระสุบินให้ฟัง พระสิทธัตถะฟังจนจบ ก็รู้อยู่แก่พระทัยว่า นั่นเป็นพระสุบินที่บอกเหตุว่า พระองค์ถึงเวลาที่จะจากพระนางไปหาความรู้เพื่อบำบัดชาวโลกแล้ว พระองค์จึงระงับการดำรัสความจริง ทรงเสแสร้งดำรัสไปในทางที่ดี เพื่อปลอบใจ ล้วนแต่เป็นมงคลทั้งสิ้น จนพระนางคลายทุกข์ลง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/54667718418770_126_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๖
พระนางได้หลับลงอีกครั้ง ด้วยการพะเน้าพะนอปลอบโยน ล้วนคำละม่อมสูงส่งมีน้ำหนัก แต่ส่วนพระสิทธัตถะซิ เห็นจะหลับอีกมิได้แล้ว เพราะมีเสียงแว่วมาตามสายลม เชิญชวนให้พระองค์เร่งไปหาความรู้ เพื่อช่วยคนทั่วโลก พระองค์ไปยืนที่พระแกล มองดูดวงเดือนที่จรัสแสง และเหมือนจะมีเทพเจ้าอยู่ในที่มองไม่เห็น กำลังถามว่า จะช่วยมนุษย์หรือจะครองมงกุฎเพชร


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/94950584280822_127_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๗
พระสิทธัตถะกำลังต่อสู้พระทัยตนเอง ในยามนั้นจะว่าเทพเจ้าทรงช่วยในกิจนี้ก็จะว่าได้ ช่างทรงเป็นใจสะกดคนทั้งปราสาทหลับไหลประดุจตาย มิได้จะมีใครมาขัดขวางหรือถ่วงพระทัยของพระสิทธัตถะได้ พระองค์จึงตกลงประกาศในพระทัยว่า เราจะไป ณ บัดนี้แล้ว ไปเพื่อประกอบกิจอันยิ่งใหญ่สำหรับปวงชาวโลก สำหรับตัวเอง สำหรับบุตรและภรรยาสุดรัก พระองค์จะทำเพื่อทุกคน



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40323176317744_128_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๘
พระองค์ได้ย้อนไปแต่งพระกายตามวิสัยกษัตริย์ แล้ววกมายืนพินิจดูยอดหทัยอีก ร่างนั้นนอนหลับนึ่งทั้งคราบน้ำตา อนิจจา ฉันจะต้องจากเธอ จากทั้งสุดแสนรัก ฉันจะไม่ได้เห็นเธอ กอดประทับเธอเช่นเคยอีก สุดจะนานแสนนาน กว่าจะได้ชัยชนะแล้วจึงจะกลับ ที่ต้องไปครั้งนี้ก็เพราะรักเธอ และรักมนุษย์ จะต้องตกอยู่ในข่ายการวนเวียนแห่งกองทุกข์


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/85670738087760_129_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๒๙
พระสิทธัตถะได้เกิดพระทัยหวั่นไหวขึ้นอีกครั้ง พระองค์ได้ดำเนินไปยังพระอู่ของพระราหุลราชกุมาร ซึ่งกำลังหลับพริ้มอยู่อย่างผาสุก พี่เลี้ยงนางนมหลับสนิทอยู่ใกล้ ๆ แม้พระทัยจะมั่นในอันจะประกอบกิจหาความรู้ แต่ก็สุดจะหักความทอดถอนอาลัยในพระกุมารน้อยที่กำลังจะขาดพระบิดาแต่ยังมิรู้ความ น้ำพระเนตรท้าวเธอค่อย ๆ ซึม เยี่ยงปุถุชนทั้งหลาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/85986321585045_130_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๐
ตัดพระทัย พระราชดำเนินจากพระกุมารอย่างยากเย็น แต่ก็ได้มาหยุดยังพระแท่นของพระนางยโสธราอีก พระทัยเรรวน สุดหัวใจของบุรุษแล้วในการตัดจากบุตรและกรรยาทั้ง ๆ แสนรักปานจะกลืน มีลมพัดมาปะทะวูบหนึ่งเสมือนสัญญาเตือน พระองค์หักพระทัยเป็นครั้งสุดท้าย หลับพระเนตรให้ภาพทั้งหลายหายไป แม้แต่จะไม่หายก็ก้มพระพักตร์ออกเดิน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/45128886484437_131_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๑
พระองค์ผ่านเหล่าสนมกำนัลโดยมิได้เหลียวดู ซึ่งขณะนั้นแต่ละนางนอนหลับอยู่เดียรดาษ ประดุจดอกปทุมชาติที่ลอยนิ่งอยู่เหนือน้ำ และมีปทุมอยู่สองดอกที่งามเลิศอยู่กลาง เหล่าดอกที่งามรองลงไปนั้นประดุจใบบัวแผ่ประดับอยู่โดยรอบ พระองค์ต้องจำจากสิ่งเหล่านี้ไป โดยมุ่งหวังจะหาความรู้ จะแก้ไขความร่วงโรยให้แก่เธอทั้งหลาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/95551062747836_132_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๒
เจ้าชายก้มพระพักตร์มองดูเพียงทางเดิน วิงวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย จงช่วยบันดาลให้ทุกคนในที่นี้ จงมีหนังตาหนัก อย่าได้ลืมตาขึ้นเห็นพระองค์ อย่ามีการร้องไห้อาลัย ขออย่ามีเสียงทักท้วงอ้อนวอนขอร้องต่อพระองค์เลย พระองค์ไม่ต้องการจะจมอยู่กับมนุษย์ทั้งหลายที่ยังคร่ำครวญอยู่กับความมืด ลาก่อนนะมิ่งมิตรทั้งหลาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/81128198405106_133_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๓
พระสิทธัตถะได้ทรงผ่านทุกสิ่งที่พระองค์รัก เพียงแต่ชำเลืองบอกลาทุกอย่างที่เคยโปรดปราน จนเข้าสู่ที่มืดถึงโรงม้าต้น พระองค์ปลุกนายฉันนะให้ตื่นขึ้น แล้วแจ้งความประสงค์ที่จะจากไปในยามนั้น ทรงใช้คำว่า ท่านจงพาเราไปให้พ้นกรงทองที่กักขังเถิด อีกทั้งได้ทรงอธิบายเหตุผลต่าง ๆ อีกมากมาย สุดที่นายฉันนะจะทูลทัดทานได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13859796358479_134_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๔
ไม่น่าประหลาดเลยที่นายฉันนะต้องหยุดการคัดค้าน ก็ด้วยเหตุผลของพระองค์นั้นหนักแน่น อีกทั้งกำลังพระทัยแห่งพระองค์นั้นแข็งแกร่ง สามารถบังคับนายฉันนะให้กระทำตามได้ นายสารถีก้มหน้าด้วยความเศร้าสร้อย ผูกเครื่องอานทรงแก่ม้ากัณฐกะ ใจนั้นคร่ำครวญระบายแก่ม้าตันว่า พระองค์สุดที่รักของเรากำลังจะจากเราไปแล้ว กัณฐกะเอ๋ย เรานี้สุดทางแล้วที่จะทัดทาน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/53265471756458_135_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๕
น่าพิศวงนัก ที่ม้ากัณฐกะกลับมีอารมณ์ผ่องแผ้วคึกคะนอง ดังมีความรู้สึกว่าพระสิทธัตถะกำลังจะเดินทางไปสู่ที่สว่าง หรือหลุดพ้นจากห่วงพันธนาการแห่งความไม่รู้ กัณฐกะอ้าปากร้องอย่างคะนอง ทั้งตะกุยเท้าหน้า และเท้าหลัง ยังถีบพุ้ยกระทำให้เกิดเสียงกึกก้องในยามดึกสงัด แต่ด้วยเหตุใดใครจะรู้ เสียงนั้นมิได้แว่วเข้าหูผู้ใดเลยแม้แต่น้อย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/68043521005246_136_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๖
พระสิทธัตถะค่อยลูบศีรษะกัณฐกะเบา ๆ และดำรัสว่า นิ่งเสียเถิดม้าที่รักเอ๋ย เจ้าจงพาเราไปส่งยังที่ที่ไม่มีใครจะรู้จะเห็น เราจะไปเพื่อเจ้าและใคร ๆ ในโลก เจ้าจงพาเราไปด้วยกำลังแรงและเร็วดังสายฟ้า ขอให้เจ้ามีกำลังล้นม้าใดที่จะเทียบเทียม ครั้งนี้เราจะไปได้ปลอดโปร่งโดยเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่จะดลความสำเร็จแก่เรา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/94145313650369_137_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๗
จะด้วยอภินิหารใดก็ยากจะกล่าว และเกินกว่าจะกล่าวได้ ประตูที่มั่นคงทั้งหลายในพระราชฐานทุกชั้นได้เปิดให้เสด็จอย่างสะดวก และนายฉันนะนั้น จะตามเสด็จด้วยประการใด จะด้วยเกาะหางม้าไป เช่นบางพระคัมภีร์ว่า หรือจะเกาะสายทิ้งเครื่องประดับม้าไป ก็ยากจะยืนยัน แต่รวมความว่า ทั้งสามชีวิตได้ไปถึงชายแม่น้ำอโนมาเมื่อรุ่งอรุณ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40670005314879_138_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๘
พระสิทธัตถะมองดูสถานที่นั้นด้วยใจวังเวง นอกจากจะเป็นแดนที่ไม่เคยจะพบเห็นในชีวิตแล้ว ยังเงียบสงัดปราศจากบ้านช่องผู้คน พระองค์รำพึงว่า ต่อไปนี้พระองค์จะต้องเดียวดายกับสิ่งวิเวกเหล่านี้ เป็นการผละจากชีวิตที่เคยมโหฬาร อันสะพรั่งด้วยข้าทาสชายหญิง พระองค์จะต้องพึ่งตนเองทุกประการ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65845824778079_139_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๓๙
พระองค์ค่อยหันพระพักตร์มาดูนายฉันนะที่กำลังเศร้าหมอง รับสั่งว่า จงงดความเสียใจและอาลัยในตัวฉันเสียเถิด เท่าที่มาส่งฉันครั้งนี้ นับว่ามีคุณแก่ฉันอยู่อเนก ซึ่งฉันจะไม่ลืมท่านเลย อันความรู้ที่ฉันจะได้พบนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ท่านมีส่วนช่วย ขอให้ท่านจงนำคำกล่าวลาของฉัน ไปกราบทูลพระราชบิดาด้วยว่า ฉันขอลาจนกว่าจะกลับมาด้วยเกียรติคุณความรู้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/50867678887314_140_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๐
พระองค์ได้รับสั่งต่อไปอีกว่า จงนำเครื่องแต่งกายของฉันทั้งหมดนี้ กลับไปถวายแด่พระราชบิดา ตัวฉันไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้อีกแล้ว ฉันเสียสละอย่างแท้จริง ไม่ต้องการสิ่งประกอบแต่อย่างใด ฉันพร้อมแล้วที่จะทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ชีวิตฉันอุทิศให้แก่ผู้อื่นแล้ว เพื่อพยายามค้นคว้าหาทางระงับทุกข์ให้แก่ชาวโลกให้จงได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/99451951185862_141_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๑
ครั้นพระสิทธัตถะสั่งเสียนายฉันนะแล้ว จึงไปที่ม้ากัณฐกะ ค่อยลูบหน้าแล้วกล่าวว่า เจ้าได้เป็นผู้ช่วยจุดมุ่งหมายของเราเป็นอย่างเลิศ ซึ่งเราจะจดจำเจ้าไว้มิลืมได้เลย และเราจะพยายามช่วยเจ้าให้พ้นจากการเป็นอยู่ของเจ้า เราอยากให้เจ้าได้เป็นคนอย่างเรา นับแต่วาระนี้เจ้าจงคอยเราอยู่จนถึงวันนั้น ซึ่งเป็นวันที่เราจะช่วยให้เจ้าได้พ้นทุกข์ได้


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46191547976599_142_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๒
พระองค์รับสั่งกับม้าแล้ว จึงจัดการถอดเครื่องฉลองพระองค์ออกจนเหลือแต่ผ้านุ่งผืนเดียว แล้วจึงหยิบพระขรรค์ขึ้นตัดเฉือนพระเมาลีออกจากพระเศียร เพื่อมิให้คงอยู่ในรูปของคนธรรมดาสามัญ อธิษฐานเพศเป็นบรรพชิต พันจากการเป็นกษัตริย์ พ้นจากผู้มีอำนาจ นับเป็นวาระต้นที่พระองค์ได้สละแล้วในโลกีย์ เพื่อมุ่งทำประโยชน์แก่ชาวโลก


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/65328333775202_143_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๓
เสร็จกิจแล้วพระองค์ได้รับสั่งแก่นายฉันนะว่า ถึงเวลาแล้วที่ฉันจะต้องเดินทางไปเรียนรู้ และท่านก็ต้องกลับไปทำกิจตามที่ฉันสั่งไว้ ขอจงนำกัณฐกะกลับไปจงดีเถิด นายฉันนะบังคมลาก้มหน้าซ่อนน้ำตา ค่อยจูงม้าจากไปด้วยจำใจ กัณฐกะเล่าก็ต้องจำใจกลับ เมื่อเดินห่างออกไปแล้ว จึงเหลียวดูพระสิทธัตถะครั้งหนึ่งด้วยสุดจะอาลัย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46034686929649_144_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๔
บัดนี้ พระสิทธัตถะได้ถึงแล้วซึ่งความเป็นอิสระโดยแท้ ทั้งได้พบความวิเวกเดียวดายเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งไม่มีการห้อมล้อมด้วยพระเกียรติดังแต่ก่อน ต่อไปนี้จะไปยังที่ใดและทำอะไรก็ต้องเป็นโดยพระองค์เอง ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือแม้แต่คนเดียว พ้นจากการเป็นกษัตริย์ ก็พบกับการสิ้นเนื้อประดาตัวเลยทีเดียว นับว่าพระองค์ได้เสียสละอย่างใหญ่หลวง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/88361608195636_145_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๕
เหตุประหลาดอีกเหตุหนึ่งซึ่งเกิดขึ้น และก็สุดจะเดาได้ว่า เหตุนั้นมีรากฐานมาจากใด แต่ก็น่าจะสันนิษฐานอยู่สองประการ เหตุนั้นคือ เมื่อนายฉันนะได้พากัณฐกะม้าต้น ห่างพระสิทธัตถะมาแล้วเพียงสุดสายดา กันฐกะได้ล้มลงสิ้นใจตาย จึงประมาณเอาว่า อาจเกิดจากการเหนื่อยอ่อน ซึ่งวิ่งมาไกลแสนไกล ตอนเมื่อคืนนี้ เป็นประการแรก ประการหลังนั้น เกิดจากความอาลัยในพระองค์ จนใจแตกตาย


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12605070322751_146_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๖
ความเศร้าสลดได้เกิดแก่นายสารถีเป็นทวีคูณ เมื่อครู่นี้ เจ้านายอันเป็นสุดที่รักและบูชาได้จากไปทั้งเป็น ในบัดนี้ม้าต้นผู้เคยอยู่เคยนอนมาด้วยกัน ทั้งเคยรับใช้เจ้านายคู่กันมา แต่มามีอันเป็นเกิดกาลกิริยาตายไปต่อหน้า ซึ่งสุดที่นายฉันนะจะช่วยเหลือหรือยับยั้งไว้ได้ เช่นเดียวกันกับเสียเจ้านายไปโดยเสด็จหนึออกบวช นายฉันนะได้รวบรวมกำลังทำการฝังกัณฐกะด้วยความระโหยโรยแรง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/31645093485712_147_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๗
ทางเบื้องหลังไกลโพ้น พระสิทธัตถะกำลังโดดเดี่ยวอยู่ในถิ่นที่พระองค์ไม่รู้จัก ไม่เคยผ่านเคยเห็นมาเลยนับแต่น้อยคุ้มใหญ่ พระองค์ทรงดำเนินไปอย่างไม่มีจุดหมาย จวบจนตะวันบ่าย และความหิวได้บังเกิดขึ้น พระองค์ได้หมุนเข้าหาน้ำเข้าประทัง เพราะทางที่ผ่านไปนั้นเป็นชายลำธาร ต่อมาจึงได้เสวยผลมะม่วงสุกที่ร่วงหล่นอยู่ตามแถวทาง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/82947285887267_148_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๘
นับแต่พระองค์ได้บรรพชาล่วงมาได้ ๗ วัน ยังมิได้พบกับภัตตาหารเลย นอกจากผลไม้เล็ก ๆ น้อยๆ พอประทังมา ครั้นล่วงเข้าวันที่ ๘ พระองค์ได้ย่างเข้าสู่แคว้นราชคฤห์ ทรงดำเนินผ่านหมู่บ้าน และได้พบกับการต้อนรับของชาวบ้านในฐานะฤๅษี เขาเหล่านั้นพากันถวายอาหาร โดยจัดภาชนะให้แทนบาตรของนักพรต พร้อมกับอาหารเต็มตามศรัทธา


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/83807648263043_149_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๔๙
เมื่อพระสิทธัตถะได้รับการถวายอาหารแล้ว พระองค์ได้ย้อนกลับทางเดิม จนถึงมัณฑวะบรรพต เลือกเอาตรงหน้าผาที่ร่มเย็นและเงียบสงัด อันเหมาะสมกับสมณวิสัยจะบำเพ็ญพรต ครั้นนั่งลงแล้วที่กอหญ้า จึงได้พิจารณาอาหารที่ได้มานั้นด้วยความขยะแขยง ทั้งกลิ่นและความไม่สะอาดนั้นมีอยู่อเนก ความที่ไม่เคยจะบริโภคอาหารอย่างนี้ ทำให้พระศอของพระองค์ตีบตัน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/90493628465467_150_Copy_.jpg)
         ภาพที่ ๑๕๐
นานเท่านาน พระองค์ได้ใช้ดวงจิตวิจารณ์อาหารนั้นกับความเป็นอยู่ของพระองค์ในเวลาปัจจุบันโดยละเอียดถี่ถ้วน ดังจะสอนจิตพระองค์เองว่า จงพบในสิ่งที่ไม่เคยพบ ทั้งย้อนไปถึงผู้ที่ถวายมา ด้วยจิตเต็มเปี่ยมในความยินดี และอาหารเหล่านี้ก็เป็นอาหารที่เขาเหล่านั้นบริโภค ซึ่งเขาทั้งหมดกับพระองค์ ก็คือมนุษย์ด้วยกัน ถ้าพระองค์ไม่เริ่มรู้จักสิ่งแรก ๆ เสียบัดนี้ ก็เท่ากับไม่รู้จักอะไรต่อไป


ที่มา : มูลนิธิ เหม เวชกร (เหม เวชกร -#เผยแพร่ผลงานครูเหม)
650
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 14 ธันวาคม 2567 13:51:52
.

(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/51379255660706_151_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๑
พระองค์มีพระนิสัยชอบจะคิดให้ลึกให้ไกล จึงรำลึกอยู่ว่า พระองค์เสด็จมาครั้งนี้ก็เพื่อจะศึกษาในสิ่งที่พระองค์ไม่รู้ เพราะมนุษย์ทุกคนหาได้มีฐานะเท่าเทียมกันไม่ อาหารจึงไม่เหมือนกัน และบัดนี้พระองค์เป็นคนธรรมดาปราศจากสมบัติ ปราศจากตำแหน่งกษัตริย์ เมื่อคิดทะลุมาถึงนี่ พระองค์ก็เสวยอาหารนั้นโดยมิได้รังเกียจ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/61896324488851_152_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๒
รุ่งขึ้น พระองค์ได้ประพฤติเช่นเคย ถือภาชนะใส่อาหารเดินเข้าสู่นครราชคฤห์ รับการถวายอาหารชนิดต่างๆ ตามศรัทธา ซึ่งอาหารแต่ละรายหาเหมือนกันไม่ พระองค์ก็ได้พบความจริงอีกว่า อาหารนั้นจะดีจะชั่ว ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของผู้บริโภคจะจู้จี้เอาตามฐานะที่จะเฟ้นหา ส่วนคนไม่มีฐานะก็บริโภคเอาเพียงกันตาย ในเช้านี้ มีอำมาตย์ของเจ้านครคอยติดตามดูพระราศีแห่งพระองค์ตลอดเวลา



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12902343604299_153_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๓
พระองค์คงเสด็จกลับยังหน้าผาที่เคยบำเพ็ญพรต ระหว่างทางเดิน พระองค์ได้ส่งจิตย้อนไปถึงผู้ถวายอาหาร หยั่งจิตถึงผู้ให้และผู้รับ ผู้ให้นั้นเต็มด้วยความอารีเอื้อเฟื้อและเมตตา ผู้รับนั้นก็มีจิตขอบคุณและยินดี พร้อมทั้งยกย่องในความเมตตาของผู้ให้อย่างล้นพ้น พระองค์ได้พบเรื่องของผู้ให้และผู้รับแล้ว ถ้าไม่มีผู้รับ ผู้ให้ก็หมดทางจะสำแดงความเมตตาได้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12053900791538_154_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๔
ฝ่ายอำมาตย์ของพระเจ้าพิมพิสาร ได้นำเรื่องที่เห็นพฤติกรรมของนักพรตผู้มีราศีเจิดจ้าผิดกว่านักพรตใด เข้าทูลต่อพระเจ้าเหนือหัวตน พระราชาแห่งแควันมคธจึงสนพระทัย เสด็จไปกับข้าราชบริพารจนถึงที่พักของพระสิทธัตถะ โดยอาศัยการนำทางของผู้ที่เคยสะกดรอยตามดูนักพรตผู้สง่างามจนรู้ที่อยู่ เป็นผู้พาไปถึง



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/52974453609850_155_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๕
เมื่อได้พบกันแล้ว ณ ที่หน้าผานั้น พระเจ้าพิมพิสารก็รู้ว่าเป็นราชโอรสแห่งกรุงกบิลพัสดิ์ จึงเกิดสงสัยว่าอาจจะเกิดแก่งแย่งกันในเรื่องราชสมบัติจึงหนีออกบวชดังนี้ พระราชาแห่งมคธผู้มีพระทัยโอบอ้อมอารีเป็นอย่างสูง จึงขอร้องให้พระสิทธัตถะประทับอยู่ด้วยกันโดยจะแบ่งราชสมบัติและนครใดนครหนึ่งให้ครองโดยสิทธิ์ขาด ด้วยน้ำพระทัยที่เปี่ยมปีติ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/18314208338657_156_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๖
เรื่องผู้ให้กับผู้รับ พระสิทธัตถะรู้จักแล้วก็จริงอยู่ แต่หาตรงจุดหมายกันไม่ จึงขอถวายคืน แล้วพระองค์ได้ทูลถึงความมุ่งหมายของพระองค์ที่ได้สละราชสมบัติออกบรรพชาครั้งนี้ ก็เพื่อจะศึกษาหาข้อเท็จจริงในหลักธรรม เพื่อเผยแพร่กับประชาชาวโลกให้รู้ในสิ่งที่ไม่รู้ ราชาแห่งมคธจึงโมทนาด้วยนัก และขอร้องว่า ถ้าสำเร็จเมื่อใด โปรดได้แวะมาเทศนาแก่พระองค์ด้วยเถิด



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/37044765344924_157_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๗
ครั้นแล้ว พระมหาบุรุษได้เสด็จจาริกจากราชคฤห์ไปสู่สำนักอาฬารดาบส ณ ไพรสณฑ์ตำบลหนึ่ง พระองค์ได้ลงมือเล่าเรียนในสำนักนี้เป็นครั้งแรกตามลัทธิของสำนัก ทรงเรียนจนจบหมดความรู้พระดาบส ก็ยังมิพบวิชาที่ต้องการ เพราะพระดาบสเหล่านี้เพียงแต่บำเพ็ญตนเป็นสันโดษ ตัดช่องน้อยแต่พอตัว หาเป็นที่พึ่งแก่ผู้ใดไม่



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/24287989404466_158_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๘
พระองค์ได้อำลาจากสำนักนั้นไปสู่อีกสำนักหนึ่ง ซึ่งเป็นแหล่งรวมของพวกโยคีมากหลาย ซึ่งล้วนแต่ทรมานกายเพื่อความสำเร็จ โยคีแต่ละองค์ทรมานกายในท่าทางต่าง ๆ กัน สุดแต่องค์ใดจะคิดว่าท่านั้นท่านี้จะนำไปสู่ความสำเร็จ เช่น อดอาหาร หรือบริโภคแต่เมล็ดผักเพียงวันละเมล็ดเดียว จนร่างกายซูบโทรม และบางองค์ก็หมดแรงถึงแก่ความตายไปก็มี



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/48936756203571_159_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๕๙
แต่พระองค์ยังไม่เห็นด้วยกับการทรมานต่าง ๆ หรืออดอาหาร พระองค์ยังคงเข้าเมือง เพื่อบิณฑบาตอาหารอยู่ตามเคย ด้วยกิริยาสุภาพและเคร่งในจรรยาธรรม ทุกคนในเมืองเพ่งเล็งเอาว่า พระองค์คือเทพเจ้าหาใช่โยคีธรรมดา ต่างสั่งลูกหลานให้จูบพระบาทและจูบชายฉลองพระองค์ บ้างต่างก็วิ่งวุ่นหาอาหารนมเนยถวายจนล้นบาตร



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/15795748432477_160_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๐
ขากลับพระองค์ได้พบหญิงหนึ่งค่อนข้างสวย นางมองดูพระองค์ด้วยความหมายในห้วงลึก ซึ่งพระองค์เข้าใจดีในดวงตา บัดนี้พระองค์ได้หนีมาแล้ว หนีมเหสี และหนีแต่ละนางที่สูงส่งด้วยรูปและตระกูล เหตุใดจะให้มาเกิดรกดวงจิตอีก แต่มารยาทแห่งกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ยิ้มให้อย่างสุภาพแช่มช้อย แล้วค่อยทรงดำเนินผ่านไป เพื่อกลับแหล่งนักพรต



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/13598655578162_161_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๑
พระสิทธัตถะได้รู้ความจริงของโยคีที่ทรมานตนในท่าทางต่าง ๆ เพื่อความสำเร็จนั้น แท้จริงแล้วก็เพียงทำกิริยาและใจ เพื่อให้เทพเจ้าเบื้องบนทรงเห็นใจ ในความมานะเสียสละซึ่งความสุข ก็โดยหวังเอาเทพเจ้าช่วยนำเอาวิญญาณไปสู่ที่บรมสุขภาคหน้าเท่านั้น หาได้เป็นวิชาที่จะช่วยทุกข์แก่ผู้ใดได้ไม่ พระองค์จึงอำลาจากที่จรไปอีก เพื่อหาความรู้ที่แท้จริงใหม่



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/79546222794387_162_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๒
พระองค์ได้เดินลงเนินสูงแห่งหนึ่ง ก็มีหญิงคนหนึ่งอุ้มลูกน้อยที่งูกัดตาย แล้ววิ่งร้องไห้มา มีชาวป่าสองคนชี้บอกกับหญิงนั้นว่า จงไปอ้อนวอนให้ฤาษีรูปงามองค์นั้นช่วยเถิด ท่านจะบอกยาให้ช่วยชุบลูกน้อยให้กลับคืนชีพมาอีกได้แน่ ฤาษีองค์นั้นมิใช่คนธรรมดา ต้องเป็นเทพเจ้าจุติมาเป็นแน่แท้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/63658158770865_163_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๓
ครั้นเมื่อนางไปถึงพระองค์แล้วได้อ้อนวอนขอให้ช่วย พระองค์สลดพระทัยแต่รับสั่งว่า น้องหญิงเอ๋ย น้องจงเที่ยวไปตามบ้านทุกบ้าน ขอเมล็ดน้อยหน่าเขาสักราวหนึ่งกอบ แต่ต้องเลือกเอาบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย นั่นแหละเมล็ดน้อยหน่าบ้านนั้น จะช่วยแก้ไขให้คนตายแล้วฟื้นขึ้นได้ น้องหญิงจงรีบไปตามที่เราบอกเถิด



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/55931013491418_164_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๔
เมื่อจากกันไปแล้ว พระองค์ได้หยุดพักที่โคนมะเดื่อชายลำธาร ทรงนึกถึงหญิงที่จากไปว่า ความโง่ ทำให้คิดว่า คนด้วยกันจะช่วยคนตายให้กลับมีชีวิตขึ้นใหม่ได้ ครั้นจะเตือนสติเวลานั้น ก็เห็นว่ากำลังตกอยู่ในกองทุกข์ ย่อมจะโง่เขลา หามีสติคิดถึงข้อเท็จจริงได้ไม่ พระองค์จึงแสร้งให้ไปหาที่ที่มนุษย์ไม่ตาย เพื่อพบความจริงเอาเอง



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/21842587573660_165_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๕
ในวันต่อมา พระสิทธัตถะได้มาถึงนครหนึ่ง ชาวตลาดร้านอาหาร เห็นพระองค์มีสง่าราศีงดงาม ผิดโยคีทั้งหลาย ก็อยากจะใกล้ชิดด้วยเพื่อจะชมดวงตาที่อ่อนหวาน จึงชวนเชิญเข้าเสวยอาหารในร้าน แล้วเจ้าของร้านจึงเล่าว่า เมื่อวานนี้มีการบูชายัญถวายเทพเจ้าด้วยฆ่าแพะแกะที่ในวัง เป็นพิธีให้เกิดมงคลแก่พระราชาและประชาชน


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/39330583148532_166_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๖
พระสิทธัตถะนั่งฟังด้วยความสลดพระทัย เจ้าของร้านเล่าว่า พวกพราหมณ์แต่งชุดขาว ทำพิธีสวดมนต์ประชุมเพลิง เผาไม้หอมให้กลิ่นฟุ้งไปถึงเทพเจ้า และพวกหนึ่งนั้นฆ่าแพะแกะจำนวนสองร้อยตัว เลือดไหลเป็นลำธาร เป็นพลีกรรมบูชาไล่ความอัปมงคลให้พ้นไปจากตัวพระราชาและพลเมืองทั้งหมด



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/50441510395871_167_Copy_.jpg)
        ภาพที่ ๑๖๗
พระสิทธัตถะหยุดเสวยอาหาร แล้วรับสั่งว่า เหตุใดจึงคิดว่าเลือดสัตว์ทั้งหลายจะมาล้างความชั่วของมนุษย์ได้ จะเป็นมงคลประการใดแก่ผู้ทำลายชีวิตผู้อื่น  ตัวเราเองไม่กล้าอาจหาญพอจะสู้กับกองทุกข์หรือ จึงให้ผู้อื่นมาเสียเลือดเสียชีวิต เพื่อแก้ความชั่วของเรา มงคลนั้นจะเกิดด้วยประการใด การฆ่าเขานั้นเป็นมงคลแก่ตัวเรากระนั้นหรือ


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/34604250846637_168_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๘
พระสิทธัตถะให้ศีลให้พรแล้วอำลาร้านอาหารร้านนั้น เดินผ่านฝูงชนไป ทรงนึกถึงเจ้าของร้านอาหารที่อยากให้พระองค์มาทันพิธีนั้น และจะได้เข้าไปล้มพิธีนั้นเสีย ในข้อนี้พระองค์มองไม่เห็น พระองค์ยังไม่ยิ่งใหญ่พอจะชี้แจงให้คนโง่เขลาที่กำลังคลั่งลัทธิ ซึ่งยึดเอาเป็นหลักชีวิตของเขาให้แจ่มแจ้งในทางที่ถูกที่ควร



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/28185040545132_169_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๖๙
จะกล่าวถึง ๕ บุรุษ ผู้มีหลักฐานและตระกูล ได้ข่าวพระสิทธัตถะสละราชสมบัติออกบวช ก็พากันละสมบัติออกบวชตาม พยายามสืบเสาะหาพระสิทธัตถะ เพื่อจะติดตามศึกษาธัมมะด้วย หากว่า พระองค์ค้นพบในธัมมะขั้นสำเร็จ ก็จะได้เป็นที่พึ่งสั่งสอนพวกเขาทั้งหมดให้ได้รับแสงสว่างตามไปด้วย ทั้ง ๕ บรรพชิตได้ติดตามมาจนถูกทาง



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/28895228480299_170_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๐
เมื่อบรรพชิตทั้ง ๕ สืบรู้ว่า บัดนี้พระสิทธัตถะกำลังอาศัยอยู่ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม จึงตรงไปยังที่นั่น ครั้นพบแล้ว จึงพากันถวายตัวเป็นผู้ปรนนิบัติ เพื่อส่งเสริมให้พระองค์ได้ค้นหาความรู้ด้วยตนเองจนสำเร็จ พระองค์ทรงยินดีที่จะให้ร่วมทางค้นหาความรู้ที่ยังลี้ลับด้วยกัน โดยมีพระองค์เป็นผู้นำ






ที่มา : มูลนิธิ เหม เวชกร (เหม เวชกร -#เผยแพร่ผลงานครูเหม)
650
28.002 / 12.502


หัวข้อ: Re: ภาพ พุทธประวัติสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 24 มกราคม 2568 16:57:34
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/40271902332703_171_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๑
เมื่อมีคนมาติดตามปรนนิบัติเพื่อหวังความรู้ในพระองค์ดังนี้ ทำให้พระองค์หนักพระทัย มุมานะจะค้นคิดให้ได้ บางเวลาไม่ได้เสวยอาหารเลย พยายามนั่งสำรวมจิตค้นทบทวนทุกด้าน วันแล้ววันเล่า เสวยบ้างไม่เสวยบ้าง ยิ่งเห็นความรู้อยู่รำไร ยิ่งมานะมากขึ้น จนสัญญาใจว่า ถ้ายังไม่สำเร็จจะไม่ยอมแตะต้องอาหารเลย



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/41858308638135_172_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๒
ในที่สุด เรื่องมานะของพระสิทธัตถะก็กลายเป็นทรมานกายในด้านอาหารเยี่ยงโยคีที่เคยผ่านมาแล้ว ร่างกายของพระองค์ได้ผ่ายผอมลงทุกวัน แต่พวกปัญจวัคคีย์สาวกติดตาม ได้เพิ่มการนับถือในพระองค์มากขึ้นในด้านการมานะ รู้สึกว่าพระองค์เอาจริงเอาจังน่าเลื่อมใส ทั้ง ๕ คนจึงผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าพระองค์อยู่มิได้ขาด



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74083549115392_173_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๓
การเพียรของพระองค์ ตลอดจนการอดอาหาร ได้เป็นไปในทางที่ผิด จึงเกิดมึนเวียนพระเศียร ปวดพระนาภี ธาตุทั้งหลายในพระวรกายป่วนปั่นไปหมด เรี่ยวแรงไม่มีจะต่อสู้กับการบำเพ็ญตน จึงเกิดลมจับจิตล้มลงสลบ เหล่าปัญจวัคคีย์ได้เข้าแก้ไขนวดเฟ้นกันชุลมุน เพื่อให้พระองค์พื้นคืนองค์ขึ้นต่อสู้ไปใหม่



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/33570851840906_174_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๔
เมื่อพระองค์ฟื้นขึ้นแล้วก็นั่งมานะต่อไป พระอินทร์ทราบข่าวจากเหล่าเทพบุตรว่า พระสิทธัตถะบำเพ็ญทรมานกายเพื่อความสำเร็จ ท้าวเธอจึงเห็นว่าพระสิทธัตถะกระทำผิดทาง จึงรีบมายังที่นั้น โดยแฝงเข้ามาทางความรู้สึกเฉพาะพระสิทธัตถะเท่านั้น และทรงดีดพิณให้ฟังเป็นปัญหา โดยเชื่อว่ามีความฉลาด และฟังเสียงพิณออก



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/74171205982565_175_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๕
ท้าวโกสีย์ได้ขึ้นสายพิณจนตึงเปรี๊ยะ พอดำเนินเพลง สายพิณก็ขาดลง ครั้นขึ้นใหม่อีกครั้งเกรงจะขาด จึงเทียบสายหย่อนๆ ครั้นดำเนินเพลงก็เกิดความยืดหย่อนหาเสียงเพราะไม่ได้เลย จึงบิดสายเอาเพียงพอดีๆ พิณจึงดำเนินเพลงไปได้อย่างละมุนละม่อมเพราะพริ้ง พระสิทธัตถะทรงระงับฟังอยู่ตลอดจนจบ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/92956235922045_176_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๖
ครั้นพระอินทร์เสด็จกลับไปแล้วโดยทิ้งปัญหาไว้ให้พระสิทธัตถะขบคิด พระองค์ได้ความแจ่มแจ้งในปัญหาเพลงพิณนั้นว่า การกระทำของพระองค์นั้นผิดทาง ตึงเครียดเกินไป เทียบด้วยสายพิณขาด หย่อนไป ก็ย่อมไม่สำเร็จ หากพระองค์ทำเพียรปานกลาง โดยไม่คิดทำลายร่างกายของพระองค์เอง ย่อมมีกำลังไปสู่ความสำเร็จ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46264328021142_177_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๗
พระสิทธัตถะได้คติอันน่าพึงคิดจากเสียงพิณในความว่างเปล่า ก็รู้ชัดเจนว่า การมานะที่แล้วมาเป็นมานะที่ผิด พระองค์จึงเลิกวิธีนั้น และได้ขออาหารจากปัญจวัคคีย์เสวยเพื่อบำรุงกำลังกาย ต่อมาเมื่อมีแรงแล้วจะได้หาทางค้นคว้าต่อไปอีกให้พบความสำเร็จ แต่การกลับพระทัยของพระองค์ ทำให้คนทั้งห้าเข้าใจไปว่า พระองค์หมดมานะในความสำเร็จเสียแล้ว



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/29771914208928_178_Copy_.jpg)
    ภาพที่ ๑๗๘
ยิ่งหลายวันเข้าพวกปัญจวัคคีย์ก็เพ่งเล็งพระองค์ว่า ยังมีจิตโลภอาหารอยู่ เห็นจะไม่สำเร็จแน่ จึงพากันหลบหนีไปหมด พระองค์มิได้เสียพระทัย เพราะรู้อยู่ว่าทุกคนย่อมเกิดเข้าใจผิดได้เสมอ และก็มีสิทธิ์จะทิ้งไปได้ เมื่อทรงเหลืออยู่เดียวดาย พระองค์ค่อยบริหารกายด้วยการเดินไปรอบๆ อย่างสงบ เพื่อให้เส้นสายที่ตึงเครียดหย่อนลงพอจะบิณฑบาตได้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/62045245659020_179_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๗๙
จะกล่าวถึงนางหนึ่งเป็นภรรยาของผู้มั่งมี นามของนางว่า สุชาดา ผู้เลอโฉม แต่นางหามีความสุขตามฐานะที่ควรจะสุข เพราะสตรีใดก็ตามเมื่อให้บุตรชายแก่สามีมิได้ ชาวอินเดียย่อมไม่ยกย่องตามควร นางให้เกิดความทุรนทุรายยิ่งนัก บนบานต่อเทพเจ้าหลายต่อหลายก็ไม่เกิดผล ในที่สุด ได้บนบานขอลูกชายกับเทพารักษ์ โดยถวายอาหารอันเอมโอษฐ์



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/47895339959197_180_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๐
นางสุชาดาผู้นี้จำเป็นนักที่จะกล่าวว่า เป็นบุคคลที่ช่วยให้เกิดพระมหาบุรุษขึ้นในโลก จะพูดว่า เป็นคู่อุปถัมภ์กันมาแต่ปางก่อนก็ว่าได้ การดิ้นรนของนางนี้เอง จึงได้พบกับพระสิทธัตถะ โดยนางได้บุตรชายสมใจแล้วจึงจัดปรุงอาหารชนิดดี เตรียมจะแก้บนแก่เทพารักษ์ และได้สั่งสาวใช้ให้ไปในป่า กวาดที่ให้เตียนจะนำของไปถวาย สาวใช้กลับมาหน้าตาตื่นว่าพบเทพารักษ์ตัวจริงๆ ที่โคนไม้ ริมฝั่งเนรัญชรา



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12479255182875_181_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๑
วันที่นางสุชาดาจะพบกับพระสิทธัตถะนั้น เป็นเวลาที่พระองค์จะออกบิณทบาตตอนเช้า แต่เกิดหมดแรงจึงนั่งพักที่โคนไทร หันพระพักตร์สู่ฝั่งน้ำ และแสงอรุณได้สาดสะท้อนผิวน้ำขึ้นจับพระพักตร์ ทำให้เกิดเป็นประกายรัศมีดูงดงามนัก สาวใช้นางสุชาดามาพบพระองค์เข้า จึงเชื่อว่าพระองค์คือเทพารักษ์ ซึ่งลงมาจากคบไม้โดยแน่แท้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/71565967218743_182_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๒
ด้วยความดีใจอย่างไม่เคยมี ว่าจะได้เห็นเทพเจ้าด้วยตาแท้ๆ ซึ่งมิใช่ว่างเปล่าดังที่ใครเคยรู้เคยพบ นางอุ้มลูก แล้วสั่งสาวใช้ให้นำข้าวปายาสที่กวนด้วยนมดี แล้วปั้นก้อนใส่ถาดทองเป็นอย่างดี ซึ่งน้อยบ้านจะมีโอกาสและทุนทรัพย์ทำได้ รีบออกจากบ้านมาด้วยกัน โดยหญิงคนใช้เป็นผู้ชี้ทางว่า ได้เห็นเทพารักษ์อย่างชัดเจนที่โคนไท



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/78876449167728_183_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๓
นางสุชาดาได้พบแล้ว เห็นพระพักตร์ของพระองค์นั้นเปล่งปลั่งด้วยรัศมี นางจึงตรงเข้าไปเบื้องพระพักตร์และถวายถาดอาหาร พระองค์มิได้รับสั่งด้วยพระสุรเสียง แต่แบหัตถ์ให้รู้ว่า ไม่มีสิ่งจะถ่ายอาหาร นางเห็นกิริยาของพระองค์ดังนั้น ก็รู้ทันว่า พระองค์ไม่มีภาชนะจะรับอาหาร นางเกิดศรัทธาแรงกล้า กล่าวคำขอถวายพระองค์ทั้งถาดทองนั้นเลย



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/52716119504637_184_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๔
นางได้พร่ำขอบคุณที่พระองค์ได้ประทานบุตรให้สมปรารถนา ดังชุบชีวิตนางให้รุ่งโรจน์ จึงกล่าวคำถวายพระพรว่า พระประสงค์สิ่งใดขอให้ได้สมพระประสงค์ทุกประการ เมื่อนางเปิดผ้าคลุมเด็กให้ดู พระองค์ได้ยกพระหัตถ์ขึ้นเหนือหัวเด็ก สำรวมจิตอวยพรแก่เด็กน้อยนั้นให้เจริญด้วยประการทั้งปวง ให้เป็นที่รักแก่มารดายิ่งนัก



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/91323024034500_185_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๕
เมื่อนางสุชาดาจากไปแล้ว พระองค์รำพึงว่า นางนี้จะคิดว่าเราคือเทพเจ้าหรืออย่างไรก็แล้วแต่ แต่มนุษย์ใดเล่าจะกล้าบอกกับนางว่านางเข้าใจผิด ทั้งๆ เห็นอยู่แล้วว่า นางกำลังเชื่อและปีติในลูกน้อย นางกำลังมีสุขอันยอดยิ่ง "ฉันใดเล่า จะพร่าหัวใจนางให้สลายจากความสุขและปีตินั้นเสีย เรื่องอาหารนั้นไม่สำคัญเท่าตอบแทนใจนาง"



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/15317129592100_186_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๖
พระองค์ได้เสวยข้าวปายาสนั้นหมดสิ้น มีความรู้สึกว่าดังอาหารทิพย์ สามารถก่อเกิดกำลังให้ต่อสู้พากเพียรไปได้อีก ทั้งคำกล่าวของนางยังแว่วอยู่ว่า พระองค์ประสงค์สิ่งใด จงสำเร็จทุกประการ คำนี้ช่างเป็นพรที่ยิ่งใหญ่ และดูจะเป็นนิมิตดีนี่กระไร เสมือนลางสำเร็จในวิชาที่มุ่งหมายจะบรรลุในเวลาไม่ช้านี้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/48663136983911_187_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๗
เห็นน้ำไหลผ่านไป พระองค์จึงคิดถึงการเสี่ยงพระบารมีเพื่อเป็นกำลังใจจึงทำพระทัยให้แน่วแน่ อธิษฐานว่า หากพระองค์จะสำเร็จเป็นพระสัพพัญญูแล้วไซร้ ขอให้ถาดทองนี้จงลอยทวนน้ำขึ้นไปเถิด พลางวางถาดลงบนผิวน้ำ บัดนั้นคล้ายจะเกิดกัมปนาทขึ้นในความรู้สึกสะท้านสะเทื้อน ถาดนั้นได้ลอยทวนน้ำขึ้นไปเห็นชัดกับพระเนตร



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14356296136975_188_Copy_.jpg)
      ภาพที่ ๑๘๘
ถาดข้าวปายาสของพระมหาบุรุษนั้น กล่าวกันว่า ได้ลอยทวนน้ำและแล้วก็จมลง ทำการแฉลบตัวลงสู่ที่ลึก ควงร่อนลงจนถึงนครบาดาลแห่งเมืองนาค ทั้งว่า ที่นั้นเคยมีถาดทองเช่นเดียวกันนี้วางซ้อนอยู่เก่าแล้วสองสามใบ แสดงว่ากาลก่อนโพ้นเคยมีผู้สำเร็จเป็นพระสัพพัญญูมาแล้ว และทั้งก็มีพฤติการณ์อย่างเดียวกับครั้งนี้



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/93921999302175_189_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๘๙
พระสิทธัตถะออกจากดงต้นสาละเมื่อจวนค่ำ หาที่ประทับคงที่เป็นครั้งสุดท้าย โดยมั่นพระทัยว่า จะประทับอยู่ที่นั้นจนสำเร็จ แม้แต่เลือดในกายจะเหือดแห้งก็มิยอมจะจากไปอีก เมื่อพบต้นโพธิ์สาขา จึงปักพระทัยจะประทับเอาที่โคนโพธิ์นั้น ก็พอดีมีพราหมณ์ผู้หนึ่งแบกหญ้าคาผ่านมา เล็งเห็นว่า พระองค์ จะนั่งกับก้อนหินนั้นไม่มีสุข จึงถวายหญ้าคานั้นปูลาดให้เพื่อบรรเทาความกระด้าง



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/99975651212864_190_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๐
พระองค์ตอบขอบคุณแก่พราหมณ์ผู้นั้นเป็นอย่างสูง เมื่อพราหมณ์ผู้นั้นลาจากไปแล้ว พระองค์จึงประทับลงบนหญ้าคานั้น หันพระพักตร์ออกสู่ชายฝั่งเนรัญชรา ซึ่งเป็นทิศตะวันออก พอตะวันลับฟ้าไป พระองค์ก็เริ่มจะเห็นความจริงที่เป็นความลับโดยผู้อื่นไม่รู้ พระองค์ยิ่งไม่ไหวกาย ยิ่งมืดลงความเงียบก็ยิ่งขึ้น แต่ในตอนต่อไปทรงรู้สึกว่า จะไม่เงียบเสียแล้ว มีอะไรๆ เกิดขึ้น



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/56196190582381_191_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๑
จะเนื่องด้วยเลือดของพระองค์เอง ลมของพระองค์เอง ก่อให้เกิดว้าวุ่น หรือด้วยอิทธิฤทธิ์ของพระยามารนั้นสุดจะกล่าว นับแต่ออกบรรพชาและออกในที่เปลี่ยวเงียบก็ไม่เคยจะวุ่นดังครั้งนี้ รู้สึกมีเสียงคำรามขู่เข็ญของดินฟ้าอากาศ ครึกโครมแทบว่าหมู่ไม้จะถอนทับ เหมือนมีศัตรูนับหมื่นบุกจู่โจมดังแผ่นดินจะถล่ม และศัตรูนั้นช่างมีฤทธานัก มีดินฟ้าอากาศเป็นบริวารอยู่เบื้องหลัง


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/92743161817391_192_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๒
ขั้นที่สุด เสียงของผู้รุกรานนั้นประกาศไล่พระองค์ให้พ้นที่นั้น แม้แต่พระองค์จะมั่นพระทัย ไม่ยอมเบิกพระเนตรดู แต่พระทัยนั้นสะดุ้งกับหมู่ศัตรูนับหมื่นที่ประกาศจะเอาชีวิตโดยกู่ก้องเป็นเสียงเดียว พระหัตถ์ขวาที่เคยวางทับพระหัตถ์ซ้ายก็เคลื่อนที่มากุมอยู่ที่เข่า เพราะสะดุ้งในความคุกคามของศัตรูที่ดุดันและคุกคามล้อมรอบพระองค์



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/28704040870070_193_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๓
ความปั่นป่วนสะดุ้งสะเทือนได้เป็นไปตลอดคืนแต่พระองค์ได้แน่วแน่แกร่งกล้าต่อสู้โดยไม่ถอยหนี ครั้นตกเข้าเวลาจวนรุ่ง พระองค์ก็ได้ชัยชนะแก่ศัตรูทางใจโดยเด็ดขาด รู้สึกพระทัยผ่องแผ้วแจ่มใส ซึ่งไม่เคยคิดว่าจะเป็นไป ทั้งวิชาที่อยากจะรู้ก็ได้รู้ขึ้นในฉับพลัน ซึ่งไม่มีอะไรอีกที่พระองค์จะไม่รู้ อากาศยามจะรุ่งรางนั้น ช่างสดชื่นแก่พระองค์นัก



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/34238177662094_194_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๔
ท้องฟ้าด้านตรงพระพักตร์ได้เปิดขาวทีละน้อย สายลมยิ่งพลิ้วขึ้น ปวงมิ่งไม้ทั้งมวลดังจะแสร้งสรรให้เป็นไป เกิดดอกดวงบานสะพรั่งส่งกลิ่นขจรกระจาย ชายฝั่งน้ำที่หมู่บัวก็บานสะพรั่งพร้อมกันเป็นที่น่ามหัศจรรย์ ในสายอากาศนั้นคล้ายจะมีเสียงโห่ร้องอวยชัยสะท้านสะเทื้อน นั่นคือสัญญาณให้รู้ว่า บัดนี้พระพุทธเจ้าได้อุบัติแล้วในโลก เป็นวันเพ็ญเดือน ๖ ปีระกา



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/81939309876826_195_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๕
เมื่อพระมหาบุรุษได้ตรัสรู้แล้วในเช้านั้น แต่พระองค์ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เป็นการปรับตัวและปรับความรู้ที่ได้มาให้แน่นแฟ้น เป็นระยะเวลา ๗ วัน จากนั้นได้เดินออกกำลังไปรอบๆ บริเวณ ด้วยจิตคำนึงเช่นนั้นอยู่หลายวัน ทรงนั่งระงับจิตที่โคนต้นไม้อื่นบ้าง มีกำหนดเท่าๆ กัน ซึ่งไม่เคยออกพ้นบริเวณที่ให้ความสำเร็จแด่พระองค์เลย



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/14249425629774_196_Copy_.jpg)
        ภาพที่ ๑๙๖
ในตอนที่พระองค์ได้ย้ายมานั่งสมาธิอยู่ที่โคนไทรนั้น ก็เกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้น จะด้วยจิตสำนึก หรือเกิดขึ้นจริงก็ยากจะกล่าว มีหญิงสาวสามคนล้วนร่างสะคราญเปลือยท่อนบนแต่ตกแต่งด้วยสร้อยถนิมพิมพาภรณ์และพวงบุปผชาติที่หอมกรุ่น นางเหล่านั้นใครๆ เรียกว่าธิดาพระยามาร ทั้งสามนางได้ตรงมายังพระองค์ด้วยท่วงทีที่หยาดเยิ้ม


(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/38786625779337_197_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๗
พระมหาบุรุษรู้แล้วด้วยญาณว่า นางนั้นมาหาพระองค์ แต่ไม่สนพระทัย และทั้งมิได้ลืมพระเนตรขึ้นดูเสียอีก นางทั้งสามได้คุกเข่าลงตรงหน้าที่ประทับ เปล่งสำเนียงที่เจื้อยแจ้วว่า หม่อมฉันจะขอมาบำเรอยุคลบาทพระองค์เพคะ ขอพระองค์ได้โปรดลืมพระเนตรขึ้นชมการฟ้อน และฟังการขับรำของพวกหม่อมฉัน ณ บัดนี้เถิด



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/32762796017858_198_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๘
นางได้ทำปฏิกิริยาต่างๆ กัน ที่ขับรำบ้าง ฟ้อนรำบ้าง เข้าออดอ้อนอยู่ใกล้ๆ บ้าง ล้วนแต่ยั่วใจ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อพระองค์หมดความหวั่นไหวต่อกามารมณ์ พวกนางหารู้ไม่ว่า พระองค์ได้ตัดกิเลสกองนี้หมดสิ้นแล้ว ไม่มีสิ่งใดจะมากล่อมหรือกลับพระทัยของพระองค์ได้ ช่างน่าอับอายเสียนี่กระไร ที่ความงามของเธอหมดอำนาจ



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/12028110482626_199_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๑๙๙
พระองค์ได้รอดูจนหมดชั้นเชิงของนางนั้นแล้ว พระองค์จึงยกหัตถ์ขึ้นห้าม ทั้งๆ มิได้ลืมเนตร และว่าแม่นางทั้งสามเอยเราไม่สนใจว่านางมาจากแหล่งใด แต่ขอบอกว่า ไม่มีประโยชน์อันใดที่จะเสียเวลาอยู่กับเรา ผู้หมดในความสำนึกในกิเลสแล้ว ทั้งจะไม่มีเวลาเกิดขึ้นอีกได้เลย อย่าได้พยายามสิ่งใดที่ไม่เกิดผลเลย ขอจงอันตรธานไปเสียจากที่นี่เถิด



(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16259513215886_200_Copy_.jpg)
       ภาพที่ ๒๐๐
เมื่อพระองค์ได้ชัยชนะต่อทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว จึงออกเดินทางละจากที่นั้นไป เพื่อสั่งสอนธรรมที่พระองค์รู้เองตรัสรู้เองแก่ชาวโลก ตามที่ตั้งพระทัยไว้แต่เมื่อเริ่มออกจากพระราชฐานมาบรรพชา พระองค์จะจาริกไปทั่วทุกแห่ง จะไม่ยอมหยุด พระองค์จะบอกความจริงที่พระองค์รู้ ด้วยความอ่อนหวานและชัดแจ้งแก่เขาทุกคน ในเมื่อคนใดประสงค์จะรู้



ที่มา : มูลนิธิ เหม เวชกร (เหม เวชกร -#เผยแพร่ผลงานครูเหม)
650
28.002 / 12.502