หัวข้อ: อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยเกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีอิสราเอล เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 12 ตุลาคม 2566 11:31:16 (https://www.silpa-mag.com/wp-content/uploads/2023/02/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%9B%E0%B8%81-%E0%B9%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B9%84%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%8C-696x364.jpg) อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และ เดวิด เบนกูเรียน นายกรัฐมนตรี คนแรก ของ อิสราเอล รู้หรือไม่? อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ เคยเกือบจะได้เป็นประธานาธิบดีอิสราเอล ผู้เขียน - ศราวิน ปานชัย เผยแพร่ - เพจ ศิลปวัฒนธธรรม วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ.2566 อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก จากผลงานการคิดค้นทฤษฎีสัมพัทธภาพ ที่สร้างแรงสั่นสะเทือนไปทั่วโลก ทำให้เขาขึ้นชั้นเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่รู้หรือไม่ครั้งว่าหนึ่ง ไอน์สไตน์ได้รับข้อเสนอให้ก้าวสู่วงการการเมือง และเกือบจะได้เป็น “ประธานาธิบดี” ของประเทศเกิดใหม่ อย่าง “อิสราเอล” มาแล้ว หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด ได้มีการก่อตั้ง “อิสราเอล” ขึ้นในปี 1948 จากการสนับสนุนของฝ่ายสัมพันธมิตร โดยมีนายกรัฐมนตรีคนแรก คือ เดวิด เบน-กูเรียน (David Ben-Gurion) และประธานาธิบดีคนแรก คือ ชาอิม ไวซ์มัน (Chaim Weizman) วันที่ 9 พฤศจิกายน ปี 1952 ไวซ์มันเสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ทำให้ เบน-กูเรียนต้องหาบุคคลที่เหมาะสมและได้รับการยอมรับจากประชาชนมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป ซึ่งคนที่เขาหมายตาไว้ก็คือ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นั่นเอง เหตุที่เป็นไอน์สไตน์ เพราะเบน-กูเรียนเห็นว่า นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องมีเชื้อสายยิว บวกกับชื่อเสียงและความสามารถของไอน์สไตน์ก็เป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ด้วยเหตุผลทุกข้อประกอบกัน ย่อมทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศเกิดใหม่อย่างอิสราเอลเป็นที่ยอมรับในประชาคมโลกมากขึ้น เพราะขณะนั้นอิสราเอลยังไม่ได้รับการยอมรับทางการทูตจากหลายประเทศ เหตุจากกรณีพิพาทเรื่องดินแดนกับชาวปาเลสไตน์และประเทศอาหรับข้างเคียงที่เป็นศัตรูกับพวกเขา เบน-กูเรียนติดต่อไอน์สไตน์ผ่าน แอ็บบา อีแบน (Abba Eban) เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่ไอน์สไตน์อาศัยอยู่ (ไอน์สไตน์เป็นชาวเยอรมัน เชื้อสายยิว แต่ลี้ภัยออกนอกประเทศในช่วงที่พรรคนาซีปกครองเยอรมนี และมีนโยบายกดขี่ชาวยิว ภายหลังเขาเปลี่ยนสัญชาติเป็นอเมริกัน) ให้ทาบทามไอน์สไตน์มารับตำแหน่งประธานาธิบดีอิสราเอล ซึ่งเป็นประมุขแห่งรัฐในเชิงสัญลักษณ์ ไม่ต้องบริหารประเทศ เพราะมีนายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลทำหน้าที่อยู่แล้ว ข้อเสนอของเบน-กูเรียนมีเงื่อนไขว่า หากไอน์สไตน์ตกลงยอมรับข้อเสนอ จะต้องสละสัญชาติอเมริกันและเปลี่ยนมาถือสัญชาติอิสราเอล รวมทั้งต้องย้ายไปอยู่อิสราเอล และแม้จะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี แต่รัฐบาลอิสราเอลก็จะยังคงอนุญาตให้ไอน์สไตน์มีส่วนร่วมต่อวงการวิทยาศาสตร์เหมือนเดิม และจะสนับสนุนงานวิจัยต่าง ๆ ของเขาด้วย อย่างไรก็ตาม ไอน์สไตน์ได้ปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว ด้วยเหตุผลหลายประการด้วยกัน เช่น อายุมาก เพราะตอนได้รับข้อเสนอ เขามีอายุ 73 ปีแล้ว ซึ่งในความเห็นของไอน์สไตน์คือ ประการแรก ตัวเองแก่เกินไปที่จะเข้าสู่แวดวงการเมือง ประการที่สอง ไอน์สไตน์ลงหลักปักฐานที่สหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 1933 นับเป็นเวลาเกือบ 20 ปี จึงเกิดความผูกพันกับประเทศนี้ การต้องย้ายไปอาศัยในประเทศอื่นที่ไม่มีความผูกพันเป็นสิ่งที่เขาไม่ชอบอย่างมาก ประการสุดท้าย ไอน์สไตน์คิดว่าตัวเขาไม่เหมาะสมกับการดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพราะไม่มีความรู้ หรือประสบการณ์ทางการเมืองมาก่อน ไอน์สไตน์มองว่ายังมีคนที่เหมาะสมกว่าอีกหลายคน ที่ควรได้รับโอกาสเข้ามาทำงานการเมืองในตำแหน่งนี้ ดังคำกล่าวของเขาว่า “ผมรู้สึกซาบซึ้งและขอบคุณอย่างยิ่งต่อข้อเสนอของรัฐบาลอิสราเอล แต่ผมต้องขอปฏิเสธและขออภัยเป็นอย่างยิ่ง ผมขาดทั้งความสามารถและประสบการณ์ในการบริหารจัดการคน” เมื่อไอน์สไตน์ปฏิเสธข้อเสนอ ตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่จึงตกเป็นของ ยิตซัก เบน-ซวี (Yitzhak Ben-Zvi) นักการเมืองอิสราเอลผู้มีความสามารถอีกคนหนึ่ง ซึ่งนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีคนที่ 2 ของอิสราเอลเกือบ 11 ปี ตั้งแต่เดือนธันวาคม ปี 1952 ถึงเดือนเมษายน ปี 1963 |