[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 20 ตุลาคม 2566 17:29:41



หัวข้อ: เขาคันธมาทน์ ในคติทางพุทธศาสนา
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 20 ตุลาคม 2566 17:29:41
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/61229634533325_56_Copy_.jpg)
จิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์ ห้องที่ ๑๘๕
พระระเบียง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง


เขาคันธมาทน์

เขาคันธมาทน์ เป็นชื่อภูเขาสำคัญลูกหนึ่งตามตำนานการสร้างโลกและจักรวาลในคติทางพระพุทธศาสนา เป็น ๑ ใน ๕ ขุนเขาที่ล้อมรอบสระอโนดาตในป่าหิมพานต์ อันได้แก่ สุทัสนกูฏ จิตรกูฏ กาฬกูฏ คันธมาทนกูฏ และไกรลาส แต่ละลูกมีความสูงถึง ๒๐๐ โยชน์

คำ คันธมาทน์ นี้มาจาก คันธ (กลิ่นหอม) + มาทน (ยินดี) คือ ภูเขาที่ให้ชาวโลกยินดีด้วยกลิ่นหอม ความหมายดังกล่าวนี้เป็นคุณลักษณะประการสำคัญของเขาคันธมาทน์ คือเป็นขุนเขาที่พร้อมพรั่งไปด้วยพรรณไม้ที่ส่งกลิ่นหอม ดังในคัมภีร์โลกทีปกสารและไตรภูมิกถาพรรณนาลักษณะเขาคันธมาทน์ไว้ว่า

ยอดเขาคันธมาทนะนั้น มั่วมูลด้วยกลิ่น ๑๐ ประการเหล่านี้คือ กลิ่นที่รากมีต้นกฤษณาเป็นต้น กลิ่นที่แก่นมีต้นจันทน์เป็นต้น กลิ่นที่กระพี้มีต้นสนเป็นต้น กลิ่นที่เปลือกมีต้นสวังคะเป็นต้น กลิ่นที่สะเก็ดมีมะขวิดเป็นต้น กลิ่นที่ยางมีต้นสัชฌะเป็นต้น กลิ่นที่ใบมีต้นพิมเสน เป็นต้น กลิ่นที่ดอกมีต้นบุนนาคและโกสุมเป็นต้น กลิ่นที่ผลมีต้นชาติผลเป็นต้น กลิ่นที่กลิ่นเพราะเป็นกลิ่นรวมของทุกๆ กลิ่นเป็นแหล่งรวมแห่งโอสถ
               (คัมภีร์โลกทีปกสาร)

เขาอันชื่อคันธมาทนกูฏนั้นเทียรย่อมแก้วอันชื่อมสาลรัตนะ กลวงในเขานั้นดั่งถั่วสะแตกแลราชมาส พรรณไม้ที่เกิดในเขานั้น ลางต้นรากหอม ลางต้นแก่นหอม ลางต้นยอดหอม ลางต้นเปลือกหอม ลางต้นลำหอม ลางต้นดอกหอม ลางต้นลูกหอม ลางต้นใบหอม ลางต้นยางหอม (ลางต้นหอมทุกอย่าง) แลว่าไม้ในเขานั้นหอม ๑๐ สิ่งดั่งกล่าวนี้แล ไม้ทั้งหลายนั้นเทียรย่อมเป็นยา แลว่าเชือกเขาเถาวัลย์อันมีในเขานั้นเทียรย่อมมีทุกสิ่ง แลเทียรย่อมหอมอยู่ทุกเมื่อบ่มิรู้วายรสเลย จึงเรียกว่าคันธมาทนเพื่อดั่งนั้น
               (ไตรภูมิกถา)

ความมหัศจรรย์อีกประการหนึ่งของเขาคันธมาทน์ คือในวันเดือนดับและวันเดือนเพ็ญ ขุนเขาแห่งไม้หอมนี้จะมีแสงสว่างรุ่งโรจน์โชติช่วง ดังในไตรภูมิกถาพรรณนาไว้ว่า “แลเขานั้นเมื่อเดือนดับแลรุ่งเรืองชัชวาลอยู่ดั่งถ่านเพลิง ถ้าเมื่อเดือนเพ็งเรืองอยู่ดั่งไฟไหม้ป่าแลไหม้เมืองแล”

นอกจากนี้เขาคันธมาทน์ยังเป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วย  ดังในคัมภีร์จักรวาฬทีปนีกล่าวไว้อย่างละเอียดว่า

ภูเขาชื่อคันธมาทน์ล่วงเลยภูเขาทั้งเจ็ด คือ จูฬกาฬบรรพต มหากาฬบรรพต ขุทกบรรพต จันทบรรพต สุริยบรรพต มณีบรรพต และสุวรรณบรรพต ในหิมวันตประเทศ ณ ภูเขาคันธมาทน์นั้นแลมีเงื้อมชื่อนันทมูลกะเป็นที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย มีถ้ำ๓ ถ้ำ คือ ถ้ำทอง ถ้ำแก้วมณี และถ้ำเงิน ที่ปากถ้ำแก้วมณี มีต้นคำสูงโยชน์หนึ่ง กว้างโยชน์หนึ่ง ต้นคำนั้นย่อมผลิดอกบานสะพรั่งไปทั้งต้นโดยทั่วถึงทั้งในน้ำหรือบนบก โดยวิเศษในวันที่พระปัจเจกพุทธเจ้ามา ข้างหน้าต้นคำนั้นเป็นโรงกลมสำเร็จด้วยสรรพรัตนะ ณ โรงกลมนั้น  สัมมัชนกวาต (ลมกวาด)  กวาดหยากเยื่อทิ้ง สมกรณวาต (ลมเกลี่ย)  เกลี่ยทรายซึ่งล้วนแล้วด้วยสรรพรัตนะ ให้เสมอ สิญจนวาต (ลมรด)  นำน้ำจากสระอโนดาตมารด สุคันธกรณวาต (ลมกลิ่น) นำกลิ่นของต้นไม้หอมทุกอย่างมาจากป่าหิมพานต์  โอจินกวาต (ลมโปรย)  โปรยดอกไม้  สันถรกวาต (ลมลาด) ปูลาดในที่ทุกแห่ง ในโรงกลมนี้มีอาสนะปูไว้ทุกเมื่อ ซึ่งเป็นที่นั่งประชุมของพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกองค์ในวันอุบัติแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้า และในวันอุโบสถพระปัจเจกพุทธเจ้า ครั้นนั่งแล้วย่อมเข้าสมาบัติบางอย่าง แล้วออก (จากสมาบัตินั้น) จากนั้นพระสังฆเถระก็ถามพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์มาใหม่ถึงกรรมฐานว่าท่านได้บรรลุอย่างไร  เพื่อพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงจะได้อนุโมทนาในกาลนั้น พระปัจเจกพุทธเจ้าองค์มาใหม่ก็จะกล่าวคาถาพยากรณ์อันเป็นคำอุทานของตนนั้นแล
               (จักรวาฬทีปนี)

ในลิลิตโองการแช่งน้ำ วรรณคดีไทยสมัยอยุธยาตอนต้น พรรณากำเนิดของภูเขาคันธมาทน์ในนาม “ผาหอมหวาน” หลังยุคไฟ น้ำ และลมบรรลัยกัลป์ล้างโลกว่า


               ๏ กล่าวถึงน้ำฟ้าฟาดฟองหาว     ดับเดโชฉ่ำหล้า
               ปลาดินดาวเดือนแอ่น       ลมกล้าป่วนไปมา
               แลเป็นแผ่นเมืองอินทร์        เมืองธาดาแรกตั้ง     
               ขุนแผนแรกเอาดินดูที่        ทุกยั้งฟ้าก่อคืน
               แลเป็นสี่ปวงดิน      เป็นเขายืนทรง้ำหล้า   
               เป็นเรือนอินทร์ถาเถือก         เป็นสร้อยฟ้าจึ่งบาน
               จึ่งเจ้าตั้งผาเผือกผาเยอ       ผาหอมหวานจึ่งขึ้น
               หอมอายดินเลอก่อน     สรดึ้นหมู่แมนมาฯ

ที่มา : สำนักงานราชบัณฑิตยสภา