[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => เกร็ดศาสนา => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 30 ตุลาคม 2566 18:47:11



หัวข้อ: หอระฆัง
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 30 ตุลาคม 2566 18:47:11
(http://www.sookjaipic.com/images_upload/89421147232254_396476683_729152292581962_8789.jpg)
หอระฆังวัดพระยาทำ (ภาพถ่ายของหอจดหมายเหตุแห่งชาติ)
หอระฆัง คืออาคารประเภทหนึ่งในงานสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งก่อสร้างในวัดทุกแห่ง
ใช้เป็นอาคารสำหรับแขวนระฆังเพื่อใช้ตีบอกสัญญาณเวลาแก่พระสงฆ์ในการลงทำวัตร
และประกอบกิจของสงฆ์
...วิกิพีเดียฯ (ที่มาข้อมูล)

(http://www.sookjaipic.com/images_upload/16920094150635_395913292_729152362581955_9091.jpg)
หอระฆังวัดพระยาทำ ปี ๒๕๖๖
ได้รับการบูรณะแล้วโดยกรมศิลปากร อยู่ในขั้นตอนทำกระเบื้องประดับลวดลายต่อไป


หอระฆัง

หอระฆังเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของวัดไทย เป็นสิ่งก่อสร้างเพื่อใช้แขวนระฆัง อุปกรณ์สื่อสารที่ใช้สำหรับส่งสัญญาณให้พระภิกษุและสามเณรทราบถึงเวลาปฏิบัติศาสนกิจ เพื่อให้วัตรปฏิบัติของพระภิกษุ เช่น ปลุกให้ตื่นเพื่อครองผ้าให้เรียบร้อยก่อนออกบิณฑบาต การทำวัตรเช้า ฉันเพล และทำวัตรเย็น ดำเนินไปโดยพร้อมเพรียงกัน ทั้งยังใช้ส่งสัญญาณในวาระอันเป็นมงคลต่างๆ เช่น วันสำคัญทางศาสนา วันปีใหม่ รวมถึงกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินภายในวัดอีกด้วย โดยวัดส่วนใหญ่นิยมสร้างหอระฆังไว้ระหว่างเขตพุทธาวาสและสังฆาวาส เพื่อให้กระจายเสียงสัญญาณไปยังพระสงฆ์สามเณรที่อยู่ตามจุดต่างๆ ของวัดได้อย่างทั่วถึง

ในประเทศไทย หอระฆังมีการสร้างกันมาตั้งแต่สมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันได้อย่างชัดเจน แต่เท่าที่มีหลักฐานคือในสมัยกรุงศรีอยุธยา พบภาพเขียนของฝรั่งชาวตะวันตกที่เข้ามาในสมัยตอนปลายของกรุงศรีอยุธยา วาดภาพวัดพระยาคลัง (วัดสมณโกฏฐาราม) ซึ่งเป็นวัดที่สร้างตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น ปรากฏมีหอระฆังลักษณะเป็นอาคารโปร่งชั้นเดียวสร้างด้วยไม้อยู่ในภาพ

นอกจากนี้ ยังปรากฏพบร่องรอยของหอระฆังสร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนหลงเหลืออยู่เป็นจำนวนมากตามโบราณสถานวัดต่างๆ ในกรุงศรีอยุธยาอีกด้วย โดยหอระฆังในช่วงอยุธยาตอนปลายนี้ได้พัฒนารูปแบบไปอย่างหลากหลายแล้ว บางแห่งสร้างเป็นรูปแบบพิเศษ อย่างที่วัดหอระฆัง ริมคลองมะขามเรียง (คลองนายก่าย) อำเภอพระนครศรีอยุธยา มีการสร้างหอระฆังโดยทำเป็นซุ้มประตูของวัดไปด้วยในตัว

จึงอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า หอระฆังเป็นสิ่งก่อสร้างที่มีอยู่คู่กับวัดไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ อาจมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น โดยแบ่งเป็นสองรูปแบบตามวัสดุที่ใช้คือ หอระฆังที่สร้างด้วยไม้ (ในยุคแรก หอระฆังส่วนใหญ่คงสร้างด้วยไม้ แต่เพราะไม้เป็นวัสดุเสื่อมสภาพได้ง่าย ไม่คงทนต่อสภาพอากาศ จึงไม่หลงเหลือหลักฐานให้เห็น นอกจากในภาพวาด) และหอระฆังที่สร้างแบบก่ออิฐถือปูน ที่นิยมสร้างกันมากในสมัยอยุธยาตอนปลาย

หอระฆังทั้งแบบไม้และแบบก่ออิฐถือปูนยังคงมีการสร้างกันมาอย่างต่อเนื่องจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ ด้วยเหตุผลในด้านงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้าง หอระฆังไม้จึงนิยมสร้างในวัดราษฏร์ ดังปรากฏหลงเหลือให้เห็นอยู่ตามวัดในเขตปริมณฑลรอบนอก ในขณะที่หอระฆังห่ออิฐถือปูนนิยมสร้างในวัดหลวง เพื่อความคงทนถาวรกว่า

ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ช่วงรัชกาลที่ ๑-๓ มีความพยายามที่จะสร้างกรุงเทพฯ ให้เหมือนกับกรุงศรีอยุธยา จึงมีการสร้างพระอารามหลวงขึ้นเป็นจำนวนมาก มีทั้งสร้างพระอารามขึ้นใหม่ และบูรณปฏิสังขรณ์วัดเก่าที่มีอยู่แต่เดิมขึ้นมาใหม่อีกทางหนึ่ง

วัดพระยาทำวรวิหารที่เป็นข่าวดังนี้จัดอยู่ในกลุ่มหลัง เนื่องจากเป็นวัดเก่าแก่ที่มีมาตั้งสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แต่เดิมชื่อ “วัดนาค” พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ (กุน) สมุหนายก รับหน้าที่บูรณปฏิสังขรณ์วัดนาคแบบสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด วัดนาคจึงได้รับนามใหม่ว่า “วัดพระยาทำ” หมายถึงวัดที่เจ้าพระยารัตนาธิเบศร์ทำขึ้นใหม่นั่นเอง พร้อมกับได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงชั้นตรี

หอระฆังวัดพระยาทำ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนสองชั้น ประดับประดาด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหลัง ชั้นล่างสุดทั้งสี่ด้านเป็นซุ้มโค้งแหลม บริเวณมุมประดับด้วยประติมากรรมยักษ์ยืนหิ้วห่วงที่คล้องกับฐานหอระฆังประจำทั้งสี่มุม เหนือขึ้นไปบนวงกรอบของซุ้มแต่ละด้านประดับประติมากรรมรูปครุฑยุดนาค สลับด้วยประติมากรรมเทพนมประจำมุมทิศทั้งสี่มุม ชั้นบนอันเป็นที่แขวนระฆังย่อมุมไม้สิบสองแต่ละด้านเป็นซุ้มโค้งประดับด้วยพญานาค ยอดหอระฆังเป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสอง ด้วยการประดับประดาอันละเอียดลออแทบทุกตารางนิ้ว ทำให้ได้รับการยกย่องว่าเป็นหอระฆังที่มีความงดงามอลังการที่สุดของประเทศไทย

สันนิษฐานว่าหอระฆังนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๒ พร้อมกับวัด แล้วได้รับการบูรณะในรัชกาลที่ ๓  ด้วยลักษณะทางศิลปกรรมแบบพระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓  เนื่องจากมีประวัติว่าได้รับการปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมในสมัยรัชกาลที่ ๓ และ ๕ ตามลำดับ  โดยในสมัยปัจจุบันได้บูรณะครั้งสุดท้ายเมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๗ ก่อนที่กรมศิลปากรจะเข้ามาทำการบูรณปฏิสังขรณ์ และพังทลายลงมาเมื่อเดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๖๑

ในส่วนของการบูรณปฏิสังขรณ์หอระฆังวัดพระยาทำวรวิหาร ในขั้นตอนการขุดฐานรากเพื่อเสริมความมั่นคงก่อนการปรับยกหอระฆัง ได้ขุดลึกลงไปในชั้นดินประมาณ ๑.๓๐ เมตร พบร่องรอยการประดับตกแต่งส่วนฐานหอระฆังด้วยชิ้นส่วนกระเบื้องเคลือบจีน กระเบื้องเคลือบลายเทพนมบนพื้นลายพรรณพฤกษา เครื่องเคลือบเขียว-น้ำตาล (ถ้วยปลา) เครื่องเคลือบเขียว-น้ำตาล (ถ้วยปู) กระเบื้องเคลือบลายคราม กระเบื้องเคลือบลายมังกร เครื่องเขียนสีบนเคลือบ และชิ้นส่วนประติมากรรมปูนปั้นประดับกระเบื้องเคลือบที่ใช้ประดับส่วนล่างของอาคาร

เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินการบันทึกข้อมูลและเก็บหลักฐานตามกระบวนการทางโบราณคดี ถ่ายภาพ ทำแผนผัง แผนภาพ จัดทำบัญชีประเภทโบราณวัตถุไว้อย่างชัดเจน โดยระบุตำแหน่ง ชิ้นส่วนกระเบื้อง พร้อมให้เลขหมายไว้บนชิ้นส่วนกระเบื้องแต่ละชิ้น แยกเก็บหลักฐานตามตำแหน่งที่พบตามหลักวิชาการอย่างละเอียดรอบคอบและเคร่งครัด โดยจะใช้โบราณวัตถุเหล่านี้เป็นต้นแบบในการบูรณะและจัดทำชิ้นส่วนใหม่ขึ้นทดแทน กรณีชำรุดเสียหาย  ทั้งนี้ก่อนที่หอระฆังจะพังลงมาได้มีการสแกนรายละเอียดต่างๆ ของหอระฆังเก็บไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว การซ่อมแซมให้กลับมาเหมือนเดิมจึงไม่ใช่เรื่องยาก


ขอขอบคุณ อนุสาร อ.ส.ท. (ที่มาเรื่อง/ภาพประกอบ)