หัวข้อ: สัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิ : พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 17 พฤศจิกายน 2566 16:41:40 (http://www.sookjaipic.com/images_upload/97148926887247_398576566_914827416692082_9135.jpg) สัมมาทิฐิ มิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิจึงมาก่อน สัมมาสังกัปโปคือความคิดชอบก็จะตามมา คิดในทางที่ถูก คิดปล่อยวาง คิดลด คิดละความโลภความโกรธความหลงความอยากต่างๆ ถ้ามีมิจฉาทิฐิก็จะคิดอยากจะมีมากยิ่งขึ้น อยากจะได้มากยิ่งขึ้น อยากจะเป็นใหญ่มากยิ่งขึ้น อยากจะอยู่นานมากยิ่งขึ้น อยากจะรวยมากยิ่งขึ้น เป็นความคิดที่ตามมาจากมิจฉาทิฐิ แล้วก็จะไปทำเวรทำกรรมต่อไป ทำผิดศีลผิดธรรม พูดจาโกหกหลอกลวง ทำอาชีพที่ไม่ถูกต้อง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เบียดเบียนผู้อื่น แต่ถ้ามีสัมมาทิฐิแล้ว ก็จะคิดไม่อยากไม่โลภไม่โกรธ เวลาจะทำอะไรก็คำนึงเสมอว่า จะไม่ไปสร้างความเดือดร้อน ไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ไปพูดโกหกหลอกลวงผู้อื่น ให้เสียอกเสียใจช้ำอกช้ำใจ ไม่ไปทำอาชีพที่กระทบกับชีวิตของผู้อื่น จะบำเพ็ญแต่สมณธรรม เจริญมรรคเจริญสมาธิเจริญสติให้มากๆ เพื่อให้จิตสงบให้มากๆ จิตสงบมากเท่าไหร่ ก็จะไม่อยากจะได้อะไรมากขึ้นไปเท่านั้น จนในที่สุดเมื่อสงบเต็มที่ด้วยปัญญา ด้วยสัมมาทิฐิ ปล่อยวางทุกอย่าง ไม่ยึดไม่ติดกับอะไรแล้ว ก็จะไม่หิวไม่อยากไม่ต้องการอะไร นิโรธก็ปรากฏขึ้นมาเต็มที่ ในการบำเพ็ญกิจทั้ง ๔ นี้ ทุกข์ต้องกำหนดรู้ สมุทัยต้องละ นิโรธต้องทำให้แจ้ง มรรคต้องบำเพ็ญให้มาก ตัวที่ดำเนินการจริง ๆก็คือตัวมรรคนี้เอง เพราะเวลาเราฟังเทศน์ฟังธรรมเราก็กำลังเจริญสัมมาทิฐิ กำลังพิจารณาทุกข์ ได้ยินแล้วว่าร่างกายนี้เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา นี่ก็เป็นการกำหนดรู้ทุกข์แล้ว รู้ว่าร่างกาย รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา การได้ยินได้ฟังนี้เป็นจุดเริ่มต้นของสัมมาทิฐิ แต่ยังไม่เป็นสัมมาทิฐิที่ถาวร ถ้าฟังแล้วเราไม่เจริญต่อ ไม่เอาไปพิจารณาต่อ พอออกจากศาลานี้แล้วก็ไปคุยเรื่องอื่นกัน จะไปเที่ยวที่ไหน จะไปกินที่ไหนดี เรื่องสัมมาทิฐิก็จะหายไป กลายเป็นเรื่องของกามตัณหาขึ้นมาแล้ว ที่ไหนอร่อย ก็เป็นเรื่องของกามตัณหาแล้ว ถ้าจะกินก็กินตามมีตามเกิด ที่ไหนมีอาหารก็กินไปเลย เหมือนกับเติมน้ำมัน เจอปั้มน้ำมันก็เติมไปเลย น้ำมันเหมือนกัน อย่างนี้ถึงจะเป็นสัมมาทิฐิ พอได้ยินได้ฟังแล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องเอาไปพิจารณาอยู่เรื่อยๆ จนกว่าจะเป็นภาวนา คือทำอย่างต่อเนื่องทุกลมหายใจเข้าออก พระพุทธเจ้าทรงสอนพระอานนท์ว่า ต้องพิจารณาความตายทุกลมหายใจเข้าออก ก็ทรงหมายถึงให้พิจารณาทุกข์นี่แหละ ให้พิจารณารูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ว่ามีการเกิดแล้วก็ต้องมีการดับเป็นธรรมดา ไม่ใช่ฟังแต่ตอนนี้แล้ว พอออกจากที่นี่ก็จบ ถ้าอย่างนี้ก็จะไม่ได้รับประโยชน์ เหมือนกับฟังเข้าหูซ้ายแล้วก็ออกหูขวา ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ในใจเลย ไปแล้วก็ยังมีมิจฉาทิฐิเหมือนเดิม ยังอยากจะสวยยังอยากจะงามไปนานๆ ยังไม่อยากแก่ไม่อยากเจ็บไม่อยากตายอยู่ ถ้าอย่างนี้ก็แสดงว่าไม่ได้เจริญสัมมาทิฐิ ปล่อยให้มิจฉาทิฐิทำหน้าที่ต่อไปอย่างสบาย. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี จุลธรรมนำใจ ๑๔ กัณฑ์ที่ ๓๘๔ วันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ |