หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - แม่ญิงสิเล่นการเมือง: ข้ามพ้นมายาคติทางเพศเพื่อสร้างพื้นที่ของผู้หญิงในภาคเ เริ่มหัวข้อโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 28 ธันวาคม 2566 18:33:39 แม่ญิงสิเล่นการเมือง: ข้ามพ้นมายาคติทางเพศเพื่อสร้างพื้นที่ของผู้หญิงในภาคเหนือ
<span class="submitted-by">Submitted on Wed, 2023-12-27 17:57</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>กมลชนก เรือนคำ รายงาน กิตติยา อรอินทร์ กราฟิก</p> </div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>รายงานล่าสุดจาก #ท้องถิ่นสร้างสื่อสอบ "แม่ญิงสิเล่นการเมือง: ข้ามพ้นมายาคติทางเพศเพื่อสร้างพื้นที่ของผู้หญิงในภาคเหนือ" โดย กมลชนก เรือนคำ นำเสนอว่า ภาพลักษณ์ของสตรีในภาคเหนือเป็นอะไรได้มากกว่ากิริยาอ่อนหวาน หรือภาพลักษณ์ที่กำหนดโดยชนชั้นนำทางเศรษฐกิจและการเมือง แต่เพศสตรีภาคเหนือยังมีบทบาททางการเมืองและสังคมได้เสมอหน้าเพศบุรุษเช่นกัน และผลเลือกตั้งหลายจังหวัดภาคเหนือ โดยเฉพาะกรณีเชียงใหม่ ที่นักการเมืองสตรีตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกำลังสะท้อนอะไร?</p> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53424242809_7e32889f46_k.jpg" /></p> <p><span style="color:#e67e22;">ภาพจำของคนไทยต่อผู้หญิงในภาคเหนือหรือ “สาวเหนือ” นั่นคือ เป็นผู้หญิงที่มีกิริยาอ่อนหวาน นิ่มนวล และสวยงาม [ที่มา: </span><span style="color:#e67e22;">ภาพจากองค์การบริหารส่วนจังหวัดพะเยา</span> (https://www.py-pao.go.th/wp-newweb/?p=20881)<span style="color:#e67e22;">]</span></p> <p>"ผู้ชายที่ชอบสาวเหนือชอบเพราะอะไรกันคะ" "ทำไมสาวเหนือถึงสวยและน่ารักดึงดูดใจกว่าสาวภาคอื่นๆครับ" "ผมสงสัยครับ เค้าว่ากันว่า สาวเหนือเนี่ย หลายใจ ใจง่าย ชอบหลอก" "การค้าประเวณีภาคเหนือสมัยก่อน" "ตำนานดอกคำใต้" การค้าประเวณีที่ก่อค่านิยมเป็น "โสเภณี" "ค้ากามแม่ฮ่องสอน ย้อนวลี 'ตกเขียว' ส่งเด็กบำเรอนาย ไม่หายจาก ..." "โตไปก็ขายตัว เรียนไปก็เท่านั้น คำพูดคำดูถูกที่ได้ยินมาตั้งแต่เด็ก #ประภาสาวไทใหญ่ #ชีวิตต้องสู้ #สาวเหนือ" "สาวเหนือขายX จะสวย น่ารัก ซี้ดซ้าด แค่ไหนมาดูกัน !!" "[ผู้หญิงขายตัว] สาวเหนือ นมใหญ่แท้แม่ให้มา อัธยาศัยดี กทม นะคะ" "คลิปโป๊สาวเหนือ XXX คน จีน" "สาวเหนือขายบริการที่ท่าขี้เหล็ก เอาสดแตกใน ใส่ปากได้ - หนังXXX" "สาวเหนืออยากเหลือใช้เข้ากรุงมาขายบริการให้ฝรั่งซื้อไปซั่ม" หนังโป๊ไทย XXX สาวเหนือไกลบ้านขาย X ที่พัทยา "xxxxซั่ม X สาวเหนือเชียงใหม่ ขายตัวนวดกะปู๋ขอน้องถ่ายไว้ว่าว หลุด ..." "Clipสาวเหนือ18+ ไม่เคยโดน XXX มาขายตัวครั้งแรก แหกขาไม่เป็น ก็ ..."</p> <p>นี่คือตัวอย่างข้อความที่ผุดขึ้นมาจากการค้นหาเมื่อลองใช้คำค้นที่มีคำว่า "สาวเหนือ" ประกอบการสืบค้น (สืบค้นเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2566) ส่วนหนึ่งได้สะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่มาพร้อมกับภาพจำของเกี่ยวกับความสวยงามของสาวเหนือคือแง่มุม “ในเชิงเพศสัมพันธ์” มากกว่าผู้หญิงภูมิภาคอื่น เมื่อเทียบคีย์เวิร์ดในการค้นหาคำว่า “สาวใต้” “หรือ“สาวอีสาน” ที่มักจะได้แค่ชื่อเพลง และยิ่งไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยเมื่อใช้คำว่า “สาวภาคกลาง” หรือ “สาวกรุงเทพ” </p> <p>แต่นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรภาพลักษณ์ในอดีตของสาวเหนือที่ว่ากิริยาอ่อนหวาน นิ่มนวล สวยงาม แม่บ้านแม่เรือน ที่ปรากฏในวรรณกรรมหรือเพลงนั้นตรงตามลักษณะที่ชนชั้นที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองสร้างเอาไว้ เพื่อการท่องเที่ยวหรือพูดให้ตรงกว่านั้นสาวเหนือเป็นวัตถุดิบชั้นดีของธุรกิจบริการทางเพศซึ่งความจริงแล้วเป็นเครื่องยนต์แรงสูงของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั่นเอง</p> <p>ในความเป็นจริงผู้หญิงในภาคเหนือเป็นอะไรได้มากกว่านี้ สามารถมีบทบาททางการเมืองและสังคมได้เสมอหน้าบุรุษเพศเช่นกัน แต่คำถามแห่งยุคสมัยปัจจุบันคือ มายาคติที่มีมาแต่ปางอดีตเป็นอุปสรรคหรือไม่ อย่างไร และเมื่อไหร่จะหลุดพ้นกันไปได้เสียที</p> <h3><span style="color:#2980b9;">นิยายแฟนตาซีของแม่หญิงเหนือ</span></h3> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53424350810_6824fc3377_k.jpg" /></p> <p><span style="color:#e67e22;">ภัทรัตน์ พันธุ์ประสิทธิ์ นักวิจัยสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ผู้ศึกษาและมีงานวิชาการเกี่ยวกับประเด็นเพศสภาวะ</span></p> <p>ภัทรัตน์ พันธุ์ประสิทธิ์ นักวิจัยสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) อธิบายว่ามายาคติต่อผู้หญิงเหนือในฐานะแฟนตาซีหรือความ exotic ทางเพศของผู้ชาย (กรุงเทพเป็นส่วนใหญ่)เกิดขึ้นเมื่อกรุงเทพขยายอิทธิพลและเข้าไปปกครองหัวเมืองล้านนาในสมัยรัชกาลที่ 5 ผู้หญิงล้านนาถูกมองว่าไม่รักนวลสงวนตัว ขี้เกียจ ไม่เป็นแม่บ้านแม่เรือนผิดไปจากมาตรฐานของชาวเมืองหลวง ดังปรากฎในเรื่องราวของ “สร้อยฟ้า” ตัวละครในเรื่องขุนช้างขุนแผน ที่แม้ว่าจะเป็นถึงธิดาของกษัตริย์เชียงใหม่ แต่ก็ถูกสร้างภาพให้เจ้าแง่แสนงอน ไม่มีความเป็นกุลสตรี ไม่เป็นแม่บ้านแม่เรือน</p> <p>ในชีวิตจริงนั้นแม้แต่ เจ้าดารารัศมี พระธิดาของพระเจ้าอินทวิชยานนท์ เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ที่ลงไปประทับในราชสำนักกรุงเทพในฐานะพระราชชายารัชกาลที่ 5 ก็ยังถูกกระแหนะกระแหนจากสาวชาววังกรุงเทพว่าเป็น “ลาว” เช่นกัน แต่นั่นดูเหมือนไม่ได้เป็นแรงขับดันสำคัญที่ทำให้ เจ้าดารารัศมียืนหยัดต่อสู้แต่อย่างใด ตรงกันข้ามเธอกลับใช้อิทธิพลของราชสำนักกรุงเทพฯเปลี่ยนแปลงให้ภาพลักษณ์ผู้หญิงชาวเหนือกลายเป็นแฟนตาซีทางเพศเด่นชัดมากขึ้น เมื่อพวกเธอถูกฝึกหัดให้ฟ้อนรำในชุดแต่งกายพื้นเมืองที่งดงาม ทัดดอกเอื้อง ต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองจนภาพเหล่านั้นกลายเป็นส่วนสำคัญของโปสเตอร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวมาจนถึงปัจจุบัน</p> <p>“การสร้างภาพนี้ทำโดยกลุ่มนายทุนที่พยายามส่งเสริมและขายวัฒนธรรม ประเพณี ความสวยงามของจังหวัดทางภาคเหนือ หากจำกันได้ไม่กี่สิบปีมานี้ก็จะมียุคที่เด็กสาวจากทางจังหวัดภาคเหนือเข้าสู่การค้าประเวณี เป็นยุคตกเขียว เหล่านี้ล้วนแล้วมีที่มาจากมายาคติทางเพศเกี่ยวกับผู้หญิงเหนือว่าสวยงาม ผิวขาว อ่อนโยน น่ารักทั้งสิ้น ซึ่งมายาคติที่ถูกสร้างขึ้นช่วงนี้ไหลเวียนอยู่ในสังคมไทยมายาวนาน แม้จะลดความเข้มข้นไปมากในระยะหลังและเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ายังคงมีอยู่บ้าง” ภัทรัตน์ กล่าว</p> <p>การศึกษาเรื่อง "จากสาวเครือฟ้า สู่กาสะลอง ซ้องปีบ และส้มป่อย: การสร้างภาพผู้หญิงล้านนาภายใต้แนวคิดเรื่องเพศทวิลักษณ์และปิตาธิปไตยแบบตะวันตก" (https://so03.tci-thaijo.org/index.php/JHUMANS/article/view/262911/174907) โดย กิตติยา มูลสาร ให้คำอธิบายคล้ายๆกันว่า เมื่อสยามได้รับอิทธิพลแนวคิดเรื่องเพศจากตะวันตกและนำเอาแนวคิดนั้นเข้ามาใช้ในการปกครองล้านนาด้วย ก็ทำให้มุมมองเรื่องเพศกลายเป็นลักษณะของการแบ่งขั้วเชิงอำนาจระหว่างเพศไปด้วย โดยที่ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงตามแนวทางของปิตาธิปไตย</p> <p>รวมความแล้วผู้หญิงชาวเหนือถูกกดทับด้วยวัฒนธรรมเชิงช้อนหลายชั้น ตั้งแต่ความอ่อนด้อยตามลักษณะทางกายภาพและเพศสภาพ ความแตกต่างทางอัตลักษณ์จากชาวเมืองหลวงไปจนถึงอำนาจทางการเมือง</p> <p>นอกจากนี้ “สื่อบันเทิง” สมัยใหม่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วย “ทำซ้ำ” มายาคติเกี่ยวกับผู้หญิงภาคเหนือตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน โดยภาพของผู้หญิงภาคเหนือที่ปรากฏในสื่อบันเทิงโดยเฉพาะ “ภาพยนตร์” และ “ละคร” มักจะถูกนำเสนอเป็นวัตถุทางเพศ ถูกนำเสนอให้มีลักษณะอ่อนแอ จะสามารถเป็นผู้หญิงที่ดีได้ต่อเมื่อมีความสัมพันธ์กับเพศตรงข้ามเท่านั้น</p> <p>มีตัวอย่างการวิเคราะห์ (https://prachatai.com/journal/2018/02/75604) ชี้ว่าละครและภาพยนตร์ที่เกี่ยวข้องกับภาคเหนือหรือดินแดนล้านนา ได้นำเสนอผ่านมุมมองแบบอาณานิคมภายใน สร้างภาพจำเกี่ยวกับภาคเหนือทั้งในแง่มุมแบบถิ่นไทยงาม ศิลปวัฒนธรรมและภาพลักษณ์ของผู้หญิงภาคเหนือที่ใสซื่อบริสุทธิ์ ย้อนไปในอดีตตั้งแต่ บทละครร้อง "สาวเครือฟ้า" ที่รับความนิยมอย่างมาก และมีการนำไปผลิตซ้ำเป็นภาพยนตร์อีกในเวลาต่อมา ถัดจากนั้น ก็ "วังบัวบาน" ที่ถูกผลิตซ้ำเป็นภาพยนตร์เช่นกัน รูปแบบเช่นนี้ยังปรากฏในละครยุคต่อมาอย่าง "ดอกรักบานที่สันกำแพง" "แหวนทองเหลือง" "แม่อายสะอื้น" ฯลฯ</p> <h3><span style="color:#2980b9;">แม่ญิงอยู่แถวหน้า (ไม่ได้หรือ?)</span></h3> <p>ปัจจุบันมีกระแสที่ผู้หญิงทั่วโลกได้ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเสมอภาคทางเพศ ผ่านกิจกรรมทางสังคมมากมายทั้งเรื่องสังคม สิ่งแวดล้อม หรือการเมือง ไม่น้อยหน้ากว่าผู้ชาย แต่ก็ยังมีอุปสรรคและปัญหาในการเคลื่อนไหวของนักกิจกรรมผู้หญิงทั่วโลกอยู่ด้วยเช่นกัน ภาคเหนือของประเทศไทยเอง ก็มีปัญหาด้านต่าง ๆ มาอย่างช้านาน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม หรือสิทธิมนุษยชน ขบวนการทางสังคมในภาคเหนือก็มีประวัติมาอย่างยาวนาน และผู้หญิงก็เป็นเรี่ยวแรงสำคัญของขบวนการ </p> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53424350835_de68d48e47_h.jpg" /></p> <p><span style="color:#e67e22;">ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักเขียนและนักแปลอิสระผู้ติดตามขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมมาอย่างต่อเนื่อง</span></p> <p>ภัควดี วีระภาสพงษ์ นักเขียนและนักแปลอิสระ มองว่าถ้ามองในแง่ของสภาพแวดล้อมภายนอกของประเทศไทย (ซึ่งรวมถึงภาคเหนือด้วย) ว่าแม้จะเราโชคดีกว่าในหลายประเทศตรงที่ผู้หญิงใช้ชีวิตอิสระได้พอสมควร แต่นักกิจกรรมไทยมักมีข้อจำกัดใหญ่คือครอบครัว ครอบครัวส่วนใหญ่ไม่ส่งเสริมการเป็นนักเคลื่อนไหวหรือทำกิจกรรม รวมทั้งห้ามปราม ไปจนถึงกดดันบังคับไม่ให้เข้าร่วมการทำกิจกรรมด้วย ถ้ามองเงื่อนไขจำกัดของสภาพแวดล้อมภายในแล้ว ภัควดีบอกว่านักกิจกรรมหญิงยังพบอุปสรรคหลายอย่างทั้งมีผู้นำหญิงน้อย กรอบคิดชายเป็นใหญ่ และปัญหาการล่วงละเมิดทางเพศ </p> <p>“ถึงแม้ผู้หญิงจะมีจำนวนสัดส่วนเป็นนักกิจกรรมสูงมาก แต่มักมีสัดส่วนที่เป็นผู้นำน้อยกว่า องค์กรนักกิจกรรมจำนวนมากยังมีแนวคิดผู้ชายเป็นใหญ่ นักกิจกรรมหญิงยังมักประสบปัญหาการถูกล่วงละเมิดทางเพศจากนักกิจกรรมชาย ยังต้องมีการแก้ไขเรื่องทัศนคติและความเข้าใจอีกมาก” ภัควดี กล่าว</p> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53424079118_4872c702a9_k.jpg" /></p> <p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">กนกพร จันทร์พลอย ประสานงานโครงการฯ มูลนิธิสื่อประชาธรรม (ที่มา: Teerapong Seetaso)</span></p> <p>กนกพร จันทร์พลอย ผู้ประสานงานโครงการฯ มูลนิธิสื่อประชาธรรม ระบุว่าผู้หญิงนั้นมีความสามารถในการทำกิจกรรมทางสังคมเช่นเดียวกับผู้ชาย ซึ่งผู้หญิงชาวภาคเหนือก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่บางครั้งผู้หญิงชาวเหนือชอบที่จะทำอะไรอยู่เบื้องหลังมากกว่า ส่วนตัวของเธอนั้นชอบทำงานอยู่ข้างหลังและสนับสนุนคนอื่นมากกว่าเช่นกัน</p> <p>"เราเป็นคนเชียงใหม่ตั้งแต่เกิด เอาจริง ๆ เรามองว่าการเป็นผู้หญิงมันไม่ใช่ปัญหาขนาดนั้น แต่ถ้ามองมิติการมีส่วนร่วมในทางสังคม ฐานะสื่อมวลชนที่เราเริ่มทำมาแค่ 1 ปีเศษ ๆ ก็เห็นว่างานอีเว้นท์ในเชียงใหม่มันจะไม่ได้มีสถานการณ์ที่กดดันขนาดนั้น แต่ในเชิงการทำงานร่วมกับทีม เราเป็นคนที่ชอบที่จะสนับสนุนด้านหลังมากกว่า" กนกพร กล่าว</p> <p>กนกพร ยังมองว่าอุปสรรคในการทำงานของผู้หญิงโดยเฉพาะคนที่ต้องดูแลครอบครัวก็มีเหมือนกัน เช่นภาระทางบ้านของครอบครัวหญิงล้วนเช่นเธอ</p> <p>"ยังรู้สึกมีห่วงถึงครอบครัว เรื่องที่บ้าน เพราะบ้านเราตอนนี้มีแต่ผู้หญิง และเรามีภาระที่บ้านที่ต้องถูกกดดันว่าให้เป็นผู้นำ ยิ่งต้องทำให้ตัวเองรู้สึกปลอดภัยไว้ก่อนเสมอ เพราะหากตัวเรายังไม่ปลอดภัย เราจะดูแลคนที่บ้านได้ยังไง อันนั้นคือคำถามที่เกิดขึ้นในหัวเสมอเวลาจะทำอะไรที่เสี่ยง" กนกพร กล่าว</p> <h3><span style="color:#2980b9;">ระบบรวมศูนย์ที่ปิดกั้น</span></h3> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53423921106_4e723ea53b_b.jpg" /></p> <p><span style="color:#e67e22;">ณัฐมน สะเภาคำ ผู้ร่วมก่อตั้ง Sapphic Pride และนักวิจัยสายสตรีนิยม [</span><span style="color:#e67e22;">ที่มา: ภาพจาก Young Pride Club</span> (https://www.facebook.com/YoungPrideClub/photos/a.2090727391179978/2266227900296592/)<span style="color:#e67e22;">] </span></p> <p>ณัฐมน สะเภาคำ ผู้ร่วมก่อตั้ง Sapphic Pride และนักวิจัยสายสตรีนิยม ได้ให้ภาพผู้หญิงภาคเหนือกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคมว่าจากมุมมองของตัวเองในฐานะที่เป็นเด็กผู้หญิงคนนึงที่เติบโตในสังคมภาคเหนือ จะเห็นว่าในอดีตนั้นบทบาทของผู้หญิงค่อนข้างที่จะเข้มข้น ตัวอย่างเช่นเราจะมีแม่หลวงบ้าน (ผู้ใหญ่บ้านที่เป็นผู้หญิง) เยอะมาก เพราะว่าผู้หญิงความเป็นธรรมชาติเข้าถึงคนได้ทุกครัวเรือนทุกเพศทุกวัย และผู้หญิงก็ผูกพันร่วมกันผ่านกิจกรรมทางสังคมในมิติทางวัฒนธรรม</p> <p>“เราจะเห็นว่าผู้หญิงหรือบทบาทสูงมากในการจัดเตรียมและทำพิธีกรรมเช่น ในช่วงสงกรานต์ก็จะมีการฟ้อนผีมด การเข้าทรง เป็นต้น ดังนั้น ภาพของการทำกิจกรรมเพื่อสังคมของผู้หญิงภาคเหนือในอดีตก่อนทุนนิยมเข้มข้นเข้ามาค่อนข้างที่มีอำนาจผูกโยงกับเรื่องราวทางจิตวิญญาณและความเป็นเพศในรูปแบบของกิจกรรมเพื่อสังคมที่ดำเนินอยู่กับประเพณีดั้งเดิม” ณัฐมน ระบุ</p> <p>หลังจากที่แผนการพัฒนาทางเศรษฐกิจของรัฐไทยกระจายเข้ามาสู่สังคมชนบท ส่งผลให้ผู้หญิงสามารถเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของการทำงานนอกบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะผู้หญิงในภาคเหนือก็จะไปอยู่ในส่วนที่ภาษาสตรีนิยมจะเรียกว่า emotional labor หรือคนทำงานบริการที่ต้องใช้ความเป็นผู้หญิงหรือลักษณะนิสัยที่นอบน้อมบางอย่างในการปรับอารมณ์ของผู้คนแลกกับเงินเพื่อเอามาดูแลครอบครัว</p> <p>นอกจากนี้การที่รัฐรวมศูนย์อำนาจเข้ามามีบทบาทในการจัดการชนบทผ่านการคัดเลือกแต่งตั้งผู้นำชุมชนหลายระดับเพื่อนำนโยบายที่มีอคติมางเพศเข้ามาปรับใช้ เช่น การประกวดหญิงงามประจำตำบลหรือเทศกาลก็เป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมกรอบเพศวิถีเพื่อชี้นำให้ผู้หญิงเป็นกุลสตรีและต้องแม่และเมียที่ดีเพื่อส่งเสริมผู้นำครอบครัวที่เป็นเพศชาย</p> <p>“การสมาทานแนวคิดหรือวิธีดำเนินการ จากรัฐรวมศูนย์ที่มันเป็นวิทยาศาสตร์เป็นแนวความรู้ที่มาจากโลกสมัยใหม่ที่ถูกนำมาใช้จึงขัดแย้งกับบทบาทผู้หญิงในการทำกิจกรรมทางสังคมในอดีตที่เน้นการรวมกลุ่มเน้นการใช้จิตวิญญาณและให้ทุกทุกคนมีส่วนร่วมได้คุณค่านี้ถูกลดทอนลงไป และส่งผลมาจนถึงปัจจุบัน มันเป็นความเว้าแหว่ง ขาดตอน ในการที่เรามีผู้นำเป็นผู้หญิงซึ่งใช้วิธีการที่แตกต่างไปจากแนวทางของรัฐสมัยใหม่ การที่เราไม่มีตัวอย่างที่ผู้หญิงทำกิจกรรมเพื่อสังคม และมีการจัดการรวบรวมความรู้อย่าง เป็นระบบและ ต่อเนื่อง สิ่งเหล่านี้ ล้วนหยั่งลึกลงไปทางความคิด ความรู้สึกทำให้ผู้หญิงไม่สามารถที่เข้ามาอยู่ในวงการกิจกรรมเพื่อสังคมได้แบบที่ผู้ชายทำ” ณัฐมน ระบุ</p> <p>ณัฐมน ชี้ว่าปัจจุบันผู้หญิงสามารถที่จะมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมได้มากขึ้นเนื่องจากแนวโน้มของเทรนโลกตะวันตกเริ่มที่จะส่งเสริมความหลากหลายของอัตลักษณ์ ให้ดำเนินไปพร้อมกับ การพัฒนาในลักษณะที่ยึดโยงกับพื้นที่เพื่อให้เกิดความยั่งยืน เราจะเห็นได้จากการเข้ามาของแนวคิดการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goal—SDG) ที่หลายประเทศรวมทั้งไทยบรรจุลงไปในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของตัวเอง ดังนั้นสิ่งที่ผู้หญิงในปัจจุบันทำได้คือการสั่งสมความรู้และแนวทางในการเคลื่อนไหวร่วมกัน ผู้หญิงต้องพยายามรวมกลุ่มของตัวเอง ให้มีความเข้มแข็งและมีความต่อเนื่อง ผู้หญิงควรทำงานร่วมกันผ่านเครือข่ายต่างๆเพื่อที่เราจะได้ตรวจสอบแนวคิดและหาแนวทางการเดินต่อไปข้างหน้าร่วมกัน โดยการกลับมารื้อฟื้น ความรู้ดั้งเดิมมาเป็นเครื่องมือในการต่อต้านหรือต่อรองกับอำนาจรัฐที่พยายามบีบคั้น เบียดขับผู้หญิงออกไปจากพื้นที่ทางสังคม</p> <p>“ส่วนตัวมองว่ามีความเป็นไปได้สูง ที่ในอนาคตผู้หญิงจะมีบทบาททางสังคมมากขึ้นเพราะผู้หญิงในประเทศไทยปัจจุบันมีการศึกษาที่สูงขึ้นและก็มีทุนสำรองจากการทำงานที่หลากหลายแต่สิ่งที่ยังขาดไปคือตัวอย่างหรือแนวทางในการที่ผู้หญิงจะรวมกลุ่มและทำกิจกรรมเพื่อสังคม โดยไม่ต้องยึดโยงกับแนวทางของรัฐรวมศูนย์ที่ยังมีอคติทางเพศ โดยเฉพาะในสังคมชนบท เรามองว่าในส่วนที่มีอยู่แล้วเช่น การตั้งศูนย์สตรีกลุ่มแม่บ้าน สถานเลี้ยงเด็ก หรืออะไรต่างๆ ที่ผู้หญิงรวมตัวกันควรที่จะมีการยกระดับองค์ความรู้ ให้เกิดการเสริมสร้างพลังภายใน เสริมความมั่นใจให้ผู้หญิงและคนชายขอบทั้งหมดให้สามารถนำปัญหาของตัวเองออกมาพูดหรือทำกิจกรรมเพื่อชุมชนและมันจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจากเดิม” ณัฐมน ระบุ</p> <h3><span style="color:#2980b9;">พื้นที่ทางการเมืองของผู้หญิงในภาคเหนือ</span></h3> <p>ผู้หญิงเคยถูกมองว่าเป็นไม้ประดับในการเลือกตั้งระดับชาติในภาคเหนือมาทุกยุคทุกสมัย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะการลงสมัครรับเลือกตั้งในเกือบทุกระดับ ผู้หญิงมีสัดส่วนน้อยกว่าผู้ชายเป็นอย่างมาก ตัวอย่างเช่นในงานศึกษา “การเปรียบเทียบพฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของสตรีบริเวณจังหวัดภาคเหนือตอนบนในรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา” (http://www2.huso.tsu.ac.th/ncom/bill_202011414726.pdf) โดย วารุณี เฮงทรัพย์ ได้ทำการเปรียบเทียบการมีส่วนร่วมทางการเมืองของผู้หญิงในภาคเหนือตอนบน 8 จังหวัด (เชียงใหม่ เชียงราย ลำปาง ลำพูน แม่ฮ่องสอน น่าน แพร่ และพะเยา) จากการเลือกตั้งในปี 2554 และปี 2562 พบว่าการเลือกตั้งปี 2554 ผู้สมัครรับการเลือกตั้ง สส.แบบแบ่งเขตทั้ง 8 จังหวัด มีผู้หญิงรวมทั้งสิ้น 44 คน คิดเป็นร้อยละ 21.67 ส่วนการเลือกตั้งปี 2562 พบว่าผู้หญิงมีส่วนร่วมทางการเมืองเพิ่มขึ้น โดยมีผู้หญิงลงสมัครแบบแบ่งสส.แบบแบ่งเขต 228 คน คิดเป็นร้อยละ 23.58 ซึ่งเพิ่มจากปี 2554 ถึง 184 คน ในส่วนของผู้หญิงที่ได้รับเลือกเป็น สส. แบบแบ่งเขตนั้น การเลือกตั้งในปี 2554 ผู้หญิงได้รับเลือก 7 คน แต่ในการเลือกตั้งปี 2562 ผู้หญิงใน 8 จังหวัดภาคเหนือได้รับเลือกเพียง 3 คนเท่านั้น</p> <p>แต่การเลือกตั้งครั้งล่าสุดเมื่อปี 2566 หลายจังหวัดในภาคเหนือตอนบน ประชาชนได้เลือก สส.หญิง หลายคนเข้าไปทำงานในสภา โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ที่ได้ สส.หญิงถึง 5 คนจากทั้งหมด 10 เขต ซึ่งถือว่าเป็นสัดส่วน สส.หญิง สูงที่สุดของจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ปี พ.ศ.2476 มาเลยทีเดียว</p> <p><strong><span style="color:#2980b9;">ตารางเปรียบเทียบเพศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขตของจังหวัดเชียงใหม่ (พ.ศ. 2476-2566)</span></strong></p> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53413749111_c988ce4c67_h.jpg" /></p> <p><span style="color:#2980b9;">ผู้เขียนนำข้อมูลจาก </span><span style="color:#2980b9;">Wikipedia</span> (https://th.wikipedia.org/wiki/สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่)<span style="color:#2980b9;"> สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดเชียงใหม่ มาเรียบเรียงเปรียบเทียบเพศชายหญิง มาเรียบเรียงเปรียบเทียบเพศชายหญิง</span></p> <p><span style="color:#2980b9;"><strong>สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขต จ.เชียงใหม่ (2562) แบ่งตามเพศ</strong></span></p> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53413749306_52c3c1b186_h.jpg" /></p> <p><span style="color:#2980b9;"><strong>สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบแบ่งเขต จ.เชียงใหม่ (2566) แบ่งตามเพศ</strong></span></p> <p style="text-align: center;"><span style="color:#2980b9;"><strong><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53412833507_c9c6d527f8_h.jpg" /></strong></span></p> <p> </p> <p><strong>กระนั้นเมื่อพิจารณาภาพรวมด้วยสัดส่วนจำนวนน้อยนิดเมื่อเทียบกับผู้ชาย จึงมีคำถามว่าทำไมผู้หญิงเหนือถึงไม่ค่อยมีพื้นที่ในการเมืองระดับชาติส่วนกลาง มีมายาคติหรืออุปสรรคอะไรในประเด็นนี้? </strong></p> <p>ต่อคำถามนี้ ภัทรัตน์ พันธุ์ประสิทธิ์ นักวิจัยสถาบันนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม (STIPI) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ผู้ศึกษาและมีงานวิชาการเกี่ยวกับประเด็นเพศสภาวะ ได้ชี้ให้เห็นถึงความเชื่อมโยงด้านประวัติศาสตร์ของผู้หญิงในภาคเหนือกับพื้นที่ทางการเมืองในส่วนกลาง นับได้ตั้งแต่กรณีของพระราชชายาเจ้าดารารัศมีคือสัญลักษณ์การเชื่อมโยงระหว่างล้านนากับกรุงเทพฯ กล่าวคือจะความเป็น “ล้านนา” และต้องเป็นแบบ “กรุงเทพ” ในเวลาเดียวกัน ปัจจุบันนักการเมืองหญิงหลายท่านที่มีพื้นเพจากจังหวัดภาคเหนือก็สอดแทรกความเป็น “ล้านนา” หรือ “คนเมือง” ของตัวเองเช่นกัน เช่น ยิ่งลักษณ ชินวัตร หรือ ศรีนวล บุญลือ ที่แต่งกายด้วยชุดพื้นเมืองเข้าประชุมสภา หรือเสนอชื่อคุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยการพูดคำเมืองเมื่อ พ.ศ. 2562 เป็นต้น</p> <p>“แม้ว่าส่วนหนึ่งที่คุณยิ่งลักษณ์ขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้จากคะแนนความนิยมในตัวคุณทักษิณ ชินวัตรผู้เป็นพี่ชาย การนำเสนอภาพตัวเองของคุณยิ่งลักษณ์ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็ยังน่าสนใจมาก ทั้งการแต่งตัว เสื้อผ้าหน้าผม เป็นการประกาศความเป็นหญิงในพื้นที่ของผู้ชายได้เก๋มาก กล่าวคือ ก่อนหน้ายุคคุณยิ่งลักษณ์ ผู้หญิงในพื้นที่การเมืองไม่ใช่ลักษณะนี้ จะเป็นลักษณะที่พยายามกลมกลืนกับผู้ชาย แต่คุณยิ่งลักษณ์ไม่ใช่ จะบอกว่าเป็นการปฏิวัติวงการการเมืองไทยและนำสปอร์ตไลท์มาให้ผู้หญิงก็ว่าได้” ภัทรัตน์ ระบุ</p> <p>ถึงอย่างนั้น จะเห็นว่ามายาคติของ “ผู้หญิงเหนือ” มันซ้อนทับอยู่ในนั้นและมักถูกนำมาโจมตีคุณยิ่งลักษณ์ มีคนพยายามเอาคำพูดของคุณยิ่งลักษณ์ที่พูดผิดพูดถูกมาล้อเลียน เอาภาพหลุดที่สีหน้าท่าทางตลกหรือไม่สำรวมของคุณยิ่งลักษณ์มาโจมตี และที่ร้ายแรงคือนำเรื่องเพศขึ้นมา กรณี “ว.5 โฟร์ซีซั่นส์” ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ส่อนัยเรื่องเพศ หรือถ้าจะกล่าวอย่างเจาะจงลงไปอีกคือมันมีมิติที่เหยียดผู้หญิงเหนืออยู่ด้วยที่มันไปทางเดียวกับมายาคติผู้หญิงเหนือ คือเห็นว่าคุณยิ่งลักษณ์สวย แต่มักทำตัวไม่เหมาะสม ขี้เกียจไม่ทำงาน วัน ๆ ห่วงแต่แต่งตัวแต่งหน้า และไม่มีความสำรวมในพฤติกรรมทางเพศ</p> <p>ความจริงไม่ได้มีเพียงกรณีของคุณยิ่งลักษณ์เท่านั้น หากไปย้อนดูข่าวจะพบว่ามีนักการเมืองหญิงอีกหลายท่านที่ถูกโจมตีเรื่องเพศหรือเรื่องยิบย่อยที่โยงกับความเป็นหญิง มากกว่าจะถูกวิพากษ์วิจารณ์จากเนื้อหาของการทำงาน หรือในบางครั้งอคติทางเพศไม่ได้อยู่ในรูปแบบด้านลบ อคติด้านบวกก็เกิดขึ้นได้ เช่น มองว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนแอ ไม่มีความสามารถด้านการทำงานทางการเมืองเท่ากับผู้ชาย จึงไม่ได้ตัดสินคุณภาพการทำงาน แต่เน้นเรื่องหน้าตาและการเป็นไม้ประดับในวงการการเมืองแทน ซึ่งนี่ก็ไม่ควรเกิดขึ้นเช่นกัน</p> <p>“อยากจะตั้งข้อสังเกตไว้ตรงนี้ด้วยว่า ถ้าลองเปรียบเทียบอย่างจริงจังเกี่ยวกับเนื้อหาข่าวและภาพของนักการเมืองหญิงที่ปรากฎในหน้าสื่อระหว่างนักการเมืองหญิงที่มีพื้นเพมาจากภาคเหนือ และนักการเมืองหญิงที่มีพื้นเพในเขตกรุงเทพฯ มีข้อสังเกตุว่าภาพลักษณ์ของนักการเมืองหญิงที่มาจากกรุงเทพค่อนข้างดีกว่ามาก ถูกจัดวางในฐานะผู้มีการศึกษา สาวสังคม ไม่ค่อยปรากฏข่าวฉาวทางเพศ แต่ส่วนตัวคิดว่ามายาคติทางเพศที่มีต่อผู้หญิงเหนือมีส่วนในระดับหนึ่งต่อความเห็นและมุมมองของสื่อและประชาชน … </p> <p>...ถ้าจะให้ทันปัจจุบันมาก ๆ การเลือกตั้งในเดือนพฤษภาคม 2566 ที่ผ่านมา รู้สึกว่าความเป็น ‘ผู้หญิงเหนือ’ ไม่ถูกนำมาพูดมากนัก ซึ่งก็ดูเป็นทิศทางที่ดี เพราะอาจหมายความว่าสังคมเริ่มมองที่ความคิด นโยบาย หรือสิ่งที่ผู้สมัครและผู้ได้รับเลือกให้เป็น สส. มากกว่าหน้าตา หรือพื้นเพภูมิหลัง แต่ก็อาจจะเร็วเกินไปที่จะบอก หลายกรณีที่ผ่านมาของสังคมไทยต้องรอให้เกิดความขัดแย้งหรือความไม่พอใจ เมื่อนั้นอคติและมายาคติด้านลบจะปรากฏขึ้น ก็ต้องรอดูต่อไปว่า มายาคติเกี่ยวกับผู้หญิงเหนือจะยังมีอิทธิพลหรือหลงเหลือมากน้อยเพียงใดในพื้นที่การเมืองของไทย” ภัทรัตน์ ระบุ</p> <p>ภัทรัตน์ เสนอว่าสังคมไทยต้องเปิดใจให้กว้างกับการมีอยู่ของผู้หญิงในพื้นที่การเมืองมากกว่านี้และเน้นไปที่การมองเรื่องความสามารถของผู้หญิงเป็นหลัก มองถึงสิ่งที่ผู้หญิงสามารถนำเสนอความคิดเพื่อเปลี่ยนแปลงหรือทำสิ่งที่ดีกว่าให้กับการเมืองและการพัฒนาท้องถิ่นหรือระดับประเทศ และที่สำคัญที่สุดคือ ไม่นำเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เรื่องเพศและการเอ่ยถึงลักษณะความเป็นหญิง เอามาเหยียดหยามหรือกดทับ หรือใช้คำพูดเชิงหยามเหยียดทางเพศเป็นสิ่งที่ไม่ควรยอมรับเลยไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรทั้งสิ้น หากผู้หญิงเข้ามาทำงานการเมืองก็ควรให้ความสนใจที่ผลงาน ไม่ใช่หน้าตา เรื่องเพศ เรื่องความสัมพันธ์ หรือนำเอารูปร่างหน้าตามาพูดถึงส่อนัยถึงเรื่องเพศ ที่สำคัญคือ ต้องตระหนักถึงอคติหรือมายาคติที่อาจส่งผลต่อการวิพากษ์วิจารณ์ผู้หญิงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเป็นการเฉพาะด้วย ไม่ใช่วิพากษ์วิจารณ์หรือมีอคติต่อผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง แต่ละเว้นกลุ่มหนึ่ง เป็นต้น สิ่งที่ควรจะเป็นคือ ไม่มีอคติทางเพศต่อผู้หญิงทั้งหมด</p> <p style="text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53424350850_f217991346_k.jpg" /></p> <p><span style="color:#e67e22;">เวทีเสวนา ‘ส่ง สส.พลังหญิง เดินหน้าเข้าสภา’ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2566 ณ Book Re:public จังหวัดเชียงใหม่ (ที่มา: </span><span style="color:#e67e22;">ภาพจากเว็บไซต์ Book Re:public</span> (https://bookrepubliconweb.wordpress.com/2023/06/08/vote-cm-66/ )<span style="color:#e67e22;">) </span></p> <p>พุธิตา ชัยอนันต์ สส.จังหวัดเชียงใหม่เขต 4 จากพรรคก้าวไกล ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤษภาคม 2566 พุธิตา เป็น สส.เขตที่ได้คะแนนมากที่สุดของพรรคก้าวไกล และยังเป็น สส.หญิงที่ได้คะแนนมากที่สุดในหมู่ สส.หญิงด้วยกันทุกพรรคทั่วประเทศ เธอได้ระบุไว้ใน เวทีเสวนา ‘ส่ง สส.พลังหญิง เดินหน้าเข้าสภา’ เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2566 ณ Book Re:public จังหวัดเชียงใหม่ ว่าความท้าทายของการเป็นผู้หญิงที่เข้าทำงานการเมืองนั้น สส.หญิงต้องการลบล้างอคติทางเพศที่เกิดขึ้นภายในสภา ทำให้เนื้อหาประเด็นต่างๆ ที่ สส.หญิงเสนอในสภานั้นมีน้ำหนักมากกว่าเรือนร่างภายนอก นอกจากนี้ในฐานะผู้เป็นแม่ อีกหนึ่งความท้าทายคือการพิสูจน์ให้เห็นว่าแม้จะเป็น Working Women แต่การเป็น สส.ก็สามารถเป็นแม่ที่ดีควบคู่ไปด้วย สามารถเลี้ยงดูบุตรได้อย่างมีคุณภาพ</p> <p>ซึ่งการที่มี สส.หญิงเข้าสภามากขึ้นจะทำให้ ‘ความเป็นแม่’ ได้รับความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งมาพร้อมทั้งความเสี่ยงในการคลอดบุตร ความคาดหวังของสังคมต่อความเป็นแม่ รวมถึงสิทธิของเด็กเมื่อผู้เป็นแม่ตั้งครรภ์ พุธิตายังชี้ว่าการมีโควต้า สส.หญิงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิดการผลักดันนโยบายในประเด็นความหลากหลายทางเพศ.</p> <div class="more-story"> <p>เมื่อพิการ, ทำอย่างไรบ้านจึงจะน่าอยู่, (https://prachatai.com/journal/2023/12/107239) 14 ธ.ค. 66</p> <p>ฝ่าระเบียบและปัญหาสารพันในการเข้าถึงสิทธิของคนพิการ (ตอนจบ), (https://prachatai.com/journal/2023/12/107285) 18 ธ.ค. 66</p> <p>‘บึงห้วยโจด’ เมื่อแหล่งน้ำธรรมชาติกลายเป็นบ่อบำบัดน้ำเสีย, (https://prachatai.com/journal/2023/12/107309) 20 ธ.ค. 66</p> <p>“การคุกคามทางเพศในหมู่นักกิจกรรม” หรือแค่ “เรื่องเล่า-เรื่องซุบซิบนินทา”? (https://prachatai.com/journal/2023/12/107328), 21 ธ.ค. 66</p> <p>แม่ญิงสิเล่นการเมือง: ข้ามพ้นมายาคติทางเพศเพื่อสร้างพื้นที่ของผู้หญิงในภาคเหนือ, (https://prachatai.com/journal/2023/12/107406) 27 ธ.ค. 66</p> </div> </div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ข่าว[/url]</div></div></div><div class="field field-name-field-category field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">การเมือง[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">สังคม[/url]</div><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">คุณภาพชีวิต[/url]</div></div></div><div class="field field-name-field-tags field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%9A" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ท้องถิ่นสร้างสื่อสอบ[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/depth" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">depth[/url]</div><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%96%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ท้องถิ่น[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B7%E0%B8%AD" typeof="skos:Concept" pro |