[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => สุขใจ ร้านน้ำชา => ข้อความที่เริ่มโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2567 01:00:53



หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - มุสลิมโรฮิงญา-ชาวพุทธยะไข่ เริ่มมีสันติภาพจากพลังคนหนุ่มสาวและความเข้มแข็งข
เริ่มหัวข้อโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 01 กุมภาพันธ์ 2567 01:00:53
มุสลิมโรฮิงญา-ชาวพุทธยะไข่ เริ่มมีสันติภาพจากพลังคนหนุ่มสาวและความเข้มแข็งของกองทัพอาระกัน
 


<span class="submitted-by">Submitted on Thu, 2024-02-01 00:12</span><div class="field field-name-field-byline field-type-text-long field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><p>มูฮำหมัด ดือราแม : รายงาน</p>
<p> </p>
</div></div></div><div class="field field-name-body field-type-text-with-summary field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even" property="content:encoded"><p>มุสลิมโรฮิงญา-ชาวพุทธยะไข่ เริ่มมีสันติภาพกันแล้ว จากพลังคนหนุ่มสาว และความเข้มแข็งของกองทัพอาระกัน (AA) จากจุดเริ่มต้นที่คนพุทธต้องการให้เด็กไปโรเรียน ทำให้มุสลิมโรฮิงญามีเสรีมากขึ้น ต่างฝ่ายอดทนอดกลั้นมากขึ้น เผยนโยบาย Arakan Dream เอกภาพในความหลากหลายที่ต้องรวมทุกกลุ่มเข้าด้วยกัน แต่โจทย์ใหญ่เรืองการรับผู้ลี้ภัยกลับมายังไม่มีใครอยากพูดถึง อนาคตโรฮิงญาหาก AA เอาชนะทหารพม่าได้ ก็ยังไม่มีคำตอบชัดเจน </p>
<p>ชาวมุสลิมโรฮิงญาที่ยังเหลืออยู่ในพม่ากับชาวพุทธ(กลุ่มชาติพันธุ์อาระกัน) ในรัฐยะไข่ เริ่มมีสันติภาพและการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างกันแล้ว จากความพยายามของนักกิจกรรมสันติภาพที่มีทั้งคนพุทธและมุสลิม</p>
<p>ที่สำคัญคือการมีอยู่ของกองทัพอาระกัน หรือ AA (Arakan Army) ที่เอื้อต่อการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ต่างศาสนาอย่างมาก แต่แม้ขณะนี้ กองทัพอาระกันอาจจะเอาชนะรัฐบาลทหารพม่าได้ แต่โจทย์ใหญ่เรืองผู้ลี้ภัยในต่างแดน ยังไม่มีใครพูดถึง</p>
<p>จุดเริ่มต้นของความพยายามสร้างสันติภาพดังกล่าว มาจากกลุ่มคนหนุ่มสาวชาวพุทธที่ต้องการจะให้เด็กๆ มุสลิมโรฮิงญาที่ยังเหลืออยู่ได้เข้าเรียนหนังสือหลังจาก 10 ปีที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียน</p>
<p style="margin: 0in 0in 8pt; text-align: center;"><span style="font-size:11pt"><span style="line-height:107%"><span style="font-family:Calibri,sans-serif"><span lang="TH" style="font-size:16.0pt" xml:lang="TH"><span style="line-height:107%"><span style="font-family:&quot;Cordia New&quot;,sans-serif"><span style="color:black"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53500571138_0d06487254_b.jpg" /></span></span></span></span></span></span></span></p>
<p style="text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">Anthony Ware (ขวา) Costas Laoutides (ซ้าย)</span></p>
<p>เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยจาก Anthony Ware และ Costas Laoutides นักวิชาการมหาวิทยาลัยเดกิ้น (Deakin University) ประเทศออสเตรเลีย ที่มานำเสนอผลการวิจัยเกี่ยวกับ “Local peace-making, social cohesion and the right to self-determination for the Rohingya and the Rakhine in Myanmar” เมื่อวันศุกร์ที่ 26 มกราคม 2567 ณ สถาบันสันติศึกษา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (ม.อ.) วิทยาเขตหาดใหญ่ (แปลสรุปเป็นภาษาไทยโดย ผศ.ดร.ศรีสมภพ จิตร์ภิรมย์ศรี และ รุ่งระวี เฉลิมศรีภิญโญรัช)</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สงคราม ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ สู่ความพยายามสร้างสันติภาพ</span></h2>
<p>เป็นที่ทราบกันดีว่า รัฐยะไข่ที่อยู่ทางตะวันตกของพม่า มีความขัดแย้งระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมโรฮิงญาที่นำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวโรฮิงญาโดยฝีมือของทหารพม่า</p>
<p>จุดเริ่มต้นมีขึ้นเมื่อปี 2012 เมื่อเกิดความขัดแย้งในระดับชุมชนระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมโรฮิงญา มีการเผาบ้านชาวโรฮิงญาจนกลายเป็นคนไร้บ้านถึง 260,000 คน และต้องหนีไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัย หรือไม่ก็ลงเรือหนีไปประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซียหรือไทย</p>
<p>จากนั้นความรุนแรงค่อย ๆ ลดลงแต่ความขัดแย้งยังอยู่ ชาวพุทธกับมุสลิมต้องแยกกันอยู่โดยมีทหารพม่าเข้ามาควบคุม มีการสร้างรั้วกั้นชุมชนและจับคนสองกลุ่มแยกกันอยู่ ความตึงเครียดระหว่างสองชุมชนมีมากขึ้นตลอดเวลา</p>
<p>ปี 2016 กลุ่มมุสลิมได้ตั้งกองทัพปลดปล่อยโรฮิงญา ARSA (Arakan Rohingya Salvation Army) ขึ้นมาเพื่อโจมตีทหารพม่า แต่ก็ถูกโต้กลับอย่างรุนแรงจนนำมาสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์โรฮิงญาในปี 2017 แม้ตอนแรกไม่ชัดว่าทหารพม่าต้องการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์หรือไม่ แต่ผลมันเป็นอย่างนั้น</p>
<p>หลังปี 2017 มีผู้อพยพชาวโรฮิงญากว่า 940,000 คนในค่ายผู้ลี้ภัย 34 แห่งใน Cox’s Bazar ประเทศบังคลาเทศ โดย ค่ายกูตูปาลอง (Kutupalong) เป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีผู้ลี้ภัย 635,000 คน</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ประชากรหายไปเป็นล้านคน</span></h2>
<p>พื้นที่ที่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อยู่ในรัฐยะไข่ตอนเหนือ ปัจจุบันมีประชากรเหลืออยู่ราวๆ 600,000 คนจาก 1.6 ล้านคน? มีคนตายมากกว่า 14,000 คน และมีมากกว่า 354 หมู่บ้านที่ถูกเผา</p>
<p>ส่วนรัฐยะไข่ตอนกลางไม่มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แต่คนโรฮิงญากว่า 120,000 คนต้องหนีไปอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยในประเทศ (IDP) อีก 200,000 คนยังอยู่ในหมู่บ้าน</p>
<p>ส่วนคนพุทธในรัฐยะไข่ ทั้งตอนเหนือและตอนกลาง ปัจจุบันมีประมาณ 2 ล้านคน กว่า 220,000 คนก็ยังอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยหรืออาศัยอยู่กับญาติ</p>
<p>รวมประชากรทั้งหมดที่เหลืออยู่ในรัฐยะไข่ตอนเหนือและตอนกลางปัจจุบันราว ๆ 2.6 ล้านคน โดยตอนเหนือมีโรฮิงญาเหลืออยู่ประมาณ 300,000 คน และตอนกลางเหลืออยู่ประมาณ 300,000 คน</p>
<p>โดยงานวิจัยชินนี้โฟกัสไปที่มุสลิมโรฮิงญา 600,000 คนที่เหลืออยู่นั่นเอง โดยทำวิจัยมาตั้งแต่ปี 2018</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับปัญหาโรฮิงญา</span></h2>
<p>Anthony Ware ระบุถึงความเข้าใจผิดที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรฮิงญาว่า เป็นปัญหาที่ชาวมุสลิมถูกกดขี่ แต่ที่จริงเป็นความขัดแย้ง 3 ฝ่าย คือ</p>
<ol>
<li>ชาวพุทธยะไข่กับมุสลิมโรฮิงญา ซึ่งมีสาเหตุมาจากประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2</li>
<li>ระหว่างมุสลิมโรฮิงญากับทหารพม่า จากกรณีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่ในปี 2016-2017 ซึ่งถูกพูดถึงในประชาคมระหว่างประเทศ</li>
<li>ชาวพุทธยะไข่กับรัฐบาลทหารพม่า ที่เพิ่งมีข่าวออกมา 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งชาวพุทธยะไข่หรืออาระกันต้องการเอกราช เพราะในอดีตเป็นรัฐอิสระมากก่อน</li>
</ol>
<p>ชาวพุทธอาระกันมีกองกำลังของตัวเองชื่อ Arakan Army หรือ AA พัฒนาขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว มีประมาณ 30,000 นาย มีการจัดตั้งที่ดีและมีอาวุธดี สามารถโจมตีทหารพม่าได้</p>
<p>“ความขัดแย้งในรัฐยะไข่เป็นกรณีตัวอย่างที่คลาสสิกของทฤษฎีความขัดแย้ง เพราะเป็นความขัดแย้งที่ยืดเยื้อ ซับซ้อน ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอม ต่างก็อ้างความชอบธรรมในการต่อสู้ และหาทางออกยังไม่ได้” </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">พลังคนหนุ่มสาวนักกิจกรรมสันติภาพ</span></h2>
<p>Costas Laoutides อธิบายถึงโครงการวิจัยชื่อว่า การส่งเสริมการทำงานของนักกิจกรรมสันติภาพในท้องถิ่นหลังจากการกวาดล้างชาติพันธุ์: หนุนเสริมการสร้างสันติภาพระหว่างชาวมุสลิมโรฮิงญาและชาวพุทธในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาร์</p>
<p>ทั้งนี้ เพื่อทำความเข้าใจว่า นักกิจกรรมสันติภาพซึ่งสวนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาวเกิดขึ้นมาอย่างไร มีบทบาทอะไร และสามารถทำงานข้ามความเชื่อทางศาสนาเพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัยอย่างไร และการสื่อสารระหว่างชาวโรฮิงญากับเพื่อนบ้านชาวพุทธเป็นอย่างไร เพราะที่ผ่านมามีการใช้สื่อโซเชียลทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างชาติพันธุ์และศาสนา</p>
<p>“นักกิจกรรมสันติภาพพยายามสร้างกลไกกระบวนการสื่อสารขึ้นมาใหม่ เพื่อแก้ไขความขัดแย้งและการสร้างสันติภาพ”</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สร้างกรอบคิดใหม่หนุนเสริมสันติภาพ</span></h2>
<p>งานวิจัยชิ้นนี้ มีทั้งการสัมภาษณ์เยาวชน นักกิจกรรมสันติภาพระหว่างศาสนาและชุมชน/ภาคประชาสังคม วิเคราะห์วาทกรรมในโซเชียลมิเดีย การทำแบบสำรวจ และจัดสนทนากลุ่มร่วมกันระหว่างนักกิจกรรมสันติภาพโรฮิงญาและชาวพุทธเพื่อหาทางที่จะเดินไปข้างหน้าด้วยกัน โดยแนวคิดหลักที่ใช้ คือ</p>
<p>1. Social media and the reframing of micro-violence คือ การใช้สื่อโซเชียลเพื่อสร้างกรอบใหม่ (Reframing) ในเรื่องความรุนแรงระดับจุลภาค เช่น ใช้คำพูดแบบใหม่หรือตีความให้เกิดคำอธิบายหรือสนับสนุนความคิดที่จะสร้างสันติภาพ จากการที่ “นิวยอร์กไทม์ระบุว่า ทหารพม่าใช้บัญชีปลอมในการเผยแพร่ Fake News เพื่อสร้างสถานการณ์ให้เอื้อต่อการโจมตีชาวโรฮิงญา”</p>
<p>2. Local capacities for peace (LCPs) ศักยภาพท้องถิ่นเพื่อสันติภาพ (LCP) โดยนำความเป็นจริงที่ปรากฏในความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน (เช่น ทัศนคติ การกระทำ ค่านิยม ความสนใจ ประสบการณ์ สัญลักษณ์ โอกาสฯร่วม) มาเป็นตัวเชื่อมต่อในมิติส่วนบุคคล ความสัมพันธ์ วัฒนธรรมและโครงสร้าง</p>
<p>3. Capabilities for peace ความสามารถเพื่อสันติภาพ โดยนำแนวคิด LCPs มาพัฒนาความสามารถในการสร้างสันติภาพของปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มคน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานคิดของนักวิชาการสันติภาพหลายคน</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">พบความสัมพันธ์พุทธกับมุสลิมดีขึ้นตั้งแต่ปี 2018</span></h2>
<p>ข้อค้นพบจากงานวิจัยอันแรก คือ ความสัมพันธ์ระหว่างชาวพุทธกับมุสลิมโรฮิงญาดีขึ้นตั้งแต่ปี 2018 แม้ว่าจะมีรัฐประหารเกิดขึ้นในพม่า แม้มีความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับชาวโรฮิงญา แต่ความสัมพันธ์ระหว่างคนพุทธกับมุสลิมดีขึ้น</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">โรฮิงญามีเสรีมากขึ้นในพื้นที่ปกครองของกองทัพ AA</span></h2>
<p>คนโรฮิงญามีเสรีภาพในการเดินทางมากขึ้น โดยในพื้นที่ที่กองทัพอาระกัน (AA) ปกครองอยู่นั้น พวกเขาสามารถออกไปทำงานนอกเขตได้ ทำให้สามารถที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของตัวเองได้ ซึ่งเดิมไม่สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่ได้ที่กำหนดไว้ได้ แต่ถ้าจะออกนอกพื้นที่ก็ต้องขออนุญาต</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สิทธิกำหนดชะตากรรมตนเองที่รวมคนพุทธและมุสลิม</span></h2>
<p>จากการสำรวจพบว่า ปฏิบัติการของกลุ่มทหารอาระกัน (AA) มีความสำคัญต่อการพัฒนาการนี้ ทหารอาระกันมีความเข้มแข็งมากในพื้นที่ที่กองทัพอาระกันปกครอง มีการจัดตั้งโครงสร้างที่เหมือนเป็นรัฐซ้อนรัฐอยู่ในพม่า</p>
<p>ในพื้นที่นั้นกองทัพอาระกันมีอำนาจจัดการในเรื่องกระบวนการยุติธรรม และจัดการประเด็นที่เกี่ยวข้องกับโรฮิงญาอย่างระมัดระวังมาก “สิ่งที่ปรากฏในโซเชียลมีเดียก็มีการไปสืบสวนสอบสวนว่าเป็นอย่างไร ใครเผยแพร่รูปอะไรต่างๆ”</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">Arakan Dream เอกภาพในความหลากหลาย</span></h2>
<p>ตั้งแต่ปี 2014 ปฏิบัติการต่างๆ ของกองทัพอาระกันเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เวลากองทัพอาระกันออกแถลงการณ์ต่างๆ สู่สาธารณะ เวลาพูดถึงกลุ่มโรฮิงญาก็จะพูดในลักษณะที่ inclusive หรือรวมเอากลุ่มโรฮิงญาเข้ามาด้วย</p>
<p>“สิ่งที่กองทัพอาระกันทำ คือการพูดถึงหรือพยายามที่จะทำให้ความฝันของคนอาระกัน (Arakan Dream) เกิดขึ้น การมีสิทธิในการที่จะกำหนดชะตากรรมตนเอง หมายถึงสิทธิของคนที่อยู่ในรัฐอาระกันหรือรัฐยะไข่ทั้งหมด ทั้งชาวพุทธทั้งมุสลิม”</p>
<p>กองทัพอาระกันใช้นโยบาย “ต้องมีเอกภาพในความหลากหลาย”</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">กองทัพอาระกัน เอื้อต่อการรื้อฟืนความสัมพันธ์</span></h2>
<p>การมีอยู่ของกองทัพอาระกันทำให้การรื้อฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างคนต่างศาสนา คือ กลุ่มคนพุทธยะไข่และคนมุสลิมโรฮิงญาเกิดขึ้นได้</p>
<p>อาจารย์พูดถึง Cultural Market ตลาดทางวัฒนธรรม ศาสนาหรือเชื้อชาติ ที่สามารถนำไปใช้ได้ทั้งเพื่อทำให้เกิดความแตกแยกหรือทำให้เกิดเอกภาพระหว่างผู้คนก็ได้ แต่ข้อค้นพบนี้แสดงให้เห็นว่า วัฒนธรรมสามารถนำมาใช้สร้างความเป็นเอกภาพระหว่างกลุ่มคนต่างศาสนาและเชื้อชาติได้</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">หาก AA ชนะทหารพม่า จะปฏิบัติต่อโรฮิงญาอย่างไร ยังไม่มีคำตอบ</span></h2>
<p>นักวิจัยได้ตอบคำถามเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า ไม่แน่ใจว่าความประสงค์เบื้องหลังของกองทัพอาระกันคืออะไรกันแน่ ไม่อยากจะคาดเดา แต่อาจเป็นการตัดสินใจที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดในทางปฏิบัติที่เลือกจะไม่สู้ศึกทั้งสองด้าน คือสู้กับโรงฮิงญาและสู้กับทหารพม่าด้วย</p>
<p>อีกเหตุผลคือกลุ่มชาวพุทธยะไข่ก็ต้องการการยอมรับในระดับสากล ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็จำเป็นต้องแสดงถึงการยอมรับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ที่อยู่ในพื้นที่ด้วย แต่หากว่ากองทัพอาระกันสู้ชนะทหารพม่าแล้วเขาจะปฏิบัติต่อกลุ่มโรฮิงญาอย่างไรนั้น ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน</p>
<p>“แม้กองทัพอาระกันจะมีความสำคัญมากที่จะเปลี่ยนเกมที่ดำเนินอยู่ แต่จริงๆ แล้วก็ต้องให้เครดิตกับกลุ่มอื่นๆในสังคมด้วย เช่น กลุ่มนักกิจกรรมสันติภาพก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน”</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ผลจากความพยายามของนักกิจกรรมสันติภาพ</span></h2>
<p>ส่วนบทบาทของนักกิจกรรมด้านสันติภาพหรือภาคภาคประชาคมก็มีความสำคัญ โดยได้เคลื่อนไหวทั้งแบบออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อพยายามสร้างวาทกรรมหรือคำอธิบายที่ต่อต้านการสร้างความเกลียดชังหรือข้อความเชิงลบ</p>
<p>สิ่งที่เกิดขึ้น เช่น กลุ่มนักเรียนที่เป็นคนโรฮิงญาสามารถที่จะเข้าไปเรียนหนังสือในเมืองซิตเวย์ได้ ซึ่ง 10 ปีที่ผ่านมาพวกเขาไม่สามารถเข้าเรียนได้ เพราะกลุ่มคนพุทธในยะไข่ที่เป็นนักกิจกรรมพยายามพูดถึงสิทธิของคนโรฮิงญาในการเรียนหนังสือ </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">กรณีตัวอย่างตู้รถไฟขนส่งนักเรียน</span></h2>
<p>มีการพูดถึงเรื่องการมีส่วนร่วมของผู้นำศาสนาในการสร้างสันติภาพ มีการร่วมงานกันระหว่าง 2 ชุมชน ในงานของชุมชนคนพุทธมีการเรี่ยไรเงินสนับสนุนให้กลุ่มโรฮิงญา หรือนักเรียนที่เป็นคนพุทธก็เข้าไปร่วมเฉลิมฉลองประเพณีในวันอีดของคนมุสลิม</p>
<p>กรณีที่มีการเผยแพร่ภาพนักเรียนบนรถไฟใน Facebook แล้วบอกว่า คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เป็นคนพุทธยะไข่ ส่วนคนโรฮิงญายืนหรือไม่ก็นั่งกับพื้น ซึ่งเป็นข้อความที่ต้องการจะบอกว่า มีการแบ่งแยกคนมุสลิมอีกแล้ว แต่มีข้อความที่สะท้อนความเป็นจริงออกมาคือ กลุ่มนักเรียนคนพุทธนั้นขึ้นรถมาก่อนก็เลยได้นั่ง ในขณะที่พวกโรฮิงญาขึ้นมาทีหลังก็เลยต้องยืนหรือนั่งกับพื้น </p>
<p style="margin: 0in 0in 8pt; text-align: center;"><img alt="" src="https://live.staticflickr.com/65535/53499531622_04a19d9cf1_b.jpg" /></p>
<p style="margin: 0in 0in 8pt; text-align: center;"><span style="color:#e67e22;">ภาพนักเรียนชาวพุทธยะไข่และมุสลิมโรฮิงญาบนรถไฟที่มีการเผยแพร่ใน Facebook ที่สะท้อนถึงการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของคนทั้งสองชาติพันธุ์ แต่ก็ยังถูกโจมตีว่าแสดงถึงการแบ่งแยก เพราะนักเรียนชาวพุทธนั่งอยู่บนเก้าอี้ ส่วนคนโรฮิงญายืนหรือไม่ก็นั่งกับพื้น (ถ่ายเมื่อ May, 2022)</span></p>
<h2><span style="color:#2980b9;">เพราะทั้ง 2 ฝ่ายรู้สึกถูกกดขี่จากทหารพม่าเหมือนกัน</span></h2>
<p>กรณีนี้มีความพยายามที่จะจัดการความจริงโดยบอกว่าจริงๆแล้วมันไม่ได้เป็นแบบนั้น แต่เป็นความพยายามบิดเบือนความจริง ซึ่งกลุ่มนักกิจกรรมสันติภาพพยายามที่จะป้องกันไม่ให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Hate Speech (ข้อความหรือการพูดเพื่อสร้างความเกลียดชัง)</p>
<p> “เนื่องจาก ทั้ง 2 กลุ่ม คือ ชาวพุทธยะไข่มุสลิมโรฮิงญาต่างก็รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อของการกดขี่จากทหารพม่าเหมือนๆ กัน เมื่อมองแบบนี้แล้วก็เลยทำงานร่วมกันได้มากขึ้น”</p>
<p>มีกิจกรรมหนึ่งในการสร้างพื้นที่ปลอดภัย คือการใช้กีฬา ซึ่งกิจกรรมนี้แสดงให้เห็นว่าใครคือคนที่มากดขี่ชุมชนทั้ง 2 ชุมชน</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">วาทกรรมต่อต้านโรฮิงญาอยู่ แต่อดทนอดกลั้นมากขึ้นเยอะ</span></h2>
<p>นักวิจัยตอบคำถามถึงสถานการณ์ในปัจจุบันด้วยว่า ไม่มีความรุนแรงในลักษณะที่เป็นความรุนแรงหมู่ แต่จะมีกรณีอาชญากรรมที่แต่ละคนทำ ซึ่งก็ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมปกติ ไม่เหมือนสถานการณ์ในช่วงปี 2017 ที่มีลักษณะฆ่าล้างเผาพันธุ์ แต่ยังมีกลุ่มคนพุทธที่ยังคงใช้วาทกรรมในลักษณะต่อต้านโรฮิงญาอยู่ แต่มีลักษณะอดทนอดกลั้นมากขึ้นกว่าเดิมเยอะ</p>
<p>เหตุผลหนึ่งเพราะกองทัพอาระกันมีความสามารถหรืออำนาจในการควบคุมวาทกรรมในหลักในสังคมได้อยู่ในตอนนี้ แต่ก็มีบางกลุ่มที่ยังคิดว่าต้องฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ 600,000 คนที่เหลือให้หมดสิ้นซากไปเลยก็มี หรือบางกลุ่มซึ่งอาจเป็นนักกิจกรรมสันติภาพก็อาจยินดีที่จะรับคนอีก 1 ล้านคนกลับมา ซึ่งยังคงมีความขัดกันในเชิงทัศนะอยู่ มันไม่ได้คิดไปทางเดียว และไม่ได้สวยงามเสมอไป </p>
<p>ส่วนปัญหาอื่นๆ ที่ค้นพบคือ ผู้หญิงที่ยังไม่มีปากมีเสียงเท่าไหร่ มีการกีดกันในกลุ่มผู้หญิงด้วย และในกลุ่มนักกิจกรรมเองก็มักจะทำงานกับชาวบ้านที่นับถือศาสนาเดียวกับตนเองไม่ปะปนกัน ยังไม่ได้ทำงานข้ามกลุ่มกันเท่าไหร่ ซึ่งจำเป็นต้องพัฒนาในเรื่องนี้</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สันติภาพระดับบนก็ต้องสร้าง</span></h2>
<p>ข้อค้นพบนี้จะนำไปสู่แนวคิด Everyday Peace หรือสันติภาพในชีวิตประจำวัน คือปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนต่างศาสนา ต่างชาติพันธุ์ในชีวิตประจำวัน ซึ่งพวกเขาพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงทางตรง แล้วสร้างความสมานฉันท์ขึ้นมาในระดับเล็กๆ ในชีวิตประจำวันของพวกเขา (Micro Solidarity)</p>
<p>แต่ทว่า ความสำคัญของกระบวนการสันติภาพในระดับชนชั้นนำก็จำเป็นต้องสร้างขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพราะแม้เราจะเห็นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ในระดับล่างมากแค่ไหนก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างได้ เช่น สิทธิของการเป็นพลเมืองของคนโรฮิงญา (เพราะพม่าไม่ยอมรับเป็นพลเมือง)</p>
<p>ปัญหานี้จำเป็นต้องใช้กลไกในเชิงสถาบันที่มีธรรมาภิบาล คือต้องให้ระดับรัฐบาลมาแก้ไขปัญหา </p>
<h2><span style="color:#2980b9;">ยังไม่มีกลุ่มไหนอยากพูดเรื่องเอาผู้ลี้ภัยกลับมา</span></h2>
<p>ปัญหาที่พบคือ ยังมีประเด็นเรื่องการเอาคนที่หนีไปเป็นผู้ลี้ภัยในบังคลาเทศในช่วงฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ก็ไม่มีกลุ่มไหนที่อยากจะพูดถึงว่าจะจัดการอย่างไร จะเอาคนเหล่านี้กลับมาหรือไม่</p>
<p>นักวิจัยได้ตอบคำถามเพิ่มเติมในประเด็นนี้ว่า การจะดูถึงความประสงค์ของกองทัพอาระกัน ก็ดูว่าพวกเขามีท่าทีอย่างไรต่อการรับผู้ลี้ภัยโรฮิงญากลับมาจากบังคลาเทศ ซึ่งที่ผ่านมากองทัพอาระกันยังไม่พูดเรื่องนี้ในที่สาธารณะ ยังไม่แสดงถึงจุดยืนว่าจะมีท่าทีอย่างไรต่อการรับเอาผู้ลี้ภัยกลับมา</p>
<p>ตอนนี้มีคนโรฮิงญาเหลืออยู่ในรัฐยะไข่ประมาณ 600,000 คน หากเอาคนที่ผู้ลี้ภัยกลับมาทั้งหมด คนโรฮิงญาก็จะกลายเป็น 1,600,000 คน ซึ่งการที่จะพูดว่าเรายินดีที่จะอยู่กับคน 600,000 คนอาจจะง่ายกว่าการที่จะอยู่ร่วมกับคน 1,600,000 คนที่เป็นคนต่างศาสนาและวัฒนธรรม</p>
<h2><span style="color:#2980b9;">สิทธิในการกำหนดชะกรรมตนเองที่กองทัพอาระกันต้องรวมทุกกลุ่ม</span></h2>
<p>นักวิจัยได้ทิ้งท้ายการบรรยายเกี่ยวกับเรื่องสิทธิในการกำหนดเจตจำนงหรือชะกรรมตนเอง หรือ RSD (Right to Self-determination)ว่า หลักการนี้เกี่ยวข้องกับหลักสิทธิมนุษยชนแบบส่วนรวม ปรากฏอยู่ในกฎบัตรของสหประชาชาติ คำถามสำคัญคือ ใครหรือกลุ่มใดที่สามารถที่จะมีสิทธิ์นี้ได้</p>
<p>สหประชาชาติ พูดถึงสิทธิในการกำหนดชะตากรรมตนเองที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการสิ้นสุดของยุคอาณานิคม ที่มีหลายๆประเทศเรียกร้องสิทธิที่จะได้เอกราช ในช่วงนั้นมีการร่างเส้นเขตแดนเกิดรัฐใหม่ขึ้นมา แต่มีทั้งคนส่วนใหญ่และสร้างคนกลุ่มน้อยในประเทศขึ้นมาด้วย ตัวอย่างประเทศซูดานหลังได้รับเอกราชแล้ว ปรากฏว่ากลุ่มที่เป็นคนส่วนใหญ่ก็ไปกดขี่คนที่เป็นคนกลุ่มน้อยในประเทศ</p>
<p>สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองปรากฏได้ในหลายรูปแบบไม่ใช่รูปแบบเอกราชเท่านั้น แต่ยังมีรูปแบบการยอมรับสิทธิของคนกลุ่มน้อยในประเทศ และรูปแบบการปกครองตนเอง</p>
<p>“ในกรณีของกองทัพของอาระกัน ซึ่งใช้เรื่องสิทธิมนุษยชนในการสร้างความชอบธรรมให้กับการต่อสู้ของตนเอง กองทัพอาระกันก็จำเป็นต้องเคารพสิทธิมนุษยชนของกลุ่มอื่น ๆ ด้วย</p>
<p>“กองทัพของอาระกัน จะต้องยืนหยัดในเรื่องหลักของความครอบคลุม โดยรวมทุกกลุ่มเข้ามาด้วย จะไม่มีกลุ่มใดถูกทิ้งไว้ข้างหลัง หรือไม่มีกลุ่มที่เป็นศัตรูอยู่ภายในพื้นที่ที่กองทัพอาระกันต้องการที่จะปลดปล่อยแล้วปกครอง”</p>
<p><strong>คลิกอ่านเนื้อหาบรรยายทั้งหมดได้ที่</strong></p>
<ul>
<li>Local peace-making, social cohesion and the right to self-determination for the Rohingya and the Rakhine in Myanmar (https://www.facebook.com/watch/live/?ref=watch_permalink&amp;v=309718132071014)</li>
</ul>
</div></div></div><div class="field field-name-field-variety field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">รายงานพิเศษ[/url]</div></div></div><div class="field field-name-field-category field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%99" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">สิทธิมนุษยชน[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ต่างประเทศ[/url]</div></div></div><div class="field field-name-field-tags field-type-taxonomy-term-reference field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%AE%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%94-%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%A1" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">มูฮำหมัด ดือราแม[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%8D%E0%B8%B2" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">โรฮิงญา[/url]</div><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%A2%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%82%E0%B9%88" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ยะไข่[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">กองทัพอาระกัน[/url]</div><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%86%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B9%8C" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">สันติภาพ[/url]</div><div class="field-item even"><a href="/category/arakan-dream" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">Arakan Dream[/url]</div><div class="field-item odd"><a href="/category/%E0%B8%9C%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%A0%E0%B8%B1%E0%B8%A2" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">ผู้ลี้ภัย[/url]</div><div class="field-item even"><a href="/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%87" typeof="skos:Concept" property="rdfs:label skos:prefLabel" datatype="">สิทธิในการกำหนดชะกรรมตนเอง[/url]</div></div></div><div class="field field-name-field-promote-end field-type-text field-label-hidden"><div class="field-items"><div class="field-item even">ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่เฟซบุ๊ก https://fb.me/prachatai : ทวิตเตอร์ https://twitter.com/prachatai : LINE ไอดี = @prachatai</div></div></div>
 

https://prachatai.com/journal/2024/02/107869