หัวข้อ: การถวายอดิเรก - มีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2567 15:17:23 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/46539921189347_4_960_.jpg) ขอขอบคุณเว็บไซ์ นสพ.แนวหน้า (ที่มาภาพประกอบ) การถวายอดิเรก การถวายอดิเรก เป็นการถวายพระพรพิเศษแด่พระเจ้าแผ่นดินมีมาแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา (ศาสนาในสาส์นสมเด็จ หน้า ๒๑๖) หลักฐานข้อนี้ปรากฏเรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป กล่าวว่า ในปี พ.ศ.๒๒๙๘ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมได้ส่งสมณทูตมีพระวิสุทธาจารย์ และพระวรญาณมุนี เป็นหัวหน้าคณะออกไปลังกา เมื่อถึงลังกา พระเจ้ากรุงลังกาได้เสด็จออกรับสมณทูตจากกรุงศรีอยุธยา พระราชาคณะทั้งสองรูปนั้นได้ถวายพระพรด้วยพระบาลีภาษาว่า “อติเรกวสฺสสตํ ชีว มหาราชุตฺตมสฺส อายุวฑฺฒโก วณฺณวฑฺฒโก สุขวฑฺฒโก พลวฑฺฒโก โหตุ สพฺพทา” (เรื่องประดิษฐานพระสงฆ์สยามวงศ์ในลังกาทวีป หน้า ๑๖๘) ซึ่งเป็นบทถวายพระพรพระเจ้าแผ่นดินแบบกรุงศรีอยุธยาจวบจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ มีเนื้อความในโคลงปราบดาภิเษกยอพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในรัชกาลที่ ๒ ตอนหนึ่งว่า “ชินะบุตรท่านแล้วกิจ ภัตตา ถวายอดิเรกลา ลาศเต้า สวดสามทิวันวาร์ กลกล่าว แลแฮ ประฏิบัติสงฆ์ฉันเช้า ตราบถ้วนตติยวาร ทรงกระทำทัศนัขน้อม ถวายทาน ไตรจีวรบริขาร แจกให้ สงฆ์ถวายพระพรชาญ ไชยเดช พระเอย แล้วดิเรกลาไท้ ธิราชเจ้าคืนเมือ” ในบันทึกท้ายเรื่องจดหมายเหตุหลวงอุดมสมบัติ กล่าวถึงพระราชานุกิจ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนหนึ่งว่า “เสด็จออกพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย มีพระสงฆ์เวรอีกพวก ๑ ซึ่งนิมนต์มาฉันในท้องพระโรง ทรงศีล ถวายพรพระแล้ว ทรงถวายข้าวพระสงฆ์ แลทรงประเคน พระสงฆ์ฉัน ถวายอนุโมทนา อดิเรกและถวายพระพรลากลับ” ครั้นมาถึงรัชกาลที่ ๔ โปรดให้นิมนต์พระอุดมปิฎก (สอน) วัดหงส์รัตนาราม ซึ่งออกไปจำพรรษา ณ เมืองพัทลุง มาในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาปีหนึ่ง (พระอุดมปิฎกรูปนี้เมื่อครั้งแผ่นดินพระนั่งเกล้า มีเหตุขัดกันกับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขณะเมื่อทรงพระผนวชอยู่ อันเนื่องจากเหตุการตั้งคณะธรรมยุติกา ด้วยว่าเมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ ทรงชักชวนรัชกาลที่ ๔ เมื่อครองวัดบวรนิเวศอยู่นั้นให้บูรณะวัดหงส์รัตนาราม รัชกาลที่ ๔ ทรงปฏิเสธ ก็ด้วยขัดเคืองกับท่านเจ้าคุณผู้เป็นเจ้าอาวาสคือพระอุดมปิฎกรูปนี้ เรื่องนี้จึงเป็นเค้าเงื้อนข้อสันนิษฐานเหตุขัดข้องนั้น ภายหลังท่านเจ้าคุณได้ออกไปจำพรรษา ณ เมืองสงขลา จนรัชกาลที่ ๓ สวรรคต ครั้นรัชกาลที่ ๔ ทรงราชย์แล้ว ได้หวนระลึกถึงจึงให้นิมนต์เข้าวัง) gล่ากันว่า เมื่อทรงประเคนไทยธรรมจนมาถึงลำดับท่านเจ้าคุณ ทรงโสมนัสอย่างยิ่ง รับสั่งว่า “ท่านเดินทางมาไกล นานปีจึงจะได้พบกัน โปรดให้พรแก่โยมให้ชื่นใจทีเถิด” พระอุดมปิฎกจึงมีดำริว่า หากจะถวายพระพรด้วยบทธรรมดา คงจะไม่ต้องพระราชหฤทัย อาจจะต้องราชภัยก็เป็นได้ จึงได้ถวายพระพรบทภาษาบาลี ขึ้นต้นด้วยอติเรก เลียนบทถวายอดิเรกแต่ครั้งกรุงเก่าว่า “อติเรกวสฺสสตํ ชีว อติเรกวสฺสสตํ ชีว อติเรกวสฺสสตํ ชีว ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ ทีฆายุโก โหตุ อโรโค โหตุ สุขิโต โหตุ มหาราชา สิทฺธิกิจฺจํ สิทฺธิกมฺมํ สิทฺธิลาโภ ชโย นิจฺจํ มหาราชาวรสฺส ภวตุ สพฺพทา” พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต้องพระราชหฤทัยพรบทนี้เป็นอย่างมาก จึงโปรดให้พระสงฆ์ใช้บทนี้เป็นบทถวายอดิเรกแทนของเก่า แต่ได้ทรงเติม คำว่า “ตุ”ต่อท้าย ชีว และทรงเพิ่มคําว่า “ปรเมนฺท” ข้างหน้า คำว่า “มหาราชวรสฺส” พระสงฆ์จึงใช้อดิเรกบทนี้เป็นธรรมเนียมสืบมาจนปัจจุบัน เผยแพร่เป็นวิทยาทานโดย #พิกุลบรรณศาลา |