หัวข้อ: การพิจารณาให้เกิดปัญญา - พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ เมืองพัทยา ชลบุรี เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 27 มิถุนายน 2567 19:20:36 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/54182143054074_448388623_1042205627287593_739.jpg) การพิจารณาให้เกิดปัญญา พระอาจารย์ สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ เมืองพัทยา ชลบุรี ถ้าสามารถเจริญสมถภาวนาได้ตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จนจิตสงบนิ่งอยู่ตลอดเวลาในอิริยาบถทั้ง ๔ แล้ว กิเลสตัณหาต่างๆจะไม่ออกมาเพ่นพ่านเหมือนตอนที่จิตยังไม่สงบ จะออกมาบ้างก็เป็นช่วงๆ ในเวลาที่ได้สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่างบางเหตุการณ์ กิเลสตัณหาก็จะผุดขึ้นมาเหมือนภูเขาไฟระเบิด จะแสดงอาการให้เห็นอย่างชัดเจน เช่นเกิดความไม่พอใจก็จะเกิดความร้อนใจขึ้นมาทันที ตอนนั้นเป็นเวลาที่ต้องใช้วิปัสสนาเข้าไปดับ พอโกรธขึ้นมาปั๊บก็ต้องรีบดับทันที ต้องรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ถ้าไม่รู้ก็จะโกรธไปเรื่อยๆจนกว่าจะหมดแรงไปเอง จะทดสอบการปฏิบัติกันก็ทดสอบกันตรงนี้ เวลาที่กิเลสเกิดขึ้นมา ว่าจะดับมันได้หรือไม่ จะดับได้ช้าหรือเร็ว เพราะกิเลสไม่ได้ตายด้วยอำนาจของสมาธิ เพียงแต่ถูกกดไว้ ไม่ให้ออกมาเพ่นพ่านเหมือนในขณะที่ไม่มีสมาธิ คนที่ไม่มีสมาธิจะแสดงความโลภโมโทสันออกมามากกว่าคนที่มีสมาธิ คนที่มีสมาธิจะเป็นคนสมถะสงบเสงี่ยมเจียมตัว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสิ้นกิเลสแล้ว เพียงแต่กิเลสไม่ออกมาเพ่นพ่านเหมือนเมื่อก่อนนี้ จะออกมาก็ต่อเมื่อมีอะไรไปกระตุ้น เช่นไปเห็นอะไรที่รักจริงๆอยากได้จริงๆ ถึงจะโผล่ออกมา หรือโกรธจริงๆ เกลียดจริงๆ ถึงจะโผล่ออกมา เวลาโผล่ออกมาก็เหมือนกับบอกให้รู้ว่าฉันยังไม่ตายนะ ฉันยังอยู่ บางทีผู้ปฏิบัติเองก็ไม่รู้ คิดว่าสิ้นกิเลสแล้ว ถึงต้องไปหาคนเก่งๆอย่างหลวงตาคอยช่วยกระทุ้งให้ กิเลสมีเท่าไหร่เดี๋ยวก็ออกมาหมด เพราะท่านรู้วิธีกระทุ้งกิเลส ท่านมีเทคนิคมีอุบายมีลีลาต่างๆเยอะแยะไปหมด มีทั้งลูกล่อลูกไล่ การไปอยู่กับครูบาอาจารย์ที่ผ่านกิเลสมาอย่างโชกโชนแล้วจะมีประโยชน์มาก เพราะท่านจะช่วยทดสอบจิตใจของเรา ให้รู้ว่าสิ้นกิเลสหรือยัง หรือมีแต่ตัวโลภโกรธหลงชนิดหยาบๆที่ได้ถูกทำลายลงไปแล้ว แต่ตัวขนาดกลางและขนาดละเอียดยังหลบซ่อนอยู่ เวลาเจริญปัญญาใหม่ๆจะพบกับกิเลสได้อย่างง่ายดายเพราะมีเต็มไปหมด ไม่ต้องไปตามหา เพราะกิเลสเพ่นพ่านอยู่ตลอดเวลา แต่พอพวกกิเลสส่วนหยาบถูกทำลายไปหมดแล้ว ขั้นต่อไปก็ต้องขุดคุ้ยหากิเลส เพราะจะหลบซ่อน ไม่ออกมาเพ่นพ่านเหมือนกิเลสหยาบๆทั้งหลาย การปฏิบัติก็จะเป็นขั้นๆไป จากรูปขันธ์ก็ขยับเข้าไปสู่นามขันธ์ ในเบื้องต้นก็พิจารณารูปขันธ์ก่อน พิจาณาร่างกายให้เข้าอกเข้าใจอย่างถ่องแท้เลยว่าเป็นอย่างไร ก็มีอยู่สองสามลักษณะด้วยกันคือ ๑. อนิจจัง เห็นว่าร่างกายต้องแก่เจ็บตาย ทั้งของเราและของผู้อื่น ต้องมีการพลัดพลาดจากกันเป็นธรรมดา ต้องพิจารณาจนปล่อยวางร่างกายได้ จะแก่ก็ไม่เดือดร้อน จะเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่เดือดร้อน จะตายก็ไม่เดือดร้อน จะพลัดพรากจากกันก็ไม่เดือดร้อนอะไร จะรู้สึกเฉยๆ เป็นเรื่องธรรมดา ๒. พิจารณาดูความเป็นธาตุ ๔ ดินน้ำลมไฟ ให้เห็นว่าร่างกายประกอบขึ้นมาจากดินน้ำลมไฟ ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน มีการไหลเข้าออกของดินน้ำลมไฟอย่างต่อเนื่อง ได้แก่อาหารชนิดต่างๆ อาหารก็มาจากดินน้ำลมไฟ ข้าวก็ต้องออกมาจากดิน ผักก็ต้องออกมาจากดิน สัตว์ก็ต้องกินผักกินหญ้า ก็มาจากดินน้ำลมไฟ เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็แปลงจากผักจากข้าวจากเนื้อสัตว์ มาเป็นผม เป็นขน เป็นเล็บ เป็นฟัน เป็นหนัง เป็นเอ็น เป็นกระดูก เป็นอวัยวะต่างๆ เมื่อร่างกายแตกสลายดับไป ก็กลับคืนสู่ดินน้ำลมไฟ ไม่ได้ไปไหน ต้องพิจารณาอยู่เรื่อยๆ พิจารณาจนช่ำชอง คิดถึงปั๊บก็รู้เลย จนปล่อยวางได้เหมือนกับถือก้อนดินไว้ก้อนหนึ่ง จะเสียดายทำไม จะคิดว่าเป็นของเราได้อย่างไร เมื่อรู้ว่าเป็นดิน ถ้าเอามาใช้ประโยชน์ได้ก็ใช้ไป เอามาปั้นเป็นลูกเล็กๆไว้ใช้กับหนังสติ๊ก ไว้ยิงสัตว์ที่มารบกวน ก็ใช้ไป แต่ไม่ยึด ไม่ติด ไม่คิดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ร่างกายก็เป็นเหมือนก้อนดินก้อนหนึ่ง เมื่อถึงเวลาที่จะกลับคืนสู่สภาพเดิม ก็ต้องกลับคืนไป นี่คือการพิจารณาให้เกิดปัญญาในส่วนของร่างกาย เพื่อกำจัดกิเลสชนิดต่างๆให้หมดสิ้นไป . |