หัวข้อ: ไขอาถรรพ์ ดงพญาไฟ อดีตพื้นที่ต้องห้ามของนักเดินทาง เข้ายาก ออกได้แค่กระดูก เริ่มหัวข้อโดย: ใบบุญ ที่ 03 กรกฎาคม 2567 19:50:34 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/16207885535226_1280px_KHAOYAI_Copy_.jpg) ไขอาถรรพ์ ดงพญาไฟ อดีตพื้นที่ต้องห้ามของนักเดินทาง เข้ายาก ออกได้แค่กระดูก ไขอาถรรพ์ ดงพญาไฟ ด้วยภูมิศาสตร์ ทำไมถึงเป็นพื้นที่ต้องห้ามของนักเดินทาง กับคำเล่าขาน เข้ายาก ออกได้แค่กระดูก ดงพญาเย็น หรือ ดงพญาไฟ มีพื้นที่อยู่ในจังหวัดสระบุรี แต่เดิม ดงพญาเย็น ถูกเรียกว่าดงพญาไฟ เป็นชื่อเดิมของป่าดงดิบที่อุดมไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย รวมถึงสิ่งลี้ลับ ในอดีต ป่าดงพญาเย็น หรือดงพญาไฟ เป็นป่าผืนใหญ่ กั้นระหว่างสระบุรี-นครราชสีมา-ลพบุรี ในพื้นที่แถบมวกเล็กไปจนถึงขึ้นเขาแถวเขื่อนลำตะคอง โดยที่วังน้ำเขียว ปากช่อง กลางดงกั้นระหว่างพื้นที่ภาคอีสานและภาพคกลาง ดงพญาไฟเป็นป่ารกทึบ มีสัตว์ร้ายชุกชุม อุดมไปด้วยไข้ป่าหรือมาลาเรีย เป็นพื้นที่ต้องห้ามของนักเดินทาง กรมพระยาดำรงราชานุภาพบันทึกว่า เส้นทางไปโคราช เป็นเส้นเล็กๆ ฝ่ากลางดงพญาไฟ เขาหินปูนต้นไม้ทึบ เริ่มจากเชิงเขาแก่งคอย ผ่านกลางดงไปออกจากดงที่ปากช่อง เดินได้อย่างเดียว เกวียนไม่ได้ ป่าดงพญาไฟ ถูกกล่าวขานว่าเป็นป่าที่เข้ายาก ออกยาก หลายชีวิตที่เข้าไปไม่มีโอกาสได้กลับออกมา จนมีคำบอกเล่าต่อกันว่าหากใครต้องเดินผ่านดงพญาไฟ ให้เตรียมหม้อดินติดตัวไปด้วย เผื่อเอาใส่กระดูกของตัวเองกลับออกมา ดงพญาไฟ ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น ดงพญาเย็น หลังการเสด็จของสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ ซึ่งใช้เส้นทางในดงพญาไฟ เดินทางผ่านไปยังโคราช และเห็นว่าป่าแห่งนี้เย็นดี จึงเสนอให้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.4 เปลี่ยนชื่อเป็น ดงพญาเย็น ทำไม ดงพญาไฟ ถึงน่ากลัว สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงพระนิพนธ์ถึงดงพญาไฟไว้ว่า (พ.ศ.2449) "เขาดงพญาไฟนี้ คือเทือกเขาอันเป็นเขื่อนของแผ่นดินสูง เขาเขื่อนที่กล่าวถึงนี้เป็นเขาหินปูน ต้นไม้ขึ้นหนาแน่นเป็นดงทึบตลอดทั้งเทือกเขา มีทางข้ามได้เพียงช่องทางเล็กๆ ทางเดินผ่านดงพญาไฟนี้เป็นช่องทางเล็กๆ สำหรับเดินข้ามไปมาระหว่างสระบุรีกับมณฑลนครราชสีมา มาตั้งแต่ครั้งโบราณ โดยปากดงพญาไฟอยู่บริเวณเชิงเขาอำเภอแก่งคอย ผ่านกลางดงไปออกจากดงที่ตำบลปากช่อง เส้นทางนี้ผ่านไปได้เพียงแต่เดินเท้า จะใช้โคและเกวียนหาได้ไม่ ด้วยทางเดินต้องเลียบขึ้นไปตามไหล่เขาบ้าง เดินไต่ไปตามสันเขาบ้าง เลี้ยวลดไปตามทางเดินที่เดินได้สะดวก ตั้งแต่ตำบลแก่งคอยต้องค้างคืนในดงพญาไฟ 2 คืนจึงจะพ้นดงที่ตำบลปากช่อง แล้วก็ใช้โคและล้อเกวียนเดินทางต่อไปถึงเมืองนครราชสีมาได้" อองรี มูโอต์ ( Henri Mouhot) นักสำรวจชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเสียงอย่างมากจากการค้นพบนครวัดได้บรรยายถึงดงพญาไฟไว้ในปี พ.ศ.2404 ว่า "ข้าพเจ้ายืนอยู่ตรงปากประตูสู่นรก นี่คือสำนวนที่คนลาวและสยามกล่าวขวัญถึงป่าดงดิบแห่งนี้ สรรพสัตว์อันชวนพิศวงจากอาณาจักรแห่งความตายกำลังหลับใหลอยู่ใต้เงาไม้อันหนาทึบซึ่งปรากฏร่องรอยเศษซากกระดูกของนักเดินทางผู้น่าสงสาร" จุดสิ้นสุดความน่ากลัวของ ดงพญาไฟ ก่อนกลายเป็น ดงพญาเย็น ความน่ากลัวนี้ก็ยังคงอยู่จนถึงสมัยรัชกาลที่ 5 โดยเมื่อมีการตัดทางรถไฟเส้นแก่งคอย-ปากช่อง ผ่านดงพญาเย็นในปี พ.ศ.2438 นั้น มีคนงานและชาวต่างประเทศป่วยตายเป็นอันมาก ดังปรากฏหลุมศพของ Mr. Knud Lyne Rahbek ซึ่งเป็นบุตรชายของวิศวกรที่มาคุมงาน ที่สถานีรถไฟมวกเหล็ก จนในที่สุดรัชกาลที่ 5 ต้องเสด็จมาในวันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ.2439 ดังปรากฏพระพระปรมาภิไธยย่อ “จ.ป.ร.” “ส.ผ.” “๑๑๕” ที่สถานีรถไฟผาเสด็จและมีเรื่องเล่าถึงพิธีกรรมเพื่อแก้เคล็ดต่างๆ เช่นเรื่องต้นตะเคียนที่บ้านหินลับ (แต่ที่ evidence ดีที่สุดน่าจะเป็นการยกเลิกการว่าจ้างฝรั่งแล้วให้การรถไฟทำเอง) ทำให้สามารถสร้างทางรถไฟผ่านได้สำเร็จ และในที่สุดก็ได้มีการตัดถนนผ่านดงพญาเย็น ซึ่งถือเป็นจุดสิ้นสุดของความศักดิ์สิทธิ์ของผืนป่าแห่งนี้ ข้อมูลจาก : เว็บไซต์ cmu เผยแพร่ในเพจ คมชัดลึก |