หัวข้อ: กำเนิด นางอัปสร เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 10 กรกฎาคม 2567 16:59:05 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/33592562377452_thumb_meduium_KH_0083_Copy_.jpg)
ขอขอบคุณเว็บไซต์ ศิลปกรรมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ที่มาภาพประกอบ) นางอัปสร อัปสร (ภาษาสันสกฤต: Apsara/ภาษาบาลี: อัจฉระ) ถือเป็นนางฟ้าจำพวกหนึ่ง แต่ไม่ใช่เทวี บังเกิดขึ้นเมื่อครั้งกวนเกษียรสมุทร เพื่อเอาน้ำอมฤตขึ้นมา ดังความปรากฏในมหากาพย์มหาภารตะของประเทศอินเดีย คำว่า "อัปสร" นั้น มาจากคำว่า "อัป" (หมายถึง น้ำ) และ "สร" (หมายถึง การเคลื่อนไป) อัปสร จึงหมายถึง ผู้ที่เคลื่อนไปในน้ำ อันเป็นกำเนิดของนาง ทว่าโดยทั่วไป ถือว่านางเป็นชาวสวรรค์ นางฟ้าจำพวกหนึ่ง ปรากฏในคติพุทธศาสนาและคติพราหมณ์ ตามคติพุทธศาสนา อัปสรเกิดมาเป็นเครื่องประดับบุญของเทพบุตร ถือเป็นทรัพย์ศฤรงคารอย่างหนึ่งของเทพบุตร กล่าวกันว่าใครทำบุญไว้มากเท่าใด ก็จะมีอัปสรมาบำเรอมากตามแรงบุญ เทพบุตรผู้มีบุญมากอาจมีนางบำเรอถึง ๕๐๐ บ้าง ๗๐๐ บ้าง ๑,๐๐๐ บ้าง ตามคติพราหมณ์ อัปสรมีกำเนิดจากการกวนน้ำอมฤตของเหล่าเทวดาและอสูร นามแปลตามศัพท์ว่า “ผู้ไปในน้ำ” เพราะเกิดจากทะเลน้ำนมหรือเกษียรสมุทร ครั้งพระนารายณ์อวตารปางที่ ๒ (กูรมาวตาร) แห่งกฤตยุค ครั้งนั้นอัปสรผุดขึ้นนับจำนวนด้วยหมื่นแสน กล่าวไว้แต่ละแห่งไม่เท่ากัน บางแห่งว่ามี ๑,๐๖๐ นาง บางแห่งว่ามี ๓๕,๐๐๐,๐๐๐ นาง และบางแห่งว่ามี ๖๐๐,๐๐๐,๐๐๐ นาง (๖๐ โกฏิ) แต่ละนางล้วนมีรูปงาม เสียงเพราะ ประดับด้วยเครื่องถนิมพิมพาภรณ์ต่างๆ พร้อมสรรพ แต่ไม่มีเทวดาหรืออสูรรับเป็นคู่ครอง จึงตกเป็นสาธาณะ มีหน้าที่ขับกล่อมดนตรีบำเรอแก่เทวดา จึงได้นามว่า สุรางคนาง (นางบำเรอแก่เทวดาทั่วไป) หรือ สุมทาตมชา (สตรีที่เต็มไปด้วยความมัวเมาหรือความเพลิดเพลิน) ทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเป็นชนจำพวกหนึ่งอาศัยอยู่บนไหล่เขาหิมาลัย เรียกพวกตัวเองว่าชาติอัปสร พวกผู้หญิงมีรูปร่างดงาม มีเสียงเพราะ แต่ไม่เคร่งครัดในประเพณีชายหญิง ในคัมภีร์ปุราณะต่างๆ ได้แบ่งนางอัปสรเป็นคณะหลายคณะ ในวายุปุราณว่ามี ๑๔ คณะ ในหริวังศะว่ามี ๗ คณะ กับยังแบ่งแยกไว้อีก ๒ ประเภท คือ ไทวิกะ หรืออัปสรประจำอยู่ในสวรรค์ มีจำนวน ๑๐ นาง อีกพวกหนึ่งเรียกว่า เลากิกะ หรืออัปสรมีที่พำนักอยู่ในมนุษยโลก มีจำนวน ๓๔ นาง อัปสรเป็นผู้มีรูปร่างงาม เสียงเพราะ มีจริตกิริยายั่วยวน มีเสน่ห์โน้มน้าวจิตใจเพศตรงข้ามให้เคลิบเคลิ้มหลงไหลได้ง่าย จำแลงแปลงตัวได้หลายอย่าง แต่รักใครไม่ยั่งยืน ชอบเปลี่ยนคู่เรื่อยไป พวกอัปสรมักมีเรื่องราวความรักกับวีรบุรุษ หรือมักถูกเทวดาส่งมาทำลายตบะของโยคี เพราะเกรงว่าโยคีจะสำเร็จขึ้นไปแย่งความสุขบนสวรรค์ เช่น นางอัปสรเมนกา และนางรัมภา ซึ่งพระอินทร์ส่งลงมาทำลายตบะของฤษีวิศวามิตร โดยมากมักถือกันว่านางอัปสรเหล่านี้เป็นภรรยาของพวกคนธรรพ์ เมื่อคนธรรพ์ฟ้อนรำนางอัปสรก็มีหน้าที่ทำนองเดียวกันด้วย นอกจากนี้นางอัปสรยังเป็นสาวกของพระกามเทพ เทพแห่งความรัก ในเรื่องเล่าของอินเดียมีการกล่าวถึงนางอัปสรไว้มากมาย นับว่าเป็นตัวละครที่สำคัญตัวหนึ่งในเทพปกรณัมของอินเดีย ไม่น้อยไปกว่าเทพเจ้าและชาวสวรรค์อื่นๆ ตามเทพปกรณัมฮินดู กล่าวว่าพระพรหมทรงสร้างนางอัปสรขึ้น และเป็นนางบำเรออยู่ในราชสำนักของพระอินทร์ ในคัมภีร์นาฏยศาสตร์ ได้กล่าวถึงนางอัปสรที่สำคัญไว้หลายตนด้วยกัน เช่น มัญชุเกศี, สุเกศี, มิสรเกศี, สุโลจนะ, เสาทมิณี, เทวทัตตะ, เทวเสนะ, มโนรม, สุทาติ, สุนทรี, วิคัคธะ, วิวิธ, พุธ, สุมล, สันตติ, สุนันทา, สุมุขี, มาคธี, อรชุนี, สรลา, เกระลา, ธฤติ, นันทา, สุปุษกลา, สุปุษปมาลา และ กาลภา นางอัปสรมีอำนาจแปลงกายได้ ทั้งยังมีความสามารถในการขับร้องและเต้นรำเป็นอย่างยิ่ง ในราชสำนักของพระอินทร์มีนางอัปสรอยู่ ๒๖ ตน แต่ละตนมีความสามารถในเชิงศิลปะต่างๆ กัน เทียบได้กับตำนานมิวส์ของเทพปกรณัมกรีก นอกจากนี้ยังมีตำนานกล่าวต่อไปว่า นางอัปสรนั้นเป็นชายาของคนธรรพ์ ซึ่งเป็นนักดนตรีในสวรรค์ โดยนางจะเต้นรำไปตามจังหวะดนตรีที่สามีของตนบรรเลง โดยทั่วไปมีความเชื่อว่านางอัปสรเป็นเครื่องหมายแห่งความเจริญงอกงาม แต่บางถิ่นก็เชื่อว่าอัปสรมีอำนาจแห่งความชั่วร้ายอยู่ด้วย ในประเทศไทย : อัปสร หรือเทพอัปสร (วรรณคดีไทยเขียนว่า อับสร) ในดินแดนของประเทศไทยถูกเผยแผ่เข้ามาตั้งแต่สมัยสุโขทัยสืบเนื่องจากอิทธิพลของไตรภูมิในศาสนาพุทธ ที่มาของคำว่าอัปสรในภาษาไทยได้รับมาจากคำว่า អប្សរា (Âbsâréa) ในภาษาเขมร (ขอมโบราณ) ซึ่งขอมรับมาจากคำว่า अप्सरा (IAST: Apsarā) จากอินเดียอีกทอดหนึ่ง อัปสรตามคติความเชื่อของไทย หมายถึง หญิงสาวที่มีความงดงาม และมีเสน่ห์ แตกต่างจากความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ และศาสนาฮินดู ซึ่งอัปสรหมายถึง นางเทพธิดาซึ่งเป็นบาทบริจาริกาหรือผู้รับใช้เทพเจ้าแห่งศาสนสถาน ตามที่ปรากฏในวรรณคดีสันสกฤตว่าเป็นของวิเศษที่เกิดนับล้านๆ ตนจากเกษียรสมุทรเมื่อครั้งมีการกวนน้ำทิพย์ (น้ำอมฤต) ในนารายณ์อวตารปางที่ ๒ (กูรมาวตาร) ส่วนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแปลความหมายคำว่า นางอัปสร ว่า หมายถึง ผู้กระดิกในน้ำ ซึ่งมาจากพิธีกรรมของการกวนเกษียรสมุทรของเทวดาและยักษ์ เป็นการให้น้ำอมฤตเพื่อหล่อเลี้ยงโลกให้เกิดความชุ่มชื้นอุดมสมบูรณ์แล้วนางอัปสรได้มาเกิดมีชีวิตมากมายและเป็นอมตะ ศิลปะด้านจิตรกรรมที่เกี่ยวข้องกับอัปสรในดินแดนของประเทศไทย มีการค้นพบลายปูนปั้นประดับเป็นรูปนางอัปสรในท่าร่ายรําเป็นศิลปะลพบุรีแบบขอม พบที่ปราสาทหินพิมายในอุทยานประวัติศาสตร์พิมาย ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๘ กำหนดอายุปราสาทหินพิมายโดยนายปามังติเอร์ (Parmentier) ผู้เชี่ยวชาญทางสถาปัตยกรรมโบราณชาวฝรั่งเศส และยังพบที่ปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๗ รวมทั้งปราสาทอื่นๆ ในยุคใกล้เคียงกัน ส่วนนางอัปสรในวรรณกรรมไทยที่เก่าที่สุดพบในวรรณกรรมเรื่อง อนิรุทธ์คำฉันท์ ของศรีปราชญ์ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งมาจากเรื่อง อุณรุท สำนวนกวีเก่าตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนกลาง ข้อมูลอ้างอิง : - กลุ่มเผยแพร่ กรมศิลปากร - วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี |