[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 13 สิงหาคม 2567 19:33:09



หัวข้อ: นักปฏิบัติ - พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 13 สิงหาคม 2567 19:33:09
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/85292382621102_454727900_1078443326997156_267.jpg)

นักปฏิบัติ

นักปฏิบัติจึงไม่ควรหลับนอนเกินวันละ ๔ ชั่วโมง ตามหลักที่พระพุทธเจ้าได้ทรงดำเนินมา จะทรงกำหนดเวลาของการปฏิบัติไว้ดังนี้ ตอนค่ำตั้งแต่ ๖ โมงถึง ๔ ทุ่ม ให้นั่งสมาธิเดินจงกรม  ๔ ทุ่มถึงตี ๒ ให้พักผ่อนหลับนอน ตี ๒ ให้ตื่นขึ้นมาบำเพ็ญภาวนาต่อ จนถึง ๖ โมงเช้า แล้วก็ออกบิณฑบาต ทรงสอนให้พวกนักบวชพระภิกษุปฏิบัติอย่างนี้ พวกที่เป็นนักปฏิบัตินักภาวนา ก็ต้องถือว่าตนเป็นนักบวชเหมือนกัน ถึงแม้ไม่ได้บวชทางร่างกาย คือไม่ได้โกนศีรษะ ไม่ได้นุ่งขาวห่มขาว หรือนุ่งเหลืองห่มเหลือง แต่ใจเป็นนักปฏิบัติ ก็ควรใช้หลักการนี้ ควรปฏิบัติตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับ หลังจากฉันจังหันแล้ว กลับไปที่พักก็ไม่ควรนั่งสมาธิ เพราะจะง่วงนอน ควรเดินจงกรมไปถึงประมาณเที่ยงวัน แล้วก็พักสักชั่วโมงหนึ่ง จะนั่งสมาธิหรือจะนอนก็ได้ พอลุกขึ้นมาแล้ว ก็นั่งสมาธิหรือเดินจงกรมต่อ จนถึงเวลาปัดกวาดฉันน้ำปานะ เสร็จแล้วก็ไปสรงน้ำ พอ ๖ โมงเย็นก็บำเพ็ญต่อ เดินจงกรมนั่งสมาธิไปจนถึง ๔ ทุ่มก็พักหลับนอน ๔ ชั่วโมง พอตื่นขึ้นมาบำเพ็ญต่อ จะเป็นอย่างนี้ไปทุกวัน นักปฏิบัติจะไม่มีเวลาว่างจากการปฏิบัติ ถึงแม้จะบิณฑบาตหรือทำกิจอะไรต่างๆ ก็จะมีสติคอยกำกับจิต ไม่ให้ไปเถลไถลไปคิดเรื่องอื่น ให้อยู่กับกิจที่กำลังทำอยู่ เหมือนพ่อแม่ส่งลูกไปโรงเรียน ต้องคอยกำกับดูว่าไปโรงเรียนจริงหรือไม่ ไม่ใช่ออกจากบ้านแล้วก็แวบไปตามสถานบันเทิง ไปตามศูนย์การค้าต่างๆ

นักปฏิบัติก็เช่นเดียวกัน ต้องมีสติคอยควบคุมใจ ให้อยู่กับภารกิจที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบัน กำลังเดินกำลังยืนกำลังนั่งก็ให้มีสติเฝ้าอยู่ ให้อยู่กับการเดินการยืนการนั่ง กำลังบิณฑบาตก็ให้อยู่กับการบิณฑบาต พอกลับมาที่วัดมาเตรียมอาหารเพื่อฉัน ก็ให้มีสติอยู่กับการเตรียมอาหาร ทุกขณะเวลาให้อยู่กับภารกิจการงานที่กำลังทำอยู่ ไม่ปล่อยให้ไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้ คนนั้นคนนี้ เรื่องดีชั่วต่างๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไร ถ้าจิตยังเล็ดลอดออกไปคิดได้อยู่ ก็จะใช้คำบริกรรมกำกับไว้อีกชั้นหนึ่งก็ได้ คือมีสติอยู่กับภารกิจที่กำลังทำอยู่ แล้วก็บริกรรมพุทโธไปด้วย จะได้ไม่มีช่องว่างให้เล็ดลอดออกไปคิดได้ ถ้าสติไม่มีกำลังพอ จิตก็ยังสามารถเล็ดลอดออกไปคิดเรื่องอื่นได้ ต้องเอาพุทโธมาปิดช่องว่างนี้ บริกรรมพุทโธๆไป ถ้าทำอย่างนี้ได้อย่างต่อเนื่องแล้ว จะมีสติที่แก่กล้ามีกำลังมาก พอสั่งให้จิตอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เช่นอยู่กับอานาปานสติ อยู่กับลมหายใจเข้าออก จิตก็จะไม่ไปที่อื่นจะไม่เถลไถล เพราะมีสติคุมอยู่อย่างใกล้ชิด ไม่มีช่องว่างให้ไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ ถ้ามีสติขนาดนี้แล้วนั่งไม่นานจิตก็จะสงบ เพียง ๕ นาที ๑๐ นาทีจิตก็จะสงบได้.


พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ ชลบุรี
จุลธรรมนำใจ ๑๙ กัณฑ์ที่ ๔๐๔     
วันที่  ๒๐ กันยายน ๒๕๕๒