[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => ไขปัญหาโลก ธรรม และความรัก => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 18 ตุลาคม 2567 15:54:20



หัวข้อ: อธิษฐานธรรม ๔ ประการ โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 18 ตุลาคม 2567 15:54:20

(https://images.pexels.com/photos/548389/pexels-photo-548389.jpeg?auto=compress&cs=tinysrgb&dpr=1&w=500)

อธิษฐานธรรม ๔ ประการ
โดย พระภาวนาสุตาภิรัต (ชอบ พุทฺธสโร)
วัดพิชโสภาราม ต.แก้งเหนือ อ.เขมราฐ อ.อุบลราชธานี

            คณะครูบาอาจารย์ ตลอดถึงญาติโยมผู้ประพฤติปฏิบัติธรรมทุกรูปทุกท่าน ในห้วงเวลาเดือนมกราคมนี้ก็ถือว่าเป็นห้วงแห่งปีใหม่ ซึ่งวันนี้ก็เป็นวันที่ ๑๐ ปีใหม่พุทธศักราช ๒๕๖๕ ได้ล่วงเลยมาถึงวันที่ ๑๐ ผ่านไปแล้ ๙ คืน ปีเก่าผ่านไปปีใหม่ย่างเข้ามา ก็ทำให้เราได้ย้อนระลึกนึกถึงว่า อายุของเราได้แก่ไปอีก ๑ ปี ทำให้เรารู้สึกว่าเรานั้นมีอายุเพิ่มอีก ๑ ปี อันนี้ก็เป็นเหตุให้เราได้ใคร่ครวญอายุที่มันหมดไปสิ้นไป ทำให้เราไม่ประมาท

         ข้อที่ ๒ เมื่อปีใหม่ผ่านมาแล้วเนี่ย ทำให้เราได้นึกถึงว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรานั้นน่ะ ได้ปรินิพพานไปแล้ว ๒๕๖๕ ปี คือเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราปรินิพพานลง ปีที่พระองค์ทรงปรินิพพานนั้นแหละนับเป็น พ.ศ. ๑ ก็แสดงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเรานั้นปรินิพพานมาแล้ว ๒๕๖๕ ปี

         องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสว่าศาสนาของพระองค์นั้น พันปีที่ ๑ ศาสนาของพระองค์นั้นก็จะมากด้วยพระอรหันต์ผู้มากด้วยปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔ นะ

         พันปีที่ ๑ เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้ได้ปฏิสัมภิทาญาณทั้ง ๔

         พันปีที่ ๒ เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖

         พันปีที่ ๓ เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้ได้วิชชา ๓

         พันปีที่ ๔ เป็นยุคของพระอรหันต์ผู้เป็นสุกขวิปัสสกะ

         พันปีที่ ๕ เป็นยุคของพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี

         อันนี้ท่านกล่าวไว้ในลักษณะอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ศาสนาล่วงเลยมา ๒๕๖๕ ปี  ก็อยู่ในกึ่งแห่งยุคของพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ และวิชชา ๓ เพราะฉะนั้น ในยุคกึ่งพุทธกาลนี้เนี่ย จึงมีบุคคลผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรม เจริญสมถะวิปัสสนาแล้วก็ได้บรรลุฌาน เช่น ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เพราะอยู่ในช่วงยุคของพระอรหันต์ผู้ได้อภิญญา ๖ แล้วก็วิชชา ๓

         เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงที่มาประพฤติปฏิบัติธรรม ก็ถือว่าเราอยู่ในห้วงแห่งการที่จะยังวิชชา ๓ แล้วก็อภิญญา ๖ ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งวิชชา ๓ ก็ดี อภิญญา ๖ ก็ดี ก็อาศัยฌานเป็นสมุฏฐาน อาศัยฌานเป็นบาท จึงสามารถเกิดอภิญญาได้ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายทั้งปวงผู้มาประพฤติปฏิบัติธรรมอยู่นี้ ยังอยู่ในโอกาสที่เราจะยังสมาธิสมาบัติ มรรคพลนิพพานให้เกิดขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงอย่าได้ประมาท ให้เราได้ระลึกนึกถึงว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นได้ปรินิพพานไปแล้ว ๒๕๖๕ ปี เลยกึ่งพุทธกาลมาแล้ว ๖๕ ปี ให้เราลองนึกดู เรายังมีโอกาสที่จะยังเห็นพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่

         พระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเป็นสมัยที่พระองค์ทรงมีชีวิตอยู่ก็ตาม หรือพระองค์ทรงล่วงกาลผ่านวัยไปถึงปัจฉิมกาลคือกาลที่พระพุทศาสนาจะสิ้นสุดลงก็ดี คุณธรรมใดๆ ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสไว้ จะเป็นฌานก็ดี จะเป็นสมาธิก็ดี ก็มีรสอันเดียวกัน จะเป็นสมาธิสมาบัติ จะเป็นมรรคผลพระนิพพาน ก็มีรสอันเดียวกัน เราได้สมาธิในสมัยโน้น ในสมัยที่พุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เราได้ปฐมฌานในสมัยนั้น กับปฐมฌานในสมัยปัจจุบันนี้ ก็เป็นอันเดียวกัน ความเป็นพระโสดาบันในสมัยที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังมีชีวิตอยู่ กับความเป็นพระโสดาบันในปัจจุบันนี้ ก็เป็นอันเดียวกัน มีรสเป็นอันเดียวกัน สามารถละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาสได้เหมือนกัน นี่ในลักษณะของพระธรรมเนี่ย มันเป็นสัจจะ เป็นอมตะอย่างนี้

         เพราะฉะนั้น องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์จึงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม คือศาสนาจะล่วงเลยผ่านมานานขนาดไหนก็ตาม ถ้าเราเห็นธรรม เราจะเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นในที่นี้หมายถึงว่าเห็นด้วยนามธรรม เห็นด้วยคุณธรรม เห็นด้วยการสัมผัสรสแห่งพระนิพพาน นี่ถ้าเราอยากจะเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยนามธรรม เราก็ประพฤติปฏิบัติธรรมให้ได้ถึงมรรคถึงผลถึงพระนิพพาน เราก็จะเห็นตามที่พระองค์ทรงตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเราผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม

         ศาสนาถึงจะล่วงกาลผ่านไป แต่พระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ก็ยังไม่ล่วงกาลผ่านไป

                  มรรคผลพ้นสมัยนั้น    อย่าขาน

         เป็นดั่งคำคนพาล               เท่านั้น

         มรรคผลยังไม่ล่วงกาล          ยังอยู่เสมอนา

         หากปฏิบัติเข้าขั้น               ย่อมรู้รสธรรม

         องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้น ในห้วงเทศกาลปีใหม่นั้นเนี่ย เราควรที่จะกระทำให้มั่นในพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงตรัสให้เรานั้นกระทำให้มั่น กระทำให้หนักแน่น กระทำให้มั่นคง กระทำไม่ให้คลอนแคลน กระทำไม่ให้เสื่อมคลายไปจากจิตจากใจนั้นน่ะ ท่านเรียกว่า อธิษฐานธรรม คือธรรมที่ควรอธิษฐาน มีอยู่ ๔ ประการ

         ข้อที่ ๑ ก็คือปัญญา ปัญญาก็คือความรอบรู้นะ ปัญญาความรอบรู้ในที่นี้ ไม่ใช่ว่าเราจะต้องรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะรอบรู้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่มีในโลก เราต้องอ่านหนังสือหมดทุกเล่มในโลก เราต้องเข้าใจหลักการของทฤษฎี หลักการของตรรกะต่างๆ ที่มีอยู่ในโลกนี้หมดทั้งโลกเลย ไม่ใช่นะ

         ปัญญา การรอบรู้ ในที่นี้คือรอบรู้ในกองสังขาร ถ้าเรารู้สิ่งทั้งหลายทั้งปวงในโลก จะเป็นรู้ด้วยปริญญาตรี รู้ด้วยปริญญาโท รู้ด้วยปริญญาเอก จบดอกเตอร์มาก็ตาม จบปริญญามาหลายใบก็ตาม แต่ถ้าเราไม่รอบรู้ในกองสังขาร จะชื่อว่าเรามีปัญญาไม่ได้ เพราะเรายังหลงในกองสังขารอยู่ ยังถูกความโกรธ ความโลภ ความหลง ราคะ มานะ ทิฏฐิ ตัณหา ครอบงำอยู่ เรายังเถียงพ่อเถียงแม่ เรายังด่าพ่อแม่ เรายังเถียงครูบาอาจารย์ เรายังไม่เคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เต็มที่อยู่ เพราะเรารู้แต่ความรู้ทางโลก ความรู้ทางโลก เราจะรู้ขนาดไหน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก็ไม่ตรัสว่าเป็นปัญญาคือการรอบรู้นะ เพราะเราไม่รอบรู้ในกองสังขาร

         ความรู้ของเรารู้แล้วราคะมันยังไม่สิ้น โทสะมันยังไม่สิ้น โมหะมันยังไม่สิ้น เรายังกระทำบาปทำกรรม เรายังไปเกิดในนรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ได้อยู่ ความรู้ที่ไม่สามารถเอาตัวรอดจากอบายภูมิได้ จะชื่อว่าเป็นปัญญาในทางพุทธศาสนาไม่ได้ ชื่อว่าเป็นความรู้เฉยๆ เพราะฉะนั้น ปัญญาคือความรอบรู้ที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เรานั้นอธิษฐานให้มั่นคง ก็คือปัญญารอบรู้ในกองสังขาร

         กองสังขารก็คือกองแห่งรูป กองแห่งเวทนา กองแห่งสัญญา กองแห่งสังขาร กองแห่งวิญญาณ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เราต้องรู้ เพราะรูปก็ดี เวทนาก็ดี สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี เป็นที่เกิดแห่งบุญ เป็นที่เกิดแห่งบาป เป็นที่เกิดแห่งทาน เป็นที่เกิดแห่งศีล เป็นที่เกิดแห่งสมาธิ เป็นที่เกิดแห่งมรรคผลพระนิพพาน บุญบาปมันก็เกิดขึ้นที่รูป ที่เวทนา ที่สัญญา ที่สังขาร ที่วิญญาณ นี่แหละ บาปมันก็เกิดขึ้นตรงนี้ บุญมันก็เกิดขึ้นตรงนี้ กิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด มันก็เกิดขึ้นตรงนี้ เราเวียนว่ายตายเกิดในห้วงมหรรณพภพสงสาร ก็เพราะสิ่งนี้แหละทำให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในห้วงมหรรณพภพสงสาร

         เพราะฉะนั้น บุคคลผู้มีปัญญารอบรู้ในกองแห่งรูป กองแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณนั้น จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดวิปัสสนาญาณ เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ได้บรรลุมรรคผลนิพพานได้ คือให้เราพิจารณารูป ตั้งแต่พื้นเท้าถึงปลายผม จากปลายผมถึงพื้นเท้านั้น มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราจะมายึดมั่นอยู่กับรูปไปทำไม ไม่นานมันก็ต้องเสื่อมก็ต้องสลายมันก็ต้องแตกดับ เราเห็นว่าร่างกายมันแข็งแรงมันสวยมันงาม ไม่ใช่ว่าร่างกายมันสวยมันงามนะ เรามันหลง

         ร่างกายของเรามันเต็มไปด้วยของปฏิกูลโสโครก เต็มไปด้วยมูตรด้วยกรีส เต็มไปด้วยอาหารใหม่อาหารเก่า เต็มไปด้วยเลือดด้วยหนอง ด้วยของปฏิกูลน่าขยะแขยง นี่เรายังจะมาหลงอยู่กับรูปกับเสียงอย่างนี้ เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ไม่พิจารณารูปนี่จึงหลงอยู่ในรูป หลงว่ารูปมันสวย มารักรูป ไม่รู้ว่าไปรักตรงไหน เพราะอะไร เพราะว่ามันเป็นของน่าเกลียด เป็นของน่าขยะแขยง

         องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสกับบิดาของนางตัณหา นางอรดี นางราคา ว่าเรานี่ไม่อยากจะแตะต้องบุตรสาวของเธอแม้ด้วยเท้า แม้ด้วยเท้าก็ยังไม่อยากจะแตะต้อง เพราะอะไร เพราะรูปมันเป็นของปฏิกูล เป็นของน่าเกียด เป็นของโสโครก เป็นของที่ต้องแตกต้องสลายต้องเน่าต้องเปื่อยไป

         เพราะฉะนั้น บุคคลผู้หลงในรูปก็คือบุคคลผู้ขาดปัญญา บุคคลผู้โง่เขลา บุคคลที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดในห้วงมหรรณพภพสงสารอีกยาวนาน อยู่ในลักษณะอย่างนั้น เหมือนกับพระวักกลิ

         พระวักกลินั้นหลงในรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าไปไหน ก็ตามไปชมไปมอง ไม่รู้จักเบื่อไม่รู้จักหน่ายในรูปขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์ก็ทรงพิจารณาเห็นญาณของพระวักกลิแก่กล้า พระองค์ก็ทรงขับไล่ ดูก่อนวักกลิ เธอจึงหลีกไป เธอจงหนีไป เธอจะมาดูรูปกายอันเน่าเปื่อยเพื่อประโยชน์อะไร เธอจงหลีกไป เธอจงหนีไป ไล่พระวักกลิออกไปจากสำนักของพระองค์ จนพระวักกลิกนั้นคิดว่า เรามาบวชเพื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อที่จะแลเห็นสรีระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประกอบไปด้วยมหาโพธิสัตว์ลักษณะ ๓๒ ประการ ที่ประกอบไปด้วยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ ที่มีความสวยงามยิ่งกว่ากายของเทวดาและพรหมทั้งหลายทั้งปวง แต่บัดนี้พระพุทธเจ้ามาขับไล่เราให้ออกจากสำนัก ประโยชน์อะไรด้วยการมีชีวิตอยู่ เพราะฉะนั้น เราจะไปกระโดดหน้าผาตายดีกว่า ก็ปีนขึ้นยอดภูเขาเพื่อจะกระทำการกระโดด

         ในขณะนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็แผ่พระฉัพพรรณรังสีไปปรากฏอยู่หน้าของพระวักกลิ แล้วก็ตรัสกับพระวักกลิ ทำให้พระวักกลินั้นเกิดปีติขึ้นมา แล้วก็เท้าข้างหนึ่งพ้นไปจากพื้นดิน เท้าข้างหนึ่งยังอยู่ที่พื้นดิน ข่มปีติแล้วก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ตัดกิเลสตายคลายกิเลสหลุดผุดเป็นองค์แห่งพระอรหันต์ในขณะนั้นนะ

         ถ้าเราหยุดหลงแล้วมันจึงจะเกิดปัญญานะ ถ้ายังหลงอยู่นี่ไม่เกิดปัญญา หรือบุคคลผู้หลงอยู่ในเวทนาก็เหมือนกัน หลงอยู่ในเวทนาที่มันเป็นสุข เกลียดเวทนาที่มันเป็นทุกข์ นี่ในลักษณะอย่างนี้ เราหลงเวทนาที่เป็นสุขก็ชื่อว่าหลงนะ เราเกลียดเวทนาที่เป็นทุกข์ก็ชื่อว่าหลงเหมือนกันนะ หลงสุขและหลงทุกข์นะ ความสุขก็ดี ความทุกข์ก็ดี มันเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ยืนนานมันก็เป็นทุกข์ นั่งนานมันก็เป็นทุกข์ นอนนานมันก็เป็นทุกข์ กินมากมันก็เป็นทุกข์ กินน้อยมันก็เป็นทุกข์ อายุมากขึ้นมามันแก่มันเจ็บมันก็เป็นทุกข์ มันร้อนมากหนาวมากก็เป็นทุกข์ เป็นต้น ความทุกข์เนี่ยมันเป็นธรรมธรชาติของสังขารที่จะต้องเจ็บต้องป่วยต้องแก่อะไรต่างๆ ต้องร้อนต้องหนาวเนี่ย มันเป็นทุกข์

         เพราะฉะนั้น ท่านจึงให้เราพิจารณาเห็นเวทนาเหล่านี้เนี่ยเป็นสักแต่ว่าเวทนา เป็นธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์จึงให้เรากำหนด ทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ปวดหนอ ปวดหนอ สุขหนอ สุขหนอ เป็นต้น แต่ถ้าเราไม่กำหนด โอ เราทำไมมันเป็นทุกข์หรือทน มันเจ็บมันปวดเหลือทน อดไม่ได้ ทนไม่ได้ ในที่สุดก็ลุกออกจากการเจริญภาวนา ไม่เกิดสติไม่เกิดปัญญาอะไรเพิ่มเติม

         แต่ถ้าเรากำหนดทุกข์หนอ ทุกข์หนอ ปวดหนอ ปวดหนอ เราจะเกิดสติเกิดปัญญาขึ้นมา โอ้ คนเรามันทุกข์มันเป็นอย่างนี้นี่เอง จิตมันจะดิ้นรน จิตมันจะกวัดแกว่ง จิตมันจะทุรนทุราย เมื่อเรากำหนดแล้วจิตมันดิ้นรนทุรนทุราย มันไปไหนไม่ได้มันก็สงบนิ่ง คนเรามันก็เป็นทุกข์ ทุกข์มากๆ มันก็ต้องแตกดับ เราก็เกิดสติเกิดปัญญาขึ้นมา เราก็ได้ความอดทนขึ้นมา

         นี่ถ้าเรารู้จักกำหนดเวทนานะ เราจะเห็นเวทนาในเวทนา เห็นอาการเจ็บในความเจ็บ เห็นอาการปวดในความปวด เห็นอาการของทุกข์ในความทุกข์ เนี่ยเราจะพิจารณาเห็นลึกเข้าไปในลักษณะอย่างนั้นนะ

         สัญญาก็เหมือนกัน สัญญาความจำได้หมายรู้ จำคำหวานๆ ที่เขาพูดให้ฟังแล้วก็ติดอกติดใจอยากจะฟังบ่อยๆ นึกถึงอยู่เรื่อยๆ ในลักษณะอย่างนี้ก็เป็นความหลงเกิดขึ้นมา เป็นความชอบเกิดขึ้นมา แต่ถ้าเรานึกถึงคำที่เขาด่า มันก็เกิดความชังขึ้นมา เกิดความพยาบาท เกิดความโกรธขึ้นมา สัญญานี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดบาปเกิดบุญเกิดคุณเกิดโทษได้เหมือนกัน

         แต่ถ้าเรากำหนด คิดหนอ คิดหนอ มันก็ไม่เกิดบาปนะ มันมีสติมีสัมปชัญญะ ก็เกิดบุญ เกิดศีล เกิดสติ เกิดสมาธิ เกิดวิปัสสนา สามารถที่เกิดมรรคเกิดผลเกิดพระนิพพานได้นะ คิดหนอ คิดหนอ นี่นะ เราก็จะเห็นความคิดในจิตของเรานะ นี่เราจะเห็นความคิดในจิตของเรา เราจะเห็นความคิดมันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ความคิดในความคิด เราจะเห็นเข้าไปอีก นี่ถ้าเรากำหนดนะ

         แต่ถ้าเราไม่กำหนดเนี่ย เราจะไม่เห็นความคิดในความคิดนะ มันก็คิดว่าเราคิดแล้วก็แล้วๆ ไป บางคนก็คิด นู้น ไปชอบคนนู้น ไปชอบคนนี้ ไปชังคนนู้นชังคนี้ ถ้าบุคคลไหนเขารู้วาระจิตก็อายเขา ในลักษณะอย่างนี้

         เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เราต้องกำหนด เวลามันเกิดความคิดขึ้นมาก็ คิดหนอ คิดหนอ เป็นต้น ในลักษณะอย่างนี้นะ เราก็จะไม่ชังในความคิด ไม่ชอบใจในความคิด บาปบุญคุณโทษที่มันจะเกิด ความลุ่มหลงทีมันจะเกิดขึ้นจากความคิด มันก็ไม่เกิดขึ้นมา เพราะเรามีสติในการคิด เรามีสัมปชัญญะในการคิด

         สังขารคือการปรุงแต่งที่เราคิดไปถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้นี่ เราควรกำหนดนะ ควรกำหนดสังขาร ถ้าเรามีสติในการคิด มีสัมปชัญญะในการคิดนี่ บาปมันก็ไม่เกิดขึ้นมา

         วิญญาณคือความรู้ ขณะที่หูฟังเสียง เกิดความรู้ขึ้นมา เรียกว่า โสตวิญญาณ อันนี้เราก็กำหนด ขณะที่ตาเห็นรูป เกิดความรู้ขึ้นมา เรียกว่า จักขุวิญญาณ เราก็ต้องกำหนดนะ เวลาลิ้นของเราได้ลิ้มรส เกิดความรู้ขึ้นมา เรียกว่า ชิวหาวิญญาณ เวลาจมูกของเราได้ดมกลิ่น เกิดความรู้ขึ้นมา เรียกว่า ฆานวิญญาณ เวลากายของเรากระทบสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง เกิดความรู้ขึ้นมา เรียกว่า กายวิญญาณ ความรู้มันเกิดขึ้นมาในลักษณะอย่างนี้ เราต้องกำหนดนะ ถ้าเราไม่กำหนดแล้วเนี่ย สติสัมปชัญญะของเรามันก็ไม่เกิดขึ้นมา เพราะฉะนั้น เราต้องมีสติในการสัมผัส ถ้าเรามีสติในการสัมผัส ปัญญามันก็เกิด ถ้าสติเตลิดมันก็เกิดปัญหาขึ้นมา

         ในขณะที่ตาของเรากระทบกับรูป เกิดจักขุวิญญาณขึ้นมาเนี่ย ในการกระทบ ๓ อย่างเนี่ย ถ้าขณะที่ผัสสะเรากระทบเนี่ย เรามีสติ ปัญญามันก็จะเกิดขึ้นมาทันทีนะ เห็นหนอ เนี่ยนะ แต่ถ้าสติเตลิดมันก็เกิดปัญหา เกิดความโกรธ ความโลภ ความหลง เกิดความพอใจไม่พอใจ เป็นต้น นี่นะ ปัญญามันรอบรู้ในกองสังขารอย่างนี้นะ

         เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ที่ดำรงชีวิตต้องมีปัญญารอบรู้ในกองสังขารในลักษณะอย่างนี้

         ข้อที่ ๒ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระระองค์ทรงตรัสให้เรามีสัจจะ สัจจะก็คือความจริง สัจจะนั้นมีอยู่ ๒ ประการนะ

         ๑. สมมติสัจจะ ความจริงตามสมมติ สมมติว่า นายดำ นายขาว นางมี นางมา เป็นต้น เป็นจริงนะ เป็นจริงตามสมมติที่พ่อแม่สมมติให้ ตามทะเบียนบ้าน ตามสำมะโนครัว อันนี้ก็จริงอยู่ คือจริงตามสมมติ แต่ว่าจริงตามสมมตินั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงก็ได้ นางมาเนี่ยมันไม่เพราะ เปลี่ยนเป็นนางมีก็ได้ นาย ก. เปลี่ยนเป็นนาย ข. นาย ค. ก็ได้ ความจริงโดยสมมุตินี่มันไม่แน่นอน มันเปลี่ยนได้ ถ้าชื่อเราไม่เพราะ ไม่คล้องจอง เราก็เปลี่ยนได้ เนี่ยความจริงโดยสมมตินี่มันเปลี่ยนได้ เรียกว่า สมมติสัจจะ

         ๒. อริยสัจจะ อริยสัจจะนี่มันเปลี่ยนไม่ได้นะ อริยสัจก็คือความจริงที่ห่างไกลจากกิเลส เรียกว่า อริยสัจนะ ความจริงที่ห่างไกลจากกิเลส ความจริงที่ทำให้บุคคลผู้ค้นพบนั้นได้กลายเป็นพระอริยบุคคล หรือความจริงที่พระอริยบุคคลค้นพบ ชื่อว่า อริสัจ นี่นะ อริสัจมันเปลี่ยนแปลงไม่ได้นะ อย่างเช่น มรรคมันเกิดขึ้นมาแล้วเนี่ย มันจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้นะ อย่างเช่น มรรคที่ ๑ มันเกิดขึ้นมา ๑ ขณะจิต สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ต้องตายไปนะ

         เหมือนกับวชิรูปมาธรรม ธรรมอันเปรียบเสมือนกับสายฟ้าเนี่ย เมื่อฟ้าผ่าเปรียงลงมาที่ต้นไม้ต้นใด ต้นไม้ต้นนั้นต้องตายนะ ต้องตายนู่นแหละตั้งแต่ยอดถึงรากโน่นแหละ พราะว่าสายฟ้ามันฟาดลงที่ตรงไหนเนี่ย ก็ต้องแตกไปสลายไปหรือตายไป อริยมรรคก็เหมือนกัน ถ้ามันฟาดลงที่จิตใจของบุคคลใด ถ้ามันเกิดขึ้นมาขณะที่หนึ่งมันก็สามารถทำลายสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ที่มีอยู่ในจิตในใจเนี่ยให้มันแตกสลายไป

         คือกิเลสของคนเนีย คือ สักกายทิฏฐิ ความยึดมั่นในกายก็ดี สีลัพพตปรามาส ความถือศีลที่ไม่ถูกต้องที่เรียกว่าการลูบคลำศีลพรตนี่ก็ตาม หรือว่า วิจิกิจฉา ความสงสัยในพระพุทธ สงสัยในพระธรรม สงสัยในพระสงฆ์ สงสัยในโลกนี้โลกหน้า สงสัยในเรื่องนรกสวรรค์เป็นต้น สิ่งเหล่านี้มันก็จะหมดไปจากจิตใจของบุคคลผู้ยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นครั้งแรกนะ  มันจะตายไปโดยที่จะไม่เกิดขึ้นอีกเป็นเด็ดขาดนะ เราจะประมาทอย่างไรกิเลสมันก็จะไม่เกิดอีก หรือว่าเราจะไปตายไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่ เรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์เนี่ย เราเกิดอีกอย่างมากก็ ๗ ชาติ แต่สักกายทิฏฐิ วิจิกจฉา สีลัพพตปรามาส จะไม่เกิดอีกนะ คือมันจะไม่ตามไปเกิดในภพใหม่ชาติใหม่อีก เพราะมันตายแล้ว เนี่ย อริยสัจนี่มันสำคัญอย่างนี้นะ มันสิ้นไปมันหมดไปแล้วก็คือหมดไปเลยนะ อันนี้เปลี่ยนแปลงไม่ได้นะ ตายแล้วก็ตายเลย

         ข้อที่ ๓ ท่านกล่าวว่า จาคะ จาคะก็คือความเสียสละนะ เสียสละนั้นมีอยู่ ๒ ประการ ก็คือเสียสละภายนอกกับเสียสละภายใน เสียสละภายนอกก็คือ เสียสละข้าวเสียสละของ เสียสละทรัพย์สินเงินทอง เสียสละผ้าผ่อนแพรพรรณ เสียสละยศถาบรรดาศักดิ์ เสียสละอะไรต่างๆ ที่เรามีอยู่ในโลก เสียสละเรือกสวนไร่นาเป็นต้น เสียสละเพชรนิลจินดา นี้ก็เสียสละภายนอกทั้งหมดนะ

         เสียสละภายใน หมายถึงเสียสละความไม่ดีทั้งหลายทั้งปวง เช่น เสียสละความโกรธออกไปจากจิตจากใจ เสียสละความโลภออกไปจากจิตจากใจ เสียสละความหลงออกไปจากจิตจากใจ เสียสละกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปดออกไปจากจิตจากใจ เสียสละสิ่งที่เป็นข้าศึกเนี่ยออกไปจากจิตจากใจของเรา

         ประการที่ ๔ ท่านกล่าวว่า อุปสมะ คือความสงบ ความสงบนั้นมีอยู่ประการ ก็คือ

         ๑. สงบด้วยสมถะ

         ๒. สงบด้วยวิปัสสนา

         หรือบางที่ท่านกล่าวว่าความสงบนั้นมีอยู่ ๓ อย่าง ก็คือ

         ๑. สงบด้วยปริยัติ

         ๒. สงบด้วยปฏิบัติ

         ๓. สงบด้วยปฏิเวธรรม

         สงบด้วยปริยัติเนี่ย เราศึกษาหลักธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้เรามีหิริ ละอายต่อบาป โอตตัปปะ เกรงกลัวต่อบาป ไม่กล้าล่วงเกินอะไรต่างๆ อันนี้ก็สงบได้นะ ทำให้กายของเรามันสงบจากบาป ทำให้วาจาของเรามันสงบจากบาปได้ แต่ยังละไม่ได้น ะสงบเฉยๆ

         สงบด้วยการปฏิบัติก็หมายถึงว่า ขณะที่เราปฏิบัติธรรมเดินจงกรม ขวาย่างหนอ ซ้ายย่างหนอ เนี่ย เราไม่ปล่อยให้จิตใจมันคิดถึงอดีต ไม่ปล่อยให้ใจคิดถึงอนาคต มีสติกำหนดอยู่กับปัจจุบันธรรม จิตใจไม่คิดถึงบุญ ไม่คิดถึงบาป ไม่คิดถึงดี ไม่คิดถึงชั่ว ไม่คิดถึงสิ่งที่เขามาด่ามาว่า ไม่คิดถึงราคะโทสะอะไรต่างๆ จิตมันก็สงบของมันเอง มันก็สงบไป มันจะคิดเราก็กำหนด มันจะโกรธเราก็กำหนด โกรธหนอ มันจะเกิดราคะ เราก็กำหนด ราคะหนอ กิเลสไม่สามารถที่จะเกิดขึ้นในจิตในใจของเราได้ จิตใจของเรามันก็สงบ อันนี้เรียกว่าสงบด้วยการปฏิบัตินะ

         ที่สงบด้วยปฏิเวธธรรมนั้นน่ะ หมายความว่า เราประพฤติปฏิบัติธรรมม เมื่อยังปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน เป็นต้น ให้เกิดขึ้นมา นิวรณ์ทั้ง ๕ ประการ คือ กามฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา ไม่เกิดขึ้นในขณะที่เราอยู่ในฌาน อันนี้ก็เป็นปฏิเวธธรรม การแทงตลอดซึ่งฌานนะ แต่มันจะเหมือนหินทับหญ้านะ มันสงบชั่วคราว ช่วงที่เราอยู่ในฌาน ถ้าเราออกจากฌานก็เกิดขึ้นมาอีก อันนี้เรียกว่าสงบด้วยสมถะนะ

         แต่ถ้าผู้ใดเจริญวิปัสสนากรรมฐาน เหมือนคณะครูบาอาจารย์ญาติโยมกำลังทำอยู่นี้นี่ ก็จะเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สงบด้วยอำนาจของวิปัสสนา คือเราเจริญไปแล้วก็พิจารณาไป อาการยก อาการย่าง อาการเหยียบ พิจารณาให้เห็นต้นยก ต้นย่าง ต้นเหยียบ เห็นต้นพอง กลางพอง สุดพอง ต้นยุบ กลางยุบ สุดยุบ เราก็จะพิจารณาว่า โอ้ เท้าของเราเนี่ย เมื่อเรายกขึ้น อาการยืนมันก็ดับไป ขณะที่เราย่างเท้าไป อาการยกมันก็ดับไป อาการย่างมันก็เกิดขึ้นมา ขณะที่เราเหยียบลงไป อาการย่างมันก็ดับไป อาการเหยียบมันก็เกิดขึ้นมา อาการเหยียบดับไป อาการยืนมันก็เกิดขึ้นมา อาการยืนดับไปอาการยกมันก็เกิดขึ้นมา อาการยกดับไปอาการย่างมันก็เกิดขึ้นมา อาการย่างดับไปอาการเหยียบมันก็เกิดขึ้นมา อาการเหยียบดับไปอาการยืนก็เกิดขึ้นมา สังขารร่างกายมันมีแต่รูปนามเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ ในลักษณะอย่างนี้ นี่ถ้าเราพิจารณาในลักษณะนี้ เกิดปัญญาขึ้นมนะ เนี่ยเกิดปัญญาในลักษณะอย่างนี้นะ

          อาการต้นพองมันดับไป กลางพองมันเกิดขึ้นมา กลางพองมันดับไป สุดพองมันเกิดขึ้นมา สุดพองดับไป ต้นยุบเกิดขึ้นมา ต้นยุบดับไป กลางยุบเกิดขึ้นมา กลางยุบดับไป สุดยุบมันเกิดขึ้นมา นี่มันจะเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปอย่างนี้นะ อาการคู้เกิดขึ้น อาการคู้ดับไป อาการเหยียดเกิดขึ้น อาการเหยียดดับไป เหล่านี้ มันจะเกิดดับเกิดดับนะ ถ้าเราพิจารณาเห็นตามความเป็นจริง มันจะมีแต่รูปมีแต่นามเกิดดับเกิดดับอย่างนี้นะ นี่ถ้าผู้ใดมีปัญญาพิจารณาด้วยสติด้วยสัมปชัญญะเนี่ย จะเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดดับนะ

         เราก็จะพิจารณาเห็นว่า โอ ไม่มีอะไรที่จะเป็นของที่เป็นสัจจะเป็นของจริง เรามาหลงตั้งนาน เรามางมงายอยู่ตั้งนาน ที่แท้มันเป็นของชั่วครั้งชั่วคราว เราจะมายึดเอาอะไรกับสิ่งที่มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน ถ้าเรายึดกับสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ก็เท่ากับเราสร้างวิมานบนอากาศ มันจะสร้างได้อย่างไร เราจะไปยึดเอาอะไรกับสิ่งที่ไม่แน่นอน ในเมื่อรูปนามมันต้องแตกดับ

         เนี่ยถ้าเราเจริญวิปัสสนากรรมฐานอย่างนี้นะ พิจารณาอย่างนี้เราเรียกว่าเจริญวิปัสสนากรรมฐานนะ ให้เห็นต้นพองกลางพองสุดพอง ต้นยุบกลางยุบสุดยุบ อย่างนี้นะ เราพิจารณาเห็นความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อย่างนี้เรียกว่าเจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าผู้ใดมีปัญญา บุคคลนั้นก็สามารถยังวิปัสสนาญาณให้เกิดขึ้น นับตั้งแต่นามรูปปริจเฉทญาณ ปัจจยปริคคหญาณ ไล่ไปตามลำดับ จนถึงการบรรลุมรรคผลนิพพานได้นะ อันนี้เรียกว่าสงบด้วยการเจริญวิปัสสนากรรมฐาน

         ผู้ใดสงบในลักษณะอย่างนี้ กิเลสมันจะไม่เกิดอีกนะ ถ้าตายแล้วก็เป็นอันตาย แต่ถ้ามันไม่ตาย มันเกิดขึ้นมาอีก ก็แสดงว่าสิ่งที่เราประพฤตินั้นไม่ใช่มรรคไม่ใช่ผลนะ ถ้าสิ่งไหนมันเป็นมรรคเป็นผล กิเลสที่ตายแล้วก็เป็นอันตายนะ แต่ถ้ากิเลสมันไม่ตาย มันยังมีความโกรธ ความโลภ ความหลง มีราคะมีมานะอะไรต่างๆ นั้นน่ะ แสดงว่าอันนั้นเป็นมรรคปลอมผลปลอมนะ เพราะอะไร เพราะกิเลสมันไม่ตาย

         ถ้าเป็นวชิรูปมาธรรม ธรรมอันเปรียบเสมือนกับสายฟ้าแล้วเนี่ย สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นก็ต้องตายไป จะเป็นโคตรเพชรโคตรหิน เมื่อสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา มันก็ต้องแตกสลายไป กิเลสในใจก็เหมือนกัน สายฟ้าคืออริยมรรคฟาดลงในจิตใจของผู้ใด กิเลสทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นอันแตกไป สลายไป ดับไป ตามกำลังแห่งมรรคที่มันเกิดขึ้นมา เนี่ยพุทธเจ้าพระองค์ทรงตรัสอย่างนี้นะ

         เพราะฉะนั้น ในเทศกาลปีใหม่ ก็ขอให้เราทั้งหลายทั้งปวงได้น้อมระลึกนึกถึงว่า อายุของเรามันผ่านไปปีหนึ่ง เราแก่อีกปีหนึ่งแล้ว เราหมดไปปีหนึ่งแล้ว สังขารเราร่วงโรยไปปีหนึ่งแล้ว เราตั้งอยู่ในความไม่ประมาทเถิด

         ประการที่ ๒ ให้เราพิจารณาว่า พระพุทธเจ้าของเราปรินิพพานไปแล้ว ๒๕๖๕ ปีเรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน เรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระสกทาคามี เรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระอนาคามี เรายังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ เราจะเวียนว่ายตายเกิดไปอีกสักกี่ภพกี่ชาติ เราควรรีบกระทำความเพียรเสียแต่วันนี้ ใครจะรู้ความตายแม้ในวันพรุ่งนี้ได้

         ประการที่ ๓ ก็ให้เราพิจารณาธรรมอันเป็นที่กระทำให้มั่นคงในจิตในใจ เรียกว่า อธิษฐานธรรม ๔ ข้อ ก็คือ ปัญญา ความรอบรู้ในกองสังขาร แล้วก็ สัจจะ ความจริง ทั้งที่เป็นสมมติสัจจะ และอริยสัจจะ ข้อที่ ๓ ก็คือ จาคะ ความเสียสละ ทั้งภายนอกและภายใน อุปสมะ คือ การสงบจากข้าศึกคือกิเลสนั่นแหละ นี่เราควรกระทำให้มั่นในวันปีใหม่

         อาตมภาพได้กล่าวธรรม ก็เห็นว่าพอสมควรแก่เวลา.