หัวข้อ: ประวัติ เพลงต้นบรเทศ เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 04 พฤศจิกายน 2567 11:39:49 http://www.youtube.com/watch?v=ZLxgITVgblE (http://www.youtube.com/watch?v=ZLxgITVgblE) เพลงต้นบรเทศแปลง บทเพลงทางด้านดุริยางคศิลป์ที่ได้มีการประพันธ์ไว้ตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน พบว่ามีเป็นจำนวนมาก บางเพลงก็สูญหายไปตามกาลเวลา บางเพลงยังได้รับความนิยมมาจนถึงปัจจุบัน รวมถึงได้มีการนำเพลงต่าง ๆ ที่ได้รับความนิยมมาพัฒนาต่อเนื่องตามยุคสมัยด้วยจินตนาการของศิลปินแต่ละท่าน เปรียบเสมือนเป็นการสร้างสรรค์ในเชิงอนุรักษ์ เพลงต้นบรเทศ เป็นเพลงอัตราจังหวะสองชั้นและอัตราจังหวะชั้นเดียว เป็นเพลงทำนองเก่าสมัยอยุธยาอยู่ในเพลงประเภทสองไม้เเละเพลงเร็ว ปรากฏอยู่ในเพลงเรื่องเต่ากินผักบุ้ง มีทั้งหมด ๔ ท่อน …เป็นเพลงฝรั่งโบราณที่เข้ามาต้นกรุงศรีอยุธยาสมัยพระเชษฐาธิราช เมื่อชาวโปรตุเกสนำเครื่องราชบรรณาการไปถวายเมื่อ พ.ศ.๒๐๕๕ ประกอบด้วยเสื้อเกราะทำด้วยผ้าซาตินสีแดงเลือดหมู หอก โล่ หมวกเหล็ก ตกแต่งอย่างงดงาม ปืนและกระสุนดินดำ เชื่อว่าจะมีเครื่องดนตรี (แตรวิลันดา) เข้ามาในสมัยนั้นด้วย ซึ่งจะต้องมีเพลงแตรเข้าแถวของทหารติดเข้ามาพร้อมกัน เพลงต้นวรเชษฐ์ มีคุณสมบัติเป็นไทยทำนองสากล แต่เพลงปะปนอยู่ในเพลงสยามยาวนานจนไม่รู้ว่าเพลงดั้งเดิมชื่อว่าเพลงอะไร “ต้นวรเชษฐ์ หรือต้นโปรตุเกส” ต่อมาพระประดิษฐไพเราะ (ตาด ตาตะวาฑิต) ได้นำทำนองอัตราจังหวะ สองชั้นของเดิมมาใช้ประกอบการแสดงละครก่อนเป็นท่านแรก จนกระทั่งครูกล้อย ณ บางช้าง ได้นำเพลงต้นบรเทศอัตราจังหวะสองชั้นของเดิมมาขยายขึ้นเป็นอัตราจังหวะสามชั้น รวมถึงได้ปรับปรุงอัตราจังหวะสองชั้นและมีการปรับเปลี่ยนให้เป็นลักษณะเฉพาะ ซึ่งต่อมาได้นำไปใช้ในการประกอบการแสดงโขน - ละครหลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ได้แต่งขยายเพลงต้นบรเทศในอัตราจังหวะสามชั้นอีกทางหนึ่ง ลักษณะเป็นเพลงทางกรอและตัดลงเป็นชั้นเดียวครบเป็นเพลงเถาและตั้งชื่อว่า “เพลงชมแสงจันทร์” และในราว พ.ศ.๒๕๗๘ หลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ได้ประพันธ์เพลงชมแสงจันทร์เฉพาะอัตราจังหวะสามชั้นขึ้นอีกทางหนึ่งเรียกว่า “เพลงชมแสงทอง” ซึ่งนอกจากนี้แล้วยังพบเพลงต้นบรเทศ อีกสำนวนหนึ่ง จากการสัมภาษณ์นายไชยยะ ทางมีศรี ศิลปินแห่งชาติ ผู้ชำนาญการด้านดนตรีไทย สำนักการสังคีต กรมศิลปากร กล่าวว่า “ได้รับการถ่ายทอดเพลงต้นบรเทศทางนี้ มาจากครูบุญยงค์ เกตุคง ศิลปินแห่งชาติ เป็นทางของจ่าโคม” จ่าโคม หรือที่รู้จักกันในตำแหน่ง “จ่าเผ่นผยองยิ่ง”ผู้ที่มีความสามารถการเล่นสักวา เพลงต้นบรเทศสำนวนนี้ มีทั้งหมด ๔ ท่อนเท่ากัน แต่มีลักษณะที่มีท่วงท่าของทำนองแตกต่างออกไปจากอัตราอัตราจังหวะสองชั้นในแบบที่ครูกล้อย ณ บางช้างประพันธ์ไว้ สำนวนของจ่าเผ่นผยองยิ่งหรือจ่าโคม จะมีลักษณะจังหวะที่ค่อนข้างกระชั้น ซึ่งต่อมานายไชยยะ ทางมีศรี จึงได้บรรจุนำเพลงต้นบรเทศสำนวนนี้ไว้ในการแสดงละคร เรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนลักพาวันทองหนี พระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ซึ่งเรียบเรียงบทการแสดงโดยนางอัมไพวรรณ เดชะชาติ ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยและพัฒนาการสังคีต และได้ใช้ชื่อว่า“เพลงต้นบรเทศแปลง”เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนในการบรรเลงประกอบการแสดง เพลงต้นบรเทศแปลงนี้ใช้บรรเลงประกอบอากัปกิริยาของขุนแผนขี่ม้าสีหมอกและนางวันทองที่ขี่ม้าตัวเมีย การบรรเลงเพลงต้นบรเทศแปลงในการแสดงละครเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนลักพาวันทองหนี จะใช้เครื่องกำกับจังหวะจะบรรเลงแตกต่างไปจากเพลงต้นบรเทศเดิม เช่น ฉิ่ง จะตีเพียงเสียงฉับอย่างเดียวและเครื่องประกอบจังหวะประเภทเครื่องหนังจะใช้กลองทัดตีร่วมไปกับทำนองเพลงเพื่อให้สอดคล้องกับการเคลื่อนที่ของม้า ที่มา : - องค์ความรู้ : เพลงต้นบรเทศแปลง - สำนักการสังคีต กรมศิลปากร - เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ /ปลุกอดีตด้วยดนตรี ที่วัดพระราม https://www.matichonweekly.com |