หัวข้อ: การปฏิบัติเพื่อปัญญา - พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 08:46:41 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/98397951821486_468433440_1154987766009378_450.jpg) การปฏิบัติเพื่อปัญญา โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร จ.ชลบุรี การฟังเทศน์ฟังธรรมจากคนที่ได้ผลแล้วได้บรรลุแล้ว เมื่อเทียบกับคนที่ยังไม่ได้บรรลุนั้นมันแตกต่างกันมาก ตรงที่การให้กำลังใจ ตรงที่การสอนอย่างถูกต้องแม่นยำ คนที่ไม่เคยผ่านมา ยังไม่ได้ผล จะสอนแบบงูๆปลาๆ สอนไปตามจินตนาการ เหมือนกับคนที่ยังไม่เคยขึ้นมาบนเขานี้ เวลามีคนถามว่าบนเขานี้เป็นอย่างไร ก็จะพูดไปตามจินตนาการ ที่ได้ยินจากเพื่อนๆที่เคยขึ้นมา ว่าบนเขานี้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ก็จะเล่าแบบผิดๆถูกๆ เพราะจะต้องผสมผสานกับส่วนที่ตนจินตนาการ พอคนที่ได้ยินได้ฟังมาถึงสถานที่ ก็จะเห็นว่าไม่เหมือนกับที่เขาพูดเลย คนที่สอนโดยที่ยังไม่ได้ประสพผลสำเร็จจากการปฏิบัติ ก็จะสอนแบบนั้น สอนตามจินตนาการ ไม่มีรางวัลล่อใจคนฟัง ไม่เหมือนกับการที่ได้ยินได้ฟังจากพระพุทธเจ้า จากพระอรหันต์ทั้งหลาย จากท่านที่ได้บรรลุแล้ว ท่านพูดด้วยความมั่นใจ ฟังแล้วไม่สงสัย ท่านพูดแบบไม่เคลือบแคลงสงสัย คนฟังก็ไม่เคลือบแคลงสงสัย แต่ถ้าคนพูดๆแบบเคลือบแคลงสงสัยไม่แน่ใจ คนฟังก็ไม่แน่ใจตามไปด้วย การได้ยินได้ฟังอะไรจากผู้อื่น จึงขึ้นอยู่ที่ผู้สอนเป็นสำคัญ ว่ามีอะไรโน้มน้าวจิตใจหรือเปล่า ถ้าสอนแบบแม่ปูสอนลูกปูก็ไม่ไหว แม่ก็อยากจะให้ลูกเป็นคนดี ไม่เสพสุรา แต่แม่เองก็ยังเสพอยู่ แม่ไม่อยากให้ลูกไปเที่ยว แต่แม่ก็ยังไปเที่ยวอยู่ อย่างนี้สอนไปก็สอนได้แต่วาจา ไม่มีน้ำหนักอะไร เพราะลูกจะมองว่าทีแม่ก็ไปดื่มสุราได้ แม่ก็มีข้อแก้ตัวว่ามันจำเป็น เป็นสังคม ลูกก็ใช้ข้อแก้ตัวแบบเดียวกัน มันจำเป็น เพื่อนฝูงชวนไป สอนก็สอนได้ แต่ผลที่จะเกิดขึ้นจะไม่ได้อย่างที่ต้องการ เวลาอยากให้ผู้อื่นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ไม่เป็นไปตามอยาก ก็จะเสียใจ จะทุกข์ใจ จึงต้องทำความเข้าใจว่า ความอยากของเราต่างหากที่เป็นตัวปัญหา ไม่ใช่ผู้ที่เราอยากจะให้เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ไปอยากกับเขาแล้ว เขาจะเป็นอย่างไรก็จะไม่เดือดร้อน ไม่วุ่นวายใจ ถ้าอยากจะให้ใครได้ดิบได้ดี ก็ต้องสอนแบบไม่มีความอยาก สอนไปตามเหตุผล ถ้าไม่สอนเขาก็จะไม่รู้ เมื่อได้ยินจากเราแล้ว ก็สามารถนำเอาไปปฏิบัติได้ เขาก็จะเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์ เราเองไม่ได้อะไร นอกจากมีความสุขไปกับเขา ที่เห็นเขาเป็นคนดี ได้ดิบได้ดีจากการกระทำความดีของเขา จากการละเว้นการกระทำในสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าทำด้วยความอยาก ลูกต้องทำให้ได้นะ ถ้าทำไม่ได้ก็จะโกรธ จะเสียใจ สร้างความทุกข์ให้กับตนโดยใช่เหตุ เช่นเดียวกับการพิจารณาความไม่สวยงามของร่างกาย ความแก่ความเจ็บความตาย เพราะใจอยากให้เป็นตรงกันข้ามกับความจริง ใจอยากไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย เรียกว่าวิภวตัณหา เป็นหนึ่งในสามของตัณหาความอยาก ที่ทำให้เกิดความทุกข์กับจิตใจ ถ้าได้ศึกษาตามความเป็นจริงแล้วก็จะรู้ว่า อยากไม่ให้แก่ ไม่ให้เจ็บ ไม่ให้ตายไม่ได้ ร่างกายต้องเป็นไปตามเรื่องของมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีความรับผิดชอบดูแล ก็ดูแลมันไป อาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าล้างตาให้สะอาด ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย ผมเผ้ารกรุงรัง ไม่อาบน้ำอาบท่า เพราะว่าไหนๆจะเป็นอสุภะแล้วก็ให้อสุภะเต็มที่เลย ผู้ปฏิบัติใหม่ๆบางท่านจะเป็นอย่างนี้ บางท่านจะไม่สนใจดูแลรักษาหน้าตาเสื้อผ้า จีวรของพระบางรูปไม่ได้ซักเป็นเดือนก็มี ท่านบอกว่ามันเป็นอสุภะ ต้องเข้าใจว่าเรายังอยู่ในโลกที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น ที่มีมาตรฐานของการกินอยู่ เวลาไปเกี่ยวข้องกับเขา ก็ต้องรักษามาตรฐานนั้น ต้องดูแลไป แต่ใจก็รู้ว่าเป็นเรื่องของสังคม ไม่หลงไปกับเขา จะใส่น้ำหอม แต่งหน้าทาปากสวยงามขนาดไหนก็ตาม ก็เหมือนกับการเอากระดาษสวยๆมาห่อขยะ ข้างในก็ยังเป็นขยะอยู่ดี คนที่มีปัญญาจะเห็นอย่างนี้ นี่คือการปฏิบัติเพื่อปัญญา |