หัวข้อ: พระสมุดลักษณพิสูท ดำน้ำ และลุยเพลิง เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 ธันวาคม 2567 12:41:26 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/39162221385372_467695452_548874177771140_1714.jpg) พระสมุดลักษณพิสูท ดำน้ำ และลุยเพลิง "พระสมุดลักษณพิสูท ดำน้ำ และลุยเพลิง" ถ่ายถอดเนื้อหาโดยนางศิวพร เฉลิมศรี นักภาษาโบราณชำนาญการพิเศษ กลุ่มหนังสือตัวเขียนและจารึก เนื้อหามีดังนี้ กฎหมายตราสามดวงได้รับยกย่องว่าเป็น ประมวลกฎหมายฉบับแรกแห่งสมัยรัตนโกสินทร์ หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ ๑” เนื่องจากเป็นการนำบทกฎหมายลักษณะต่างๆ ที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา มารวบรวมเป็นหมวดหมู่และชำระดัดแปลงบางบทที่วิปลาสทำให้เสียความยุติธรรมออกไป กฎหมายตราสามดวงเป็นประมวลกฎหมายที่มีโครงสร้างและองค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุดฉบับหนึ่งของโลก กฎหมายฉบับตราสามดวง เรื่อง พระสมุดลักษณพิสูท ดำน้ำ และลุยเพลิง เลขที่ ๔๘ เป็นหนังสือสมุดไทยขาว ได้มาจากกระทรวงมุรธาธร (ปัจจุบันคือ กรมราชเลขานุการในพระองค์) ซี่งกฎหมายลักษณพิสูท ดำน้ำ และลุยเพลิง เป็นกฎหมายฉบับหนึ่งที่ประกอบอยู่ในกฎหมายตราสามดวง กฎหมายฉบับนี้เป็นมาตราการสุดท้ายที่จะหาเกณฑ์ตัดสินข้อแพ้ชนะในระหว่างคู่ความโดยยึดถือปรากฎการณ์เหนือหรือเกินเกณฑ์มาตรฐานตามธรรมชาติเป็นตัวตัดสิน แต่ก่อนที่จะมาถึงวิธีการนี้ คดีดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการพิจารณาที่ควรจะทำมาทั้งหมดแล้ว แต่ปรากฎว่าคดีดังกล่าวขาดทั้งประจักษ์พยาน พยานแวดล้อม หรือพยานหลักฐานอื่นๆ ไม่อาจค้นหาความจริงได้ จึงยอมให้พิสูจน์ ซึ่งมี ๗ ประการ ได้แก่ ๑. ล้วงตะกั่ว ๒. สาบาน ๓. ลุยเพลิงด้วยกัน ๔. ดำน้ำด้วยกัน ๕. ว่ายขึ้นน้ำแข่งกัน ๖. ว่ายน้ำข้ามฟากแข่งกัน ๗. จุดเทียนคนละเล่ม ผู้ใดหมดก่อน เป็นเกณฑ์แพ้ชนะกัน กฎหมายลักษณพิสูท ดำน้ำ และลุยเพลิง นี้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการทางยุติธรรมในอดีตที่พยายามจะพิสูจน์ความจริง โดยใช้อำนาจเหนือธรรมชาติ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มาเป็นตัวตัดสิน และเชื่อว่าสามารถปกป้องคนดีหรือช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของคนได้ เหมือนดังคำสุภาษิตของคนไทยที่ว่า คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ขอขอบคุณที่มา : กลุ่มเผยแพร่ฯ กรมศิลปากร บรรณานุกรม - พระสมุดลักษณพิสูทดำน้ำและลุยเพลิง. หอสมุดแห่งชาติ. หนังสือสมุดไทยขาว. อักษรไทย. ภาษาไทย. เส้นหมึก. จ.ศ.๑๑๖๖ (พ.ศ.๒๓๔๗). เลขที่ ๔๘. หมวดกฎหมาย. - กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม ๒. กรุงเทพฯ:ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๕๐. |