[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

นั่งเล่นหลังสวน => เกร็ดความรู้ งานบ้าน งานครัว => ข้อความที่เริ่มโดย: Kimleng ที่ 17 ธันวาคม 2567 13:11:09



หัวข้อ: ต้มยำกุ้ง มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมรายการที่ 5 ของประเทศไทย
เริ่มหัวข้อโดย: Kimleng ที่ 17 ธันวาคม 2567 13:11:09

(https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/9/93/Tom_yam_kung_1.jpg/1920px-Tom_yam_kung_1.jpg)
องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
มีมติรับรองให้ “ต้มยำกุ้ง” (Tomyum Kung) ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
(Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) ประจำปี 2567 ในที่ประชุม -
คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ณ นครอซุนซิออน (Asuncion)
สาธารณรัฐปารากวัย เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2567 เวลา 00.50–02.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ทั้งนี้ ต้มยำกุ้งได้รับการขึ้นทะเบียน
เป็นมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติต่อจากโขน นวดไทย โนรา และสงกรานต์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนมาแล้วในปีที่ผ่านๆ มา


ต้มยำกุ้ง
มรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมรายการที่ 5 ของประเทศไทย

ต้มยำกุ้ง เป็นอาหารไทยภาคกลางประเภทต้มยำ ซึ่งเป็นที่นิยมรับประทานไปทุกภาคในประเทศไทย เป็นอาหารมีรสเปรี้ยวและเผ็ดเป็นหลัก ผสมเค็มและหวานเล็กน้อย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ต้มยำน้ำใส และต้มยำน้ำข้น

ไม่มีหลักฐานที่บอกถึงจุดกำเนิดของอาหารชนิดนี้อย่างแน่ชัด สุจิตต์ วงษ์เทศ ได้เขียนถึงต้มยำกุ้งไว้ว่า "เมื่อรับ 'ข้าวเจ้า' จากอินเดียเข้ามาพร้อมกับการค้าทางทะเลอันดามัน และศาสนาพราหมณ์–พุทธ ทำให้ 'กับข้าว' เปลี่ยนไปเริ่มมี 'น้ำแกง' เข้ามาหลากหลาย ทั้งแกงน้ำข้นใส่กะทิแบบอินเดีย กับแกงน้ำใสแบบจีน"

ใน ปะทานุกรม การทำของคาวหวานอย่างฝรั่งแลสยาม (พ.ศ.2441) มีสูตรต้มยำกุ้งทรงเครื่อง ซึ่งดูจะแตกต่างมากจากต้มยำกุ้งในปัจจุบัน ระบุว่า "…เนื้อหมูต้มแล้วฉีกหนักสามบาท ปลาใบไม้เผาแล้วทุบฉีกสองบาท ปลาแห้งเผาแล้วฉีกสองบาท กระเทียมดองปอกเอาแต่เนื้อซอยสามบาท แตงกวาปอกเปลือกแล้วซอยสามบาท มะดันซอยสามบาท พริกชี้ฟ้าหั่นหนึ่งบาท ผักชีเด็ดหนึ่งบาท…"    ส่วนวิธีทำระบุว่า "เอากุ้งสดมาต้มกับน้ำท่า ใส่น้ำปลาหนักสองบาท ต้มไปจนเนื้อกุ้งสุก…ตักเอาน้ำต้มกุ้งสามสิบแปดบาทใส่ลงในชาม แล้วเอากุ้งปอกเอาแต่เนื้อฉีกเป็นฝอยหนักสี่บาท น้ำกระเทียมดองหนึ่งบาท น้ำปลาเจ็ดบาท น้ำตาลทรายหกสลึง ใส่ลงในน้ำต้มกุ้ง แล้วเอาของที่ชั่งไว้ใส่ลงด้วย…ถ้าไม่เปรี้ยว เอาน้ำมะนาวเติมอีกก็ได้ เมื่อรศดีแล้วเอาพริกชี้ฟ้ากับผักชีโรย เปนใช้ได้"

ส่วนในหนังสือ ของเสวย (พ.ศ.2507) ตำรับอาหารจากหม่อมราชวงศ์กิตินัดดา กิติยากร มีลักษณะคล้ายคลึงกับสูตรต้มยำกุ้งที่รู้จักกันอยู่ในปัจจุบัน