[ สุขใจ ดอท คอม บ้านหลังเล็กอันแสนอบอุ่น ] ธรรมะ พุทธประวัติ ฟังธรรม ดูหนัง ฟังเพลง เกมส์ เบาสมอง ดูดวง สุขภาพ สารพันความรู้

สุขใจในธรรม => สมถภาวนา - อภิญญาจิต => ข้อความที่เริ่มโดย: Maintenence ที่ 18 ธันวาคม 2567 12:46:03



หัวข้อ: ดิน น้ำ ลม ไฟ โดย พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี
เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 18 ธันวาคม 2567 12:46:03
(http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/32374293274349_470207132_1166748541499967_567.jpg)

ดิน น้ำ ลม ไฟ
โดย พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต  วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี

       หัดอยู่คนเดียว แล้วใช้สติใช้ปัญญารับกับเหตุการณ์  อยู่คนเดียวไม่รู้จะทำอะไรก็นั่งหลับตาพุทโธๆไป ถ้าเบื่อก็เปิดหนังสือธรรมะอ่าน  หรือพิจารณาธรรมไปก็ได้    พิจารณาความแก่  ความเจ็บ  ความตาย ของเราก็ดีของคนอื่นก็ดี  ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกก็ดี  พิจารณาไปให้ถึงแก่นของมันเลยว่า  ทุกสิ่งทุกอย่างนี้มันเป็นอะไรกันแน่  มันเป็นอย่างที่เราคิดหรือเปล่า หรือสิ่งที่เราคิดนี้มันเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง  เป็นขั้นหนึ่งของความจริงที่เราเห็น มันไม่ได้อยู่ที่ร่างกายของเราเท่านั้น ร่างกายจากที่เป็นอยู่ในขณะนี้  ต่อไปมันจะเป็นอะไร  ก่อนที่จะเป็นร่างกายนี้มันเป็นอะไร มันมีที่มามีที่ไป  ถ้าพิจารณาแบบนี้ก็จะเพลิน  แล้วจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างมาจากธาตุทั้ง ๔  ทั้งนั้น  มาจากดินน้ำลมไฟ 

       ร่างกายนี้ถ้าไม่มีดินน้ำลมไฟ  คืออาหาร มันจะไม่เป็นอย่างนี้  ที่เป็นเพราะมันแปลงอาหารมาเป็นอาการ ๓๒  จากอาการ  ๓๒  ก็แปลงกลับสู่ดินน้ำลมไฟ  ลองพิจารณาดูสิว่า มีอะไรบ้างที่ไม่ได้มาจากดินน้ำลมไฟ  เพียงแต่สัดส่วนที่ผสมอาจจะมีมากน้อยกว่ากัน  ของแข็งแสดงว่ามีธาตุดินมากกว่าธาตุอื่น  ถามว่ามีธาตุไฟอยู่ในนี้ไหม  ก็ลองจุดไฟดู  พอจุดไฟปั๊บมันก็จะไหม้ขึ้นมาเลย  ธาตุไฟก็ออกมา  ธาตุลมก็ออกมา  แต่มันซ่อนอยู่ในรูปแบบที่เรามองไม่เห็นเท่านั้นเอง มันมีซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆกัน  ในน้ำมีธาตุดินไหม  ถ้าเรามีเครื่องกรองหรือมีกล้องขยายดู  เราก็จะเห็นธาตุดินในปริมาณที่ที่เล็กน้อย  เช่นผงสีก็เป็นธาตุดิน  พอละลายลงไปในน้ำก็กลายเป็นสีไป  ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนผสมของธาตุดินน้ำลมไฟในปริมาณต่างๆ แล้วเราก็มาหลงดีใจ  ร้องห่มร้องไห้กับดินน้ำลมไฟ
 
       ร่างกายของพวกเรามาจากที่ไหนกัน ก็มาจากโลกนี้  เวลาใจมา  ใจก็ไม่ได้เอาอะไรมาด้วย  ใจก็มาอาศัยสิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้ มาผลิตมาอาศัย พ่อแม่เป็นโรงงานผลิตร่างกาย  พ่อแม่เป็นผู้เริ่มต้นผลิตให้เชื้อมา แล้วก็ให้อาหาร  มันก็เจริญเติบโตเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  เริ่มต้นจากน้ำ ๒ หยดมารวมตัวกัน ตามด้วยการปฏิสนธิ แล้วก็มีอาหารหล่อเลี้ยง  มีการเจริญเติบโตของอวัยวะต่างๆ พอโตจนอยู่ในท้องแม่ไม่ได้ก็ต้องคลอดออกมา  ออกมาแล้วก็มีการให้น้ำให้อาหารให้ลมต่อ จึงเจริญเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆ  อาหารที่เข้าไปในร่างกายก็แปลงเป็นหนัง  เป็นขน  เป็นผม  เป็นเล็บ  เป็นฟัน  เป็นเนื้อ  เป็นเอ็น  เป็นกระดูก เป็นอวัยวะต่างๆ  เป็นอย่างนี้ไปจนกว่าจะหยุดการเจริญ  เมื่อหยุดเจริญแล้วมันก็เริ่มเสื่อม
 
       ตอนช่วงต้นของชีวิตการเจริญจะมีมากกว่าการเสื่อม พอถึงกลางทาง ประมาณอายุ ๔๐ ปีไปแล้ว  ความเจริญความเสื่อมจะเท่ากัน หลังจากนั้นความเจริญจะน้อย ความเสื่อมจะมากขึ้น  ร่างกายก็จะเริ่มเสื่อมลงไป  พออายุ ๘๐ ปี ๙๐ ปี ความเสื่อมเต็มร้อย ความเจริญไม่มีเลย มันก็จบ  ธาตุทั้ง ๔ ก็แยกทางกัน  ถึงเวลาที่ต้องไปคนละทางกัน น้ำก็ไหลออกมาจากร่างกาย ทิ้งให้ร่างกายแห้งกรอบ  ไฟก็ออกจากร่างกายตั้งแต่ขณะที่หมดลมหายใจ  จับตัวดูก็รู้ว่าเย็น ไม่อุ่นเหมือนกับคนที่มีชีวิตอยู่ ลมก็ระเหยออกมา กลิ่นที่โชยออกมาก็เป็นลม  ไปคนละทางกัน  ลมไปทาง  ไฟไปทาง  น้ำไปทาง ดินไปทาง  ก็เห็นชัดๆ  ตัวตนอยู่ที่ไหน  ก็อยู่ในใจ  ที่คิดว่าร่างกายเป็นตัวตน เป็นเรา  เป็นของเรา  ตัวที่คิดก็ไม่ได้เป็นอะไรไปกับร่างกายเลย  แต่ต้องมาร้องห่มร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ  เพราะหลงคิดว่าเป็นตัวเรา ของเรา.