หัวข้อ: [ข่าวมาแรง] - วิเคราะห์กระแส ‘ชาตินิยม’ ชาวเน็ต ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงอิน ? เริ่มหัวข้อโดย: สุขใจ ข่าวสด ที่ 20 ธันวาคม 2567 14:07:24 วิเคราะห์กระแส ‘ชาตินิยม’ ชาวเน็ต ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงอิน ?
<span>วิเคราะห์กระแส ‘ชาตินิยม’ ชาวเน็ต ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงอิน ?</span> <span><span>See Think</span></span> <span><time datetime="2024-12-02T19:55:53+07:00" title="Monday, December 2, 2024 - 19:55">Mon, 2024-12-02 - 19:55</time> </span> <div class="field field--name-field-byline field--type-text-long field--label-hidden field-item"><p>เรื่อง: ศศิธร อักษรวิลัย, ศิชา รุ่งโรจน์ธนกุล</p><p>ภาพปก: กิตติยา อรอินทร์</p></div> <div class="field field--name-body field--type-text-with-summary field--label-hidden field-item"><p>พักหลังมานี้กระแสชาตินิยมดูจะกลายเป็นประเด็นในโซเชียลมีเดียถี่ขึ้นมาอย่างมีนัยยะสำคัญ ทว่ามันแตกต่างไปจากชาตินิยมแบบเดิมๆ ที่เราคุ้น ความชาตินิยมใหม่นี้มีลักษณะผูกติดกับ “ความเป็นไทยใหม่” ซึ่งอิงจากความภูมิใจหรือความผูกพันเชิงอารมณ์ในระดับประชาชนมากขึ้น ไม่ได้กระจุกตัวอยู่กับประวัติศาสตร์ของชนชั้นสูงเหมือนเมื่อก่อน</p><p>ไล่มาตั้งแต่การเกิดขึ้นของพันธมิตรชานม กระแสเกลียดชังแรงงานพม่า ความภูมิใจว่าอาหารไทยดีที่สุดในโลก ดรามาเรื่องเคลมวัฒนธรรมระหว่างชาวเน็ตไทยและกัมพูชาที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด จนถึงเรื่องล่าสุด มีเหตุการณ์โรคไอกรนระบาดในโรงเรียนชั้นนำกลางเมือง แต่ชาวเน็ตกลุ่มหนึ่งกลับตั้งข้อสงสัยว่าต้นเหตุของการระบาดมาจากพวก “ต่างด้าว” หรือเปล่า</p><p>กระแสชาตินิยมแบบใหม่ๆ ในโลกออนไลน์เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ทำไมคอนเทนต์ประเภทนี้จึงไวรัลง่าย อีกทั้งคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่งที่มีความคิดทางการเมืองแบบก้าวหน้าก็ดูจะอินกับกระแสนี้ด้วย เราควรมอง ‘ชาตินิยม’ อย่างไร และมันไหลลื่นไปจากความเข้าใจเดิมมากเพียงไหน</p><p>ประชาไทหาคำตอบเรื่องนี้กับผู้ช่วยศาสตราจารย์ติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง อาจารย์ประจำคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัจจุบันลาศึกษาต่อในระดับปริญญาเอกสาขาสังคมวิทยา มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์</p><p class="text-align-center"><iframe width="560" height="315" src="https://www.youtube.com/embed/VrqMd_ihsOA?si=F7bDfOTEWPkc9mdN" title="YouTube video player" frameborder="0" allow="accelerometer; autoplay; clipboard-write; encrypted-media; gyroscope; picture-in-picture; web-share" referrerpolicy="strict-origin-when-cross-origin" allowfullscreen></iframe> </p><p> </p><h2>นิยามคำว่า “ชาติ” ที่ต่างกัน</h2><p>ติณณภพจ์ผู้มีความสนใจทางวิชาการเรื่องหลังอาณานิคมนิยมและข้ามชาตินิยมอธิบายว่า กระแสชาตินิยมไม่เคยหายไปไหน และไม่ได้ปรากฏอยู่กับแค่กลุ่มอนุรักษนิยมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลุ่มก้าวหน้านิยมด้วย ทว่าหน้าตาของชาตินิยมที่ทั้งสองกลุ่มสมาทานนั้นแตกต่างกัน</p><p>ในสังคมไทย ชาตินิยมมักถูกให้ภาพว่าเป็นฝั่งตรงข้ามความเป็นสากลนิยม ดังนั้นภาพของชาตินิยมจึงมักถูกผูกติดกับขบวนการของกลุ่มอนุรักษนิยม (Conservatism)</p><p>ตัวอย่างเช่น ภาพของการจัดตั้งขบวนการเคลื่อนไหวของคนเสื้อเหลือง หรือพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) ในการทวงคืนปราสาทเขาพระวิหาร และ ขบวนการ กปปส. ที่มีแนวคิดต่อต้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนแบบสากล โดยใช้ข้ออ้างว่าเราชาวไทยเรามี “ประชาธิปไตยแบบไทย” ของเราเอง</p><p>ตรงกันข้ามกับกลุ่มก้าวหน้านิยม (Progressivism) ที่มักจะถูกมองว่าห่างไกลกับคำว่าชาตินิยมพอสมควร เนื่องจากกลุ่มก้าวหน้านิยมถวิลหาในสิ่งที่เชื่อมโยงกับความเป็นสากลนิยมมากกว่า</p><p>อย่างไรก็ตาม เราจะเห็นว่าคำอธิบายข้างต้นกลับดูไม่ไปด้วยกันกับกระแสชาตินิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ที่เกิดขึ้นมาในโลกออนไลน์มาสักพัก ติณณภพจ์อธิบายว่าเป็นเพราะว่าหน้าตาของความชาตินิยมสำหรับคนรุ่นใหม่นั้นได้เปลี่ยนไปจากเดิม</p><p>แต่เดิมเราจะเห็นว่าชาตินิยมของกลุ่มอนุรักษนิยมมีสถาบันหลักของชาติเป็นศูนย์กลาง แต่สำหรับกลุ่มก้าวหน้านิยม ศูนย์กลางของคําว่าชาติคือประชาชน ความหมายของคําว่า “ประชาชน” คือต้องเป็นประชาชนกลุ่มที่มีใจรักประชาธิปไตย สนับสนุนหลักสิทธิมนุษยชน ใช้ภาษาที่สอดคล้องกับ “ลัทธิตื่นรู้นิยม” (Wokeism) และสนับสนุนความถูกต้องทางการเมือง (political correctness)</p><h2>หน้าตาของชาตินิยมใหม่</h2><p>ติณณภพจ์อธิบายว่า ปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้หน้าตาของความชาตินิยมในยุคปัจจุบันแตกต่างไปจากเดิม เป็นเพราะตัวแสดง (actor) ที่เผยแพร่อุดมการณ์ชาตินิยมไม่ได้ผูกขาดไว้ที่รัฐเพียงอย่างเดียว กลายเป็นว่าในระดับประชาชนหรือชาวเน็ตก็ทำได้ด้วย</p><p>“สรุปแล้วชาตินิยมหายไปไหม คําตอบคือไม่หายไป มันดํารงมาตลอด แต่สิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คือ ตัวแสดงที่เผยแพร่ชาตินิยมซึ่งเดิมทีเป็นรัฐแต่ปัจจุบันเป็นองคาพยพทางวัฒนธรรม”</p><p>ติณณภพจ์กล่าวต่อไปว่า ภายใต้ร่มของกลุ่มขบวนการชาตินิยมก้าวหน้า (Progressive nationalist movement) เองก็สามารถแบ่งระดับความชาตินิยมออกได้เป็น 3 กลุ่มย่อย</p><p>หนึ่ง – กลุ่มที่อยู่สุดขอบ อย่างเช่น ชาวเน็ตที่กำลังทวงคืนวัฒนธรรมกลับมาจากกัมพูชา</p><p>สอง – กลุ่มต่อต้านแนวคิดกรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลาง ที่พยายามบอกว่าความเป็นชาตินั้นต้องรวมวัฒนธรรมของชาติพันธุ์อื่นๆ เช่น ล้านนาและมลายู เข้ามาด้วย</p><p>สาม – กลุ่มภูมิภาคนิยมที่ยึดถือความเป็นพลเมืองโลก</p><p>โดย 3 กลุ่มนี้ก็มีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่เป็นการปะทะสังสรรค์กันแบบย่อมๆ เพื่อจูงใจให้อีกฝ่ายหันมาสมาทานจุดยืนของตนเองมากกว่า ซึ่งไม่ได้ถึงขั้นไต่ระดับไปเป็นขบวนการชาตินิยมแบบเดียวกับฝั่งอนุรักษนิยม หรือกลุ่มเรียกกันว่า “สลิ่ม”</p><p>เมื่อถามว่าหน้าตาความชาตินิยมของฝ่ายก้าวหน้านิยมเป็นแบบไหน ติณณภพจ์ยกตัวอย่างกรณีการเกิดขึ้นของพันธมิตรชานมเมื่อปี 2563 ซึ่งเดิมทีเริ่มต้นจากสงครามคีย์บอร์ดระหว่างชาวเน็ตไทยกับชาวเน็ตจีนแผ่นดินใหญ่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนมาเป็นการรวมตัวหลวมๆ ของคนรุ่นใหม่ในเอเชียซึ่งสะท้อนแนวคิดเรื่องชาติที่เปลี่ยนแปลงลื่นไหล</p><p>“การเอาชาไทยมาใช้สู้กับชาวเน็ตจีนสะท้อนให้เห็นว่าสําหรับชาวไทย ชาติไทยเป็นสิ่งที่ดํารงอยู่ ไม่ได้หายไป เพราะถ้ามันหายไปมันจะไม่มีการกล่าวถึงชาไทย”</p><p>ในบริบทนี้ “ชานม” ที่เป็นเครื่องดื่มที่ฮิตในหลายประเทศ กลายมาเป็น “ภาพตัวแทนทางวัฒนธรรม” (Cultural Representation) โดยจะเห็นว่า “ชาไทยสีส้ม” ที่คนไทยชอบกินถูกนำมาใช้เป็นสัญลักษณ์แทนชาติไทยและคนไทย นับเป็นความภูมิใจในระดับประชาชนจากความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของสังคมนานาชาติ</p><h2>เมื่อม็อบปี 63 ซาลง กระแสชาตินิยมในอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้น ?</h2><p>เดิมทีความเป็นชาตินิยมมักถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นปึกแผ่นเพื่อต่อสู้กับศัตรูร่วม กรณีช่วงการชุมนุมปี 2563 ศัตรูร่วมของคนไทยคือรัฐบาลในขณะนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นคือการร่วมกันต่อสู้และสร้างนิยามความเป็นชาติขึ้นมาใหม่</p><p>แต่เมื่อกระแสการชุมนุมซาลงไป ศัตรูของชาติไม่ปรากฏเด่นชัดแล้ว ความชาตินิยมจึงกลายมาเป็นเครื่องมือในการสร้างศัตรูเพิ่ม</p><p>“พอเราไม่ได้มีรัฐเป็นศัตรูอย่างชัดเจนแล้ว กลายเป็นว่าเราต้องแสวงหาศัตรูใหม่และตั้งเป็นศัตรูทางวัฒนธรรมมาเป็นเป้าหมายที่จะต้องสู้ด้วย” </p><p>ตัวอย่างของเรื่องนี้มีมากมาย ไล่มาตั้งแต่ปรากฎการณ์ “เคลมโบเดีย” ซึ่งหมายถึง ดรามาการแย่งชิงทางวัฒนธรรมระหว่างชาวเน็ตไทยกับกัมพูชาที่ปะทุขึ้นมาได้เสมอมา หรือกรณี “เหยียดมา เหยียดกลับ” ของชาวเน็ตไทยและเกาหลีใต้ ทั้งในประเด็นเรื่องเค-ป็อป ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง หรือการด่าคนต่างชาติที่มาดูถูกอาหารไทย</p><p>“หากไร้ซึ่งศัตรูเราจะไม่รู้สึกถึงความเป็นเราร่วมกัน ดังนั้นคอนเซปต์แบบนี้ซึ่งฟังดูเป็นเรื่องการเมืองมาก มันก็ไหลบ่ามาสู่คอนเซ็ปต์ในทางวัฒนธรรมด้วย เพราะว่าก็ต้องยอมรับว่าอารมณ์ความรู้สึก (Sentiment) ของคนไทย ลึก ๆ แล้วเราเปราะบางกับความเป็นไทยมาตลอด”</p><p>ติณณภพจ์ระบุว่าคนไทยเปราะบางกับความเป็นไทยมากเสียจนกระทั่งเมื่อมี “คนอื่น” โดยเฉพาะชาวต่างชาติชื่นชมอาหารไทย ภาษาไทย หรือการท่องเที่ยวไทย คนไทยก็จะดีใจจนขนลุกขนพองและเกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ว่า “เห็นไหม ขนาดชาวต่างชาติยังเห็นคุณค่าเลย”</p><p>ความเปราะบางเช่นนี้ก็สะท้อนให้เห็นถึงภาวะที่คุณค่าหรือตัวตนเป็นสิ่งที่ต้องรอให้คนอื่นมาเติมเต็ม โดยเฉพาะการได้รับการยอมรับจากต่างชาติ แต่ในขณะเดียวกัน ความย้อนแย้งอีกอย่างหนึ่งก็คือความภาคภูมิใจที่ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น</p><p>วาทกรรม “ประเทศไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้น” เป็นหนึ่งในองค์ประกอบของก้อนความรู้สึกชาตินิยมของคนไทย</p><p>ติณณภพจ์ให้ความเห็นว่า ในประโยคนี้ประกอบด้วย 2 อารมณ์ความรู้สึกที่ทับซ้อนกันอยู่</p><p>หนึ่ง – สะท้อนแนวคิดที่ว่าไทยเป็นประเทศพิเศษไม่เหมือนผู้ใด (Thai Exceptionalism) เพราะในภูมิภาคนี้ไทยรายล้อมไปด้วยประเทศอดีตอาณานิคม</p><p>สอง – เมื่อเป็นเรื่องของขบวนการชาตินิยม ชาวเน็ตไทยในกลุ่มก้าวหน้านิยมมักจะมีอารมณ์ความรู้สึกของการต่อต้านการครอบงำในทุกมิติเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กล่าวคือ ความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายที่กุมอำนาจนำในความขัดแย้งต่างๆ เช่น อิสราเอลที่มีแนวโน้มครอบงําและใช้อํานาจบาตรใหญ่ข่มเหงรังแกชาวปาเลสไตน์ หรือจีนที่ถูกมองว่าครอบงำประเทศลาว เป็นต้น</p><p>“เพราะฉะนั้นเวลาเราพูดว่าภูมิใจจังเลยไม่เป็นเมืองขึ้นใคร เพราะความหมายที่หนึ่ง มันคือเรื่องของการโดดเด่นไม่เหมือนใคร กับความหมายที่สอง คือฉันไม่เคยรู้สึกภาคภูมิใจ ไม่เคยรู้สึกสมาทานกับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า อำนาจนำ (hegemony) หรือ domination (การครอบงำ) ดังนั้น ตัวฉันไม่เคยถูก ครอบงำ (dominate) ไม่เคยถูกควบคุมโดยอำนาจนำ (hegemonize) ฉันรอด”</p><h2>ชาตินิยมเท่ากับ ‘สลิ่ม’ จริงหรือ</h2><p>คำว่า “สลิ่ม” เป็นคำศัพท์ในบริบทการเมืองไทยร่วมสมัย แต่เดิมใช้เรียกกลุ่มคนหรือพฤติกรรมของคนที่ดูจะไม่เชื่อมั่นในการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย สนับสนุนให้กองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมือง และมีความหลงผิดว่าตนเองดีเลิศและสูงส่งกว่าคนอื่น ต่อมาคำว่าสลิ่มก็ถูกนำไปใช้ในบริบทความหมายที่กว้างขึ้น</p><p>ประเด็นหนึ่งที่กลายมาเป็นข้อถกเถียงคือ กระแสความชาตินิยมที่เกิดขึ้นในอินเตอร์เน็ตในช่วงระยะหลังมานี้ มีความเหมือนหรือต่างกับ “ทัศนคติแบบสลิ่ม” หรือไม่ อย่างไร</p><p>ติณณภพจ์ให้คำตอบว่า “การนิยามความเป็นสลิ่ม” มีมากกว่าแค่เรื่องแนวคิดชาตินิยม เพราะการเกิดขึ้นของสลิ่มมีองค์ประกอบ 3 ประการ</p><p>ประการแรก – จุดยืนแบบการปฏิเสธความเป็นการเมือง (depoliticization) เนื่องจากกลุ่มคนที่ถูกจัดว่าเป็นสลิ่ม มีจุดยืนเรื่องเกลียดชังทางการเมืองและลดทอนความเป็นการเมืองในทุก ๆ เรื่อง</p><p>สอง – แนวคิดเรื่องการมองคนไม่เท่ากัน</p><p>สาม – ความรู้สึกต่อต้านความเป็นสถาบันทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย</p><p>ติณณภพจ์กล่าวต่อไปว่า สิ่งที่เราเห็นการแปะป้ายในโลกโซเชียล เช่น “พรรคเธอไปจับมือพรรคนั้นที่เคยก่อรัฐประหาร พวกเธอนั่นแหละเป็นสลิ่ม” การตอบโต้กันในลักษณะนี้เป็นแค่การใช้ภาษาในทางปฏิบัติเท่านั้น โดยในทางวิชาการ สิ่งนี้จะถูกเรียกว่า วัจนปฏิบัติศาสตร์ (Pragmatics) ซึ่งเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งของภาษาศาสตร์</p><p>อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือคำว่า “ชาติ” และ “ความเป็นไทย” ในมุมมองที่แต่ละคนยึดถือนั้นไม่เหมือนกัน</p><p>จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่คนบางกลุ่มอาจไม่อินหรือหวงแหนกับสินค้าไทย เพลงไทยเก่าๆ หรือชุดไทย แต่ผูกโยงตัวเองเข้ากับ T-Pop ซึ่งก็คือเพลงป๊อปแบบไทยที่มีความเป็นสากล หรือความเป็นสมัยใหม่ทางการเมืองไทย (Thai Political Modernity) สิ่งเหล่านี้คือความเป็นไทยที่เป็นส่วนหนึ่งเข้ากับสังคมนานาชาติ ในทำนองเดียวกับชาไทยในพันธมิตรชานม</p><p>“เพราะฉะนั้นการที่เราบอกว่าไม่เคยอวยความเป็นไทยเลย แต่อยู่ดีๆ มาหวงแหน ก็ต้องเข้าใจนิดหนึ่งว่าที่เขาไม่หวงแหนเพราะเขาไม่หวงแหนชาติแบบเก่า แต่เขาหวงแหนชาติแบบใหม่” ติณณภพจ์กล่าว</p><h2>จุดอันตรายของชาตินิยม</h2><p>ตั้งแต่ต้นเดือนแล้วที่พรรคพลังประชารัฐจุดกระแสว่าไทยจะเสียเกาะกูดให้แก่กัมพูชา สืบเนื่องมาจาก MOU 44 ที่ไทยลงนามไว้ร่วมกับกัมพูชาตั้งแต่เมื่อปี 2544 ดรามาล่าสุดนี้ยังไม่ถึงกับลุกลามใหญ่โตอย่างกรณีเขาพระวิหาร ที่กลุ่มคนเสื้อเหลืองจุดประเด็นทวงคืนเขาพระวิหารเพื่อเป้าประสงค์ด้านการเมืองในประเทศแต่บานปลายไปเป็นความขัดแย้งระหว่างประเทศ</p><p>ติณณภพจ์แสดงความกังวลว่า ถ้าหากดูท่าทีของบรรดานักร้องเรียนที่ออกมารับลูก ประเด็นเกาะกูดก็อาจถูกยกระดับจากความขัดแย้งทางวัฒนธรรมไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองได้เหมือนกัน</p><p>“จุดที่เริ่มอันตรายก็คือเมื่อเราเปลี่ยนกลุ่มที่เราถือว่าเป็นศัตรูทางวัฒนธรรม ให้กลายมาเป็นศัตรูทางการเมือง อย่างที่เรากําลังเห็นกันอยู่ตอนนี้ กรณีเกาะกูดและ MOU 44”</p><p>ติณณภพจ์กล่าวว่า กรณีปราสาทเขาพระวิหารเป็นความขัดแย้งทางการเมืองและทางวัฒนธรรมที่รุนแรงที่สุดของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงเวลานั้นขบวนการคนเสื้อเหลืองได้ทำให้ประเด็นดังกล่าวกลายเป็นความขัดแย้งที่ลุกลามจนกลายเป็นปัญหาระดับอาเซียน บวกกับเดิมทีไทยกับกัมพูชาเขม่นกันหนักอยู่แล้ว และมีปัจจัยหลายประการที่เอื้อให้มีการยกระดับความรุนแรงอยู่ตลอดเวลา</p><p>เมื่อเทียบกับพม่า แม้ที่ทางในทางประวัติศาสตร์ถูกจัดวางให้เป็นประเทศศัตรูคู่ขัดแย้งกับไทย แต่ในทางการเมือง ไทยกับพม่าไม่เคยมีจุดขัดแย้งที่รุนแรงจนสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเช่นเฉกกรณีไทย-กัมพูชา</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>ทำไมชาวเน็ตไทย-กัมพูชาตีกันฉ่ำ ? วิเคราะห์รากปัญหา ดรามาแย่งชิงวัฒนธรรม (https://prachatai.com/journal/2024/11/111388)</li></ul></div><p> </p><p>ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 พ.ย. ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง 6 ข้อที่กล่าวหาว่า ทักษิณ ชินวัตรและพรรคเพื่อไทยกระทำการล้มล้างการปกครอง เนื่องจากมีหลักฐานไม่เพียงพอให้เชื่อได้</p><p>แต่มีข้อสังเกตว่าคำร้องในประเด็นที่สอง เรื่อง MOU 44 รัฐบาลเพื่อไทยเอื้อประโยชน์ให้กัมพูชาหาประโยชน์ในเขตอธิปไตยทางทะเลของไทย ตุลาการมีมติ 7 ต่อ 2 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา</p><p>ซึ่งนั่นหมายความว่า ตุลาการเสียงข้างน้อยเห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอว่าการกระทำของทักษิณและพรรคเพื่อไทยเป็นการล้มล้างการปกครอง จึงต้องรับเรื่องไว้วินิจฉัย</p><h2>“การทำให้เป็นมีม” จะช่วยลดความรุนแรง</h2><p>ติณณภพจ์กล่าวว่าปัจจัยที่จะช่วยยับยั้งศึกในโลกออนไลน์ไม่ให้กลายเป็นเรื่องรุนแรงได้คือ การทำให้เป็นมีม (Memetization)</p><p>ตัวอย่างเช่น ความขัดแย้งระหว่างแฟนนางงามไทยกับแฟนนางงามฟิลิปปินส์ที่ปะทะกันในโลกออนไลน์เรื่อยมา อีกกรณีคือเหตุการณ์ตบกู้ศักดิ์ศรีระหว่างกะเทยไทยกับกะเทยฟิลิปปินส์ ที่ซอยสุขุมวิท 11 ที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘วันกะเทยผ่านศึก’</p><p>กรณีหลังนี้ถูกทำให้เป็นมีมในโลกออนไลน์ทั้งในโซเชียลมีเดียไทยและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็น การตัดต่อภาพ จากภาพของการต่อยกันให้กลายเป็นการใช้เวทมนตร์หรือภาพใช้คฑาต่อสู้กัน</p><p>เราจะเห็นว่าศึกของชาวเน็ตไทยกับฟิลิปปินส์ไม่มีความเสี่ยงที่จะถูกยกระดับความรุนแรงได้เท่ากับกรณีไทย-กัมพูชา ทั้งนี้ ก็มาจากการที่ไทยกับฟิลิปปินส์ไม่เคยมีข้อพิพาทกันในทางการเมืองที่รุนแรงด้วย</p><div class="more-story"><p><strong>เรื่องที่เกี่ยวข้อง</strong></p><ul><li>เควียร์ศึกษาใน #สุขุมวิท 11 | หมายเหตุประเพทไทย EP.513 [Live] (https://prachatai.com/journal/2024/03/108380)</li></ul></div><p> </p></div> <div class="node-taxonomy-container"> <ul class="taxonomy-terms"> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%93%E0%B9%8C" hreflang="th">สัมภาษณ์[/url]</li> </ul> </div> <!--/.node-taxonomy-container --> <div class="node-taxonomy-container"> <ul class="taxonomy-terms"> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87" hreflang="th">การเมือง[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1" hreflang="th">สังคม[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%92%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1" hreflang="th">วัฒนธรรม[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%B2" hreflang="th">การศึกษา[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8" hreflang="th">ต่างประเทศ[/url]</li> </ul> </div> <!--/.node-taxonomy-container --> <div class="node-taxonomy-container"> <ul class="taxonomy-terms"> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1" hreflang="th">ชาตินิยม[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1" hreflang="th">ลัทธิชาตินิยม[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A2%E0%B8%A1" hreflang="th">อนุรักษนิยม[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%8A%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A1" hreflang="th">พันธมิตรชานม[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%94" hreflang="th">เกาะกูด[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%93%E0%B8%93%E0%B8%A0%E0%B8%9E%E0%B8%88%E0%B9%8C-%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%9A%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87" hreflang="th">ติณณภพจ์ สินสมบูรณ์ทอง[/url]</li> <li class="taxonomy-term"><a href="http://prachatai.com/category/%E0%B8%A1%E0%B8%B1%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2" hreflang="th">มัลติมีเดีย[/url]</li> </ul> </div> <!--/.node-taxonomy-container --> <div class="field field--name-field-promote-end field--type-string field--label-hidden field-item">ติดตาม "ประชาไท Prachatai.com" ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้า https://prachataistore.net</div> http://prachatai.com/journal/2024/12/111568 |