หัวข้อ: กิเลสขั้นสุดท้ายที่จะต้องละให้ได้ พอจ.สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จ.ชลบุรี เริ่มหัวข้อโดย: Maintenence ที่ 18 มกราคม 2568 16:49:03 (http://www.sookjaipic.com/images_upload_2/97287101960844_70868676_2415540808483856_8328.jpg)
กิเลสขั้นสุดท้ายที่จะต้องละให้ได้ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ชลบุรี กิเลสที่รวมตัวภายในจิตนี้ก็มีอยู่ ๕ คือ ๑. รูปราคะ ๒. อรูปราคะ ๓. อุทธัจจะ ๔. มานะ ๕. อวิชชา รูปราคะกับอรูปราคะก็คือความติดอยู่กับความสุขของรูปฌานกับอรูปฌาน เป็นความสุขที่ยังเจริญและเสื่อมอยู่ เวลาอยู่ในฌานก็มีความสุข พอออกจากฌานมาคิดปรุงแต่งตามความอยากของกิเลส ก็จะเกิดความทุกข์ใจ ที่เกิดจากมานะ อุทธัจจะ หรืออวิชชา มานะคือความถือตัว อยากให้มีผู้อื่นเคารพนับถือยกย่องสรรเสริญ ไม่ดูถูกเหยียดหยาม ไม่ตำหนิติเตียน อุทธัจจะคือความฟุ้งซ่านที่เกิดจากการพิจารณาทางปัญญาจนเลยเถิด คือไม่หยุดพักในสมาธิ อวิชชาก็คือความยึดติดในความสุขที่ละเอียด ที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน ที่ยังเจริญและเสื่อม เวลาเสื่อมก็เกิดอารมณ์หงุดหงิด ก็ต้องพิจารณาธรรมเหล่านี้ว่าเป็นไตรลักษณ์ เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา เป็นเหมือนร่างกาย ที่จะต้องปล่อยวาง ความสุขจะเสื่อมก็ปล่อยให้เสื่อมไป ไม่ต้องดูแลรักษา ให้รักษาตัวผู้รู้ตัวเดียว ให้รู้เฉยๆ อย่าไปยินดียินร้าย กับการเจริญหรือการเสื่อมของความสุข อย่าไปยินดียินร้ายกับการยกย่องนับถือดูถูกดูแคลน ให้รู้ว่าสถานภาพต่างๆเป็นสมมุติ ผู้รู้ไม่ได้สูงไม่ได้ต่ำ ไม่ได้มีเกียรติหรือไม่มีเกียรติ เป็นเพียงผู้รู้ นี่คือกิเลสขั้นสุดท้ายที่จะต้องละให้ได้ ก็คือละการถือตัว ละการยึดติดกับความสุขภายในจิต เพราะเป็นความสุขที่ไม่เที่ยง เป็นอนิจจังทุกขังอนัตตา พอปล่อยวางความสุข ปล่อยวางมานะได้แล้ว ธรรมเหล่านี้ก็จะหายไป ก็จะเหลือแต่จิตที่สะอาดบริสุทธิ์ ที่มีความสุขอีกแบบหนึ่ง คือปรมังสุขัง เป็นความสุขที่ไม่เสื่อม เป็นความสุขของความบริสุทธิ์ของใจ นี่คือขั้นสุดท้ายของการปฏิบัติ คือความบริสุทธิ์ของใจ ด้วยการปล่อยวางตั้งแต่ขั้นต้น คือปล่อยวางลาภยศสรรเสริญ ปล่อยวางรูปเสียงกลิ่นรส ปล่อยวางรูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ ปล่อยวางความสุขภายในจิต พอปล่อยหมดแล้วก็จะเหลือแต่ความว่าง คือปรมังสุญญัง นิพพานัง ปรมังสุญญัง นิพพานัง ปรมังสุขัง นี้แลคือความหมายของคำว่าสูญ ไม่ได้ว่าหมายความว่าพอถึงนิพพานแล้ว จิตจะอันตรธานหายไป จิตไม่มีวันที่จะหายไปได้ เพราะเป็นธรรมชาติที่มีอยู่มาแต่ดั้งเดิม และจะมีอยู่ต่อไป เพียงแต่จะอยู่แบบไหน อยู่แบบบริสุทธิ์หรืออยู่แบบไม่บริสุทธิ์ ถ้าอยู่แบบบริสุทธิ์ก็จะอยู่แบบปรมังสุขัง อยู่แบบบรมสุข ถ้าอยู่แบบไม่บริสุทธิ์ ก็อยู่แบบเวียนว่ายตายเกิด อยู่กับกองทุกข์ อยู่กับอนิจจังทุกขังอนัตตา วันนี้ได้ใช้ฝนเป็นตัวอย่างของอนัตตา ใช้การนั่งเฉยๆเป็นตัวอย่างของอุเบกขา รับกับฝนตก ถ้ารับกับความแก่ความเจ็บความตายได้ แบบรับกับฝนตก ก็จะไม่มีความทุกข์ใจ ที่รับไม่ได้ก็เพราะยังไม่มีกำลังควบคุมความพยศของใจ เพราะไม่มีเครื่องมือ ไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา จึงต้องหมั่นเจริญสติ เจริญสมาธิ และปัญญาให้มากๆตามลำดับ แล้วจะรักษาความนิ่งสงบของใจได้ทุกเวลา ทุกเหตุการณ์. |